หลักฐานที่เสริมว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากนครวัด
ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ว่าพระเจ้าอู่ทองนำคน”สยาม”อพยพหนีตายมาจากนครวัดเพื่อมาสร้างกรุงศรีอยุธยา คนสยามนี่แหละที่เป็นผู้สร้างนครวัดและนครธม ส่วนเขมรเป็นพวกข้าทาสแรงงานในการก่อสร้าง โดยผมได้แสดงหลักฐานและเหตุผลประกอบตามข้อมูลด้านประวัติศาสตร์และด้านวัฒนธรรมประเพณี ตามสมควร
คราวนี้ขอเสนอหลักฐานโดยอ้อม จากบันทึกของโจวต้ากวน ทูตการค้าชาวจีนที่เข้าไปอยู่ในนครวัดเมื่อปี คศ. 1295 (40 ปีก่อนที่หัวหน้าทาสชื่อตระซอกประแอม (แตงหวาน) จะนำกองกำลังทาสถล่มกษัตริย์วรมันหมดสิ้นสกุลแล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ซึ่งพงศาวดารเขมรฉบับแรกที่ยังไม่มีอิทธิพลฝรั่งเศสก็ยอมรับว่าเขาผู้นี้แหละคือต้นตระกูลเขมร)
บันทึกของโจวฯ นี้ถือกันในวงวิชาการว่าสำคัญที่สุด เพราะเป็นบันทึกชิ้นเดียวในโลกที่มีอยู่ที่บันทึกเรื่องราวในนครวัดอย่างละเอียดพอควร
โจวฯได้บันทึกเรื่องการทอผ้าว่า ชาวพื้นเมืองนครวัดไม่รู้จักการทอผ้าไหม รู้จักแต่การทอผ้าฝ้าย ซึ่งวิธีการทอผ้าก็หยาบมาก กล่าวคือ เอามือดึงเส้นด้ายออกมาจากปุยฝ้าย โดยไม่มีการปั่นด้ายให้เป็นเส้นละเอียด แล้วก็เอามาทอเป็นผืนโดยไม่ใช้กี่ แต่ใช้เส้นด้ายพันรอบเอวไว้ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งผูกไว้กับขอบหน้าต่าง แล้วใช้ท่อนไม้ไผ่ดันกระแทกเส้นด้ายพุ่งในการทอผ้า
(น่าสังเกตว่าเป็นวิธีที่คนไทยกระเหรี่ยงแถวแม่ฮ่องสอนก็ยังใช้อยู่จนถึงวันนี้..พศ.๒๕๕๓) อีกประการที่โจวฯบันทึกไว้คือ ชาวพื้นเมือง “ไม่รู้จักใช้เข็มและด้าย พวกเขาจึงเย็บผ้าและชุนผ้าไม่เป็น.”
โจวฯบันทึกต่อไปว่า...ส่วนพวกชาวสยามที่เข้ามาอยู่ พวกนี้รู้จักการทอผ้าไหมแบบใช้กี่ พวกเขานำต้นหม่อนและตัวไหมมาจากเมืองสยาม นอกจากนี้พวกสยามยังรู้จักใช้เข็มและด้ายในการเย็บและชุนผ้าอีกด้วย
หลักฐานข้างต้นนี้สนับสนุนทฤษฎีของผมที่ว่ามีคนสยามเข้าไปอยู่ในนครวัดมาก โดยผมเชื่อว่าเป็นคนชั้นสูงที่เป็นเครือญาติของกษัตริย์ และเป็นสมาชิกครอบครัวของทหารสยามที่เข้ามาค้ำบัลลังก์กษัตริย์ชัยวรมันที่ ๖ ต่อมาจนถึงที่ชัยวรมันที่ ๗ (มหากษัติรย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้สร้างนครธมและสร้างต่อนครวัดจนเสร็จ) ซึ่งทั้งสองเป็นกษัตริย์ที่มีเชื้อสายมาจาก “พิมาย”
ยิ่งทอผ้าไหมก็ยิ่งใช่เลย เพราะพิมายมีชื่อกระฉ่อนในการเลี้ยงไหม ทอผ้าไหมเรื่อยมาจนถึงวันนี้ และที่ชาวพิมายถูกเรียกว่า สยาม ก็เพราะมันเพี้ยนมาจากคำว่า “สวายาม” ซึ่งเป็นชื่อพระบิดาของ ชย. ๖ (ซึ่งเป็นคนพิมาย) นั่นเอง
การที่กษัตริย์ ชนชั้นสูง และทหารเป็นอีกเผ่าหนึ่งแล้วพลเมืองโดยทั่วไปเป็นอีกเผ่าหนึ่งนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าบริหารดีๆ ก็ทำได้ เช่น ราชวงศ์หยวน และราชวงศ์คิง ของจีน ซึ่งเป็นพวกมองโกล และ แมนจู นั่นอย่างไร เป็นชนส่วนน้อยแต่กลับปกครองคนส่วนใหญ่ได้หลายร้อยปี
น่าคิดต่อไปว่า คนพื้นเมืองนั้นแค่ทอผ้าเย็บผ้าชุนผ้ายังทำไม่เป็น แล้วจะไปสร้างนครวัดนครธมที่ต้องการเทคโนโลยีชั้นสูงกว่านั้นหลายเท่าได้อย่างไร???
