การตัดสินคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ ในฐานะที่กวีนิพนธ์เป็นทั้งวัตถุแห่งสุนทรียะและเป็นทั้งเครื่องมือในการเสนอปรัชญาของนักคิดไทย กวีนิพนธ์จึงทำหน้าที่ในการตีแผ่ชีวิตทั้งในด้านสุขและทุกข์ ทำให้เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง เห็นความสำคัญของชีวิตและซาบซึ้งในคุณค่าของชีวิต มองในแง่สุนทรียศาสตร์ กวีนิพนธ์เป็นทัศนศิลป์และเป็นวิจิตรศิลป์มีภาระในการสนองความต้องการด้านสุนทรียะ
กวีนิพนธ์นั้นเป็นศิลปะแห่งการใช้คำสื่อความหมายให้เกิดความงาม และความงามนี้เป็นทั้งจิตวิสัย(Subjective) และวัตถุวิสัย(Objective)(1) คือ ทั้งขึ้นอยู่กับจิตและขึ้นอยู่กับวัตถุประกอบกัน ความงามมิได้อาศัยจิต หรืออาศัยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ความงามมีอยู่ทั้งในสภาพแวดล้อมและในจิตมนุษย์เรา ที่ความงามมีอยู่ในจิตได้แก่จิตที่กระทำปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อม มาตรการตัดสินความงามจึงแตกตางกันไปตามรสนิยมและยุคสมัย ผู้ประพันธ์กวีนิพนธ์ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด มีความมุ่งหมายสร้างสรรค์ความงามหรือสุนทรียะขึ้นตามมาตรการของตน กวีนิพนธ์หรือวรรณคดีจึงเป็นวิจิตรศิลป์อย่างหนึ่ง
กล่าวโดยพันธกิจนักปรัชญากับนักกวีมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ปรัชญาใช้เหตุผลเพื่อเข้าใจสัจธรรม ในขณะที่กวีใช้อารมณ์ความรู้สึกสร้างศิลปะในตัวอักษรเพื่อให้เข้าสัจธรรม
ทั้งนักปรัชญาและนักกวีมุ่งไปสู่ความเข้าใจในสัจธรรม เพียงแต่ใช้เครื่องมือต่างกัน สัจธรรมตามทัศนะของนักปรัชญากับนักกวีก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน นักปรัชญายอมรับสัจธรรมและตัดสินคุณค่าโดยเหตุผล ส่วนนักกวียอมรับสัจธรรมและตัดสินคุณค่าโดยอารมณ์ความรู้สึก เมื่อนักปรัชญามองดูดอกไม้ สัจธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเห็นคือ ความงาม แต่จะยอมรับสัจธรรมนั้นว่าเป็นจริงหรือไม่ ก็ต้องพยายามสืบค้นต่อไปว่าความงามมีอยู่ในดอกไม้หรือมีอยู่ในจิต
ส่วนนักกวีมองดูดอกไม้ ความงามของดอกไม้อาจทำให้กวีเกิดความสะเทือนใจอย่างรุนแรงทันที จนเกิดการตัดสินคุณค่าแห่งความงามของดอกไม้
เมื่อนายมีเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง เห็นมวลดอกไม้นานาชนิดระหว่างทาง นายมีได้ตัดสินคุณค่าของดอกไม้ดังนี้
เห็นสาวหยุดหยุดยืน ค่อยชื่นจิตพี่ยิ่งคิดถึงนุชที่สุดหมาย
ได้หยุดชมหยุดเชยเคยสบาย ทั้งหยุดก่ายหยุดกอดแม่ยอดรัก
(นิราศพระแท่นดงรัง)
การตัดสินคุณค่าของดอกไม้ว่ามีความงามเหมือนผู้หญิงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นจริงโดยทั่วไป สุนทรภู่กล่าวว่า "เห็นพุ่มพวงปุบผายิ่งอาลัย สลดใจขุกคิดถึงคู่เคียง" (นิราศพระบาท) กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโรรสก็กล่าวไว้เช่นกันว่า
เลบมือนางนี้หนึ่ง นขา นางฤา
ต้องดั่งต้องบุษบา นิ่มน้อง
ชงโคคิดชงฆา นุชนาฏ เหมือนฤา
เรียมรเมียรเดื่อปล้อง ดั่งปล้องสอสมร
(เตลงพ่าย)
แม้วิธีการของกวีกับนักปรัชญาจะแตกต่างกัน ในการพยายามตีความคุณค่าของดอกไม้ แต่สัจธรรมที่เกิดกับนักปรัชญาและนักกวีก็เป็นอย่างเดียวกันคือ ความงามและการตัดสินคุณค่าของดอกไม้นั้น ขอให้สังเกตข้อความดังไปนี้
นักปรัชญา : วัตถุเป็นบ่อเกิดแห่งความงาม
ดอกไม้เป็นวัตถุชนิดหนึ่ง
ดอกไม้เป็นบ่อเกิดแห่งความงาม
นักกวี : สาวหยุดหยุดย่างช้า หวังชัก ชวนแม่
รักใช่รักแรมรัก สุดรู้
นางแย้มจะยลพักตร์ ฤาพบ พานเลย
ซ่อนกลิ่นกลอยซ่อนชู้ ชื่อซ้ำใจถวิล
(นิราศนรินทร์)
วิธีการเข้าถึงความจริงแห่งความงามที่ซ่อนอยู่ในดอกไม้ข้างต้น ทำให้เกิดโลกทัศน์เฉพาะของนักกวีและนักปรัชญา แม้วิธีการอธิบายความงามของดอกไม้จะแตกต่างกัน นักปรัชญาตัดสินความงามของดอกไม้โดยใช้หลักตรรกะ กวีตัดสินความงามของดอกไม้โดยใช้อารมณ์ความรู้สึก แต่ทั้งสองก็ต้องการสื่อให้ผู้รับสารทราบถึงความจริงของดอกไม้ที่ตรงกันคือความงาม ถึงกวีจะไม่ได้บอกว่า กวีคิดถึงความงามของหญิงคนรักเพราะใช้หลักเหตุผลทำให้เกิดปัญญาจนรู้ว่าความงามมีอยู่ในดอกไม้ หรือดอกไม้เป็นวัตถุที่ทำให้เกิดความงาม หรือความงามมีอยู่ในจิต ดอกไม้กระตุ้นให้ความงามขึ้นในจิต กวีจึงคิดถึงหญิงคนรัก
แต่เมื่ออ่านโคลงบทนี้เราเห็นได้ทันทีว่าความงามที่เกิดขึ้นแก่กวีผู้ประพันธ์ไม่ได้ผ่านการวิจารณ์ตามหลักเหตุผล(Logic) ความจริงทางสุนทรียะในดอกไม้ที่เกิดแก่กวีผู้ประพันธ์จึงไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล
ถ้าอธิบายตามหลักปรัชญาว่าทุกอย่างอธิบายโดยเหตุและผลจึงยอมรับได้ นั่นก็หมายความว่า เมื่อเห็นดอกไม้ทุกคนจะต้องคิดตามหลักเหตุผลจนเกิดปัญญาก่อนว่า ดอกไม้นี้เป็นดอกอะไร เป็นสีอะไร ความงามที่ปรากฏในดอกไม้นี้เป็นวัตถุที่ลอกเลียนแบบหรือถ่ายแบบมาจากพระเจ้า เมื่อทราบตามหลักเหตุผลแล้ว ความรู้สึกว่างามจึงเกิดขึ้นตามมา
แต่ในความเป็นจริงเมื่อเห็นดอกไม้ความรู้สึกว่างามเกิดขึ้นทันที สำหรับนักกวีแล้ว ความงามนั่นแหละคือความจริงและความจริงก็คือความงามนั่นเอง
เมื่อนักปรัชญากับนักกวีเห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง วิธีการอธิบายความงามของดอกไม้จึงแตกต่างกันออกไป แต่เมื่อสรุปคือทั้งสองก็พูดถึงความงามเช่นกัน
แม้จะมีผู้ปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญากับกวีนิพนธ์ในแง่ของการใช้ปัญญาและเหตุผลในการวิจารณ์ชีวิต สังคม และสรรพสิ่ง โดยแยกกวีนิพนธ์ออกเป็นส่วนหนึ่งจากการใช้ปัญญาและเหตุผล โดยจัดให้กวีนิพนธ์เป็นศิลปะที่มีไว้สำหรับเทศนาสั่งสอนประชาชนให้เป็นคนดีตามหลักศาสนา กวีนิพนธ์จึงไม่เกี่ยวกับการใช้ปัญญาเพื่อเข้าไปตรวจสอบสิ่งที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส จนนักปรัชญาบางท่านเน้นว่า กวีต้องไม่ใช้บทกวีของเขาในการค้นหาความคิดนามธรรมเพราะเชื่อว่าศิลปะต่ำกว่าปรัชญา
โดยรูปแบบ แม้กวีนิพนธ์จะเป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก ส่วนปรัชญาเป็นเรื่องของปัญญาและเหตุผล แต่กวีนิพนธ์ก็มิได้ว่างไร้จากการใช้ปัญญาเสียทีเดียว
ผู้ประพันธ์พยายามใช้ปัญญาเพื่อขบคิดสัจธรรมเช่นเดียวกับปรัชญา นักปรัชญานำเสนอแนวคิดของตนโดยใช้ตรรกวิธี ส่วนนักกวีเลือกศิลปะเพื่อสุนทรียะในการนำเสนอ โดยที่กวีนำเอาสัจธรรมต่างๆ มาหลอมรวมกันเข้าแล้วเคลือบด้วยน้ำคำหวานคือ ภาษากวีมีเป้าหมายให้ผู้เสพวรรณคดีได้รับสุนทรียรส และสัจธรรมในคราวเดียวกัน สัจธรรมที่เกิดจากปรัชญามีรสแห่งแล้ง แต่สัจธรรมที่เกิดจากกวีนิพนธ์ผู้ประพันธ์เชื่อว่ามีรสหวานเสนาะโสต "ถนอมถนิมประดับโสต" นักกวีจึงใช้กวีนิพนธ์แสดงสัจธรรม เมื่อสุนทรภู่กล่าวว่า
อันอ้อยตาลหวนลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลายเจ็บจนตายไม่เหมือนเหน็บให้เจ็บใจฯ
(เพลงยาวถวายโอวาท)
แม้สุนทรภู่จะไม่ได้มุ่งเสนอหลักปรัชญาในฐานะของนักปรัชญา แต่คุณค่าที่กวีนำเสนอก็เป็นปรัชญาในตัวของมันเอง เพราะกวีต้องการนำเสนอความเปลี่ยนแปลงของจิตที่รับอารมณ์ เท่ากับว่ากวีเข้าไปวิจารณ์สภาพจิตมนุษย์โดย การตัดสินความงามของกวีข้างต้น ไม่ได้ขึ้นต่อการตัดสินด้วยเหตุผล แต่กวีตัดสินด้วยความรู้สึก
ประเด็นดังกล่าว เจตนา นาควัชระกล่าวว่า ถ้าจะพิจารณากันให้ถ่องแท้ คุณค่าของวรรณคดีนั้นเป็นคุณค่าที่มีอยู่ในตัวของวรรณกรรมเอง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคุณค่าที่ผูกพันอยู่กับจุดประสงค์ของผู้แต่ง หรือกับความเชื่อถือของผู้ประพันธ์ ประสบการณ์ของศิลปินผู้มีโลกทัศน์อันลุ่มลึกและกว้างไกลได้กลั่นกรองมาแล้วนั้น ย่อมจะมิต้องพึ่งคุณค่าอันใดที่มาจากภายนอกนั่นก็แสดงว่า เหตุผลมิใช่วิธีการเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้เข้าถึงสัจธรรมตามความเป็นจริง แม้กวีผู้เพ่งพินิจพิจารณาด้วยอารมณ์ความรู้สึก ก็สามารถเข้าถึงสิ่งนั้นๆได้ตามความเป็นจริงได้ ในคัมภีร์ทางศาสนาได้จำแนกนักกวีไว้เป็น ๔ ประเภท คือ
๑. จินตกวี
๒. สุตกวี
๓. อรรถกวี
๔. ปฏิภาณกวี
จินตกวีและปฏิภาณกวีใช้อารมณ์ความรู้สึกหรือความสะเทือนใจในการสร้างสรรรค์ผลงาน ส่วนสุตกวีและอรรถกวีใช้ปัญญาในการสร้างสรรค์ผลงาน สุตกวีและอรรถกวีสร้างสรรค์ผลงานโดยมุ่งสารัตถะ และสารัตถะนั้นอาจจะเกิดจากการได้ยินได้ฟัง เพ่งพินิจ หรือไตร่ตรองตามปัญญาก็ได้
โดยนัยนี้กวีนิพนธ์จึงมิใช้เพียงเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก หากอยู่ที่สารัตถะที่กวีต้องการน้ำเสนอ แต่อาศัยความเพลิดเพลิน(สุนทรียะ)เป็นสื่อแสดงออก "ถึงเถาวัลย์พันเกลียวไม่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน" (พระอภัยมณี) ผู้ประพันธ์มิเพียงแต่ต้องการให้เข้าถึงสุนทรียรสของภาษาเท่านั้น หากแต่ต้องการให้เข้าถึงสารัตถะที่ผู้ประพันธ์สอดแทรกไว้ในสุนทรียรสนั้นด้วย เป็นการเข้าไปวิจารณ์สภาวจิตของมนุษย์ว่ามีสภาพวกวนเกินหยั่งรู้
หากพิจารณาคุณค่าของดอกไม้ในแง่สัจธรรม ความจริงที่มีอยู่ในดอกไม้ไม่จำเป็นต้องขึ้นต่อการตัดสินด้วยเหตุผล แต่ดอกไม้ก็มีความจริงอยู่ในตัว กวีนิพนธ์ที่กวีรังสรรค์ขึ้นด้วยวรรณศิลป์ก็เช่นเดียวกัน มีเนื้อหาที่รองรับความจริงอยู่ในตัว ความงามความไพเราะของกวีนิพนธ์บทหนึ่งๆ ไม่จำเป็นต้องตัดสินด้วยเหตุผล กล่าวอีกนัยหนึ่ง องค์ประกอบทางวรรณศิลป์ที่กวีรังสรรค์ขึ้นนั่นเองเป็นความงามความไพเราะและมีสัจธรรมอยู่ในตัว(2)
ดังนั้น บทประพันธ์ที่ไพเราะแต่เสียง ยังไม่ถือว่ามีความไพเราะสมบูรณ์ ความไพเราะที่นับว่าสมบูรณ์จะต้องเกิดจากความเด่นทางด้านเสียงซึ่งสัมพันธ์กับความหมายที่มุ่งอันติมสัจ(Ultimate truth) คือความจริงอันสูงสุด
นอกจากผู้ประพันธ์จะนำธรรมชาติมาเป็นเครื่องมือในการสร้างศิลปะเพื่อให้เกิดสุนทรียะแล้ว ผู้ประพันธ์ยังได้ใช้สุนทรียรสแห่งกวีนิพนธ์เคลือบสัจธรรมเอาไว้ หากผู้เสพกวีนิพนธ์อย่างพินิจก็จะได้รับความจริง ๒ ประการในคราวเดี่ยวกัน คือ ความไพเราะแห่งกวีนิพนธ์หรือสุนทรียรสแห่งกวีนิพนธ์ และสัจธรรมของสรรพสิ่งที่สอดแทรกอยู่ในความไพเราะ
เมื่อ น.ม.ส. อ่านลิลิตตะเลงพ่ายจบลงได้กล่าวถึงรสแห่งกวีนิพนธ์ดังกล่าวว่า
ทรงเชลงเตลงพ่าย รึงใจ
ผู้สดับฤทัย ทุกผู้
คำหอมกล่อมกลอนไพ เราะโสต
ยังไม่มีใครสู้ แต่นั้นนานมาฯ
(สามกรุง)
ภาษากวีนั้นเป็นภาษาดนตรี และดนตรีก็ดำรงอยู่ในชุมชนมนุษย์มีพันกิจเช่นเดียวกันกับกวีนิพนธ์
เพลโต้(๔๒๘-๕๔๗ ก่อน ค.ศ.) นักปรัชญาชาวกรีกกล่าวว่า "ดนตรีรวมทั้งศิลปะ วรรณคดี เพลง และอื่นๆ ซึ่งดีงาม เพื่ออบรมใจให้อ่อนโยน และช่วยทำให้จิตวิญญาณได้ส่วน คนที่ไม่มีดนตรีการ วิญญาณย่อมไว้ใจไม่ได้" (3)
ความงามของกวีนิพนธ์นั้นเปรียบเสมือนความไพเราะของดนตรี ดนตรีให้ความเพลินใจอย่างไร กวีนิพนธ์ก็มีพันธกิจเช่นนั้น และสุนทรียะแห่งกวีนิพนธ์นั้นคุณพุ่มเชื่อว่าสามารถทดแทนดนตรีได้ เมื่อคุณพุ่มประพันธ์กวีนิพนธ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้อุทิศกวีนิพนธ์นั้น "แทนสังคีตเครื่องดีสี" (เพลงยาวเฉลิมพระเกียรติคุณพุ่ม)
เจตนา นาควัชระกล่าวว่า "การที่กวีแต่งงานประพันธ์ขึ้นมาแล้วอุทิศให้ "ผู้อื่น" นั้น อาจจะเป็นวิถีทางหนึ่งที่จะประกันคุณภาพของงานศิลปะ เพราะถ้าไม่ดีไม่มีคุณค่าแล้วก็ไม่กล้ามอบเป็นสมบัติของผู้อื่นที่ตนเคารพ คุณค่าที่กล่าวถึงอาจมิใช่คุณค่าในเชิงสุนทรียะเท่านั้น
นักประพันธ์ไทยมีความภูมิใจที่จะใช้กวีนิพนธ์แทนดนตรี หรือเขียนกวีเพื่อร้องทำนองเพลง เพื่อให้ประชาชนเกิดความเพลิดเพลิน จนบางครั้งแม้จะอยู่ในช่วงระหว่างเผชิญความทุกข์ ก็สามารถใช้ศิลปะร้อยเรียงสรรพสิ่งเป็นดนตรีได้ จนเรียกได้ว่า "ระบายความทุกข์เป็นสุนทรียะ" เช่น นิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง และเพลงยาวเรื่องตีเมืองพม่า แม้ผู้ประพันธ์จะเป็นช่วงที่กำลังเผชิญกับความเป็นความตาย แต่กวีก็สามารถนำเหตุการณ์นั้นมาเสนอในรูปแห่งสุนทรียะได้ กวีมองสภาวะแวดล้อมรอบตัวกวีด้วยความรู้สึกนึก "คิดคล้ายละม้ายเหมือนดนตรี "(นิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง)
ความพยายามในการใช้กวีนิพนธ์แทนดนตรีเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอุดมการณ์ร่วมกันของนักคิดไทย เพราะเชื่อว่าดนตรีนั้นมีค่าสำหรับชาวเมืองอย่างมาก เมื่อกวีจะตัดสินค่าของดนตรีจึงตัดสินด้วยคุณค่าของเพชร ดังที่สุนทรภู่ได้ตัดสินคุณค่าของดนตรีไว้ว่า "อันดนตรีมีค่าทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดั่งจินดาค่าบุรินทร์" (พระอภัยมณี)
กวีเชื่อว่าเสียงแห่งดนตรีก็คือเสียงแห่งกาพย์กลอนนั้นเองเมื่อประโคมดนตรีจึงประโคมด้วยท่วงทำนองแห่งกาพย์กลอน เช่น
"..................... จับพิณดีดประสานสำเนียงครวญ
แกล้งประดิษฐ์คิดขับเป็นกาพย์กลอน กระแสเสียงลอยร่อนโหยหวนฯ (กากีกลอนสุภาพ)
แม้จุดประสงค์ของการประพันธ์ผลงานจะมีความแตกต่างกัน แต่วัตถุประสงค์หลักซึ่งถือว่าเป็นพันธกิจหลักของผู้ประพันธ์คือ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสุนทรียะ พันธกิจดังกล่าวเกือบจะเป็นอุดมการณ์ร่วมกันของผู้ประพันธ์ เพราะเชื่อว่าคำที่ประพันธ์ขึ้นโดยฉันทลักษณ์นั้นมีความงามไพเราะอ่อนหวานเป็น "พจนารถสุนทร" ประพันธ์ต้องใช้ศิลปะในการใช้อักษรให้เป็นวัตถุแห่งสุนทรียะ เจ้าพระยาพระคลังแถลงไว้ในอิเหนาคำฉันท์ว่า
ศรีศรีสวัสดิเสร็จ เผด็จฉันท์บริบูรณ์
สังวาสรสพูน พจนนารถสุนทร
เริ่มเรื่องชวารัก แลพินักธกล่าวกลอน