ก็มาเข้าทฤษฎีผมที่ว่า คนสยามต่างหากเล่าที่เป็นคนออกแบบ และคุมการสร้างนครวัดทั้งหมด โดยนายช่างพวกนี้มาจากพิมายและลพบุรีเป็นส่วนใหญ่ (เริ่มสร้างในสมัยพระสุริยวรมัน ๒ ..ชาวลพบุรี แล้วมาเสร็จเอาในสมัยพระชัยวรมัน ๗..ชาวพิมาย)
ส่วนแรงงานในการสร้างนั้นมาจากพวกทาสเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทาสพวกนี้น่าจะเป็นพวกจามผสมกับพวกคนป่าที่ถูกจับมาเป็นเชลยจากการทำสงคราม (บันทึกโจวฯระบุว่าเป็นพวกคนป่า ชาวเขารอบๆ ไม่ได้บอกว่าเป็นจาม) ซึ่งพวกทาสบางส่วนนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็พัฒนาขึ้นมาเป็น “คนพื้นเมือง” และเป็นนายทาสในที่สุด ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่มีความรู้เรื่องการทอผ้าซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง
โจวฯระบุด้วยว่า ครอบครัวชาวนครวัด “ส่วนใหญ่” มีทาสเป็นร้อยหรือมากกว่านั้น บางครอบครัวมี 10-20 ทาส ยกเว้นครอบครัวที่จนมากที่สุดเท่านั้นจึงจะไม่มีทาสเลย จากการประเมินของนักวิชาการฝรั่ง นครวัดช่วงนั้นมีพลเมืองประมาณ 1 ล้านคน ดังนั้นจากการประเมินของขยฮม (กระผม) จึงประเมินได้ไม่น่าเกินความจริงไปเลยว่า..นครวัดช่วงนั้นน่าจะเป็นทาสเสีย 7 แสน คนชั้นสูง ทหารและครอบครัว และคนพื้นเมืองที่เป็นนายทาสเป็นชาวสยาม และชาวพื้นเมืองชั้นสูง (อดีตทาสที่ยกระดับขึ้นมา) เสีย 4 แสน
พอถึงคศ. 1336 เมื่อ “ตระซอกประแอม” (นาย หรือต่อมาคือ พระเจ้าแตงหวาน) นำพวกทาสล้มบัลลังก์วรมัน ก็อาจฆ่าคนสยาม และพวกนายทาสไปเสีย 1 แสน ในการนี้ทาสทั้งหลายได้ประโยชน์สองต่อคือยึดอำนาจรัฐและปลดแอกจากการเป็นทาสไปพร้อมกัน
3 แสนที่เหลือก็หนีตายอพยพไปก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา นำโดยพระเจ้าอู่ทอง นั่นแล โดยนำเอาระบบกษัตริย์เทวราชาติดตัวไปที่อยุธยาด้วย อีกทั้งกษัตริย์เป็นคนขอม ก็ต้องตรัสด้วยภาษาขอม ซึ่งกลายมาเป็นราชาศัพท์ของเราจนถึงทุกวันนี้
..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๕ มค. ๒๕๕๔)
ไม่มีความเห็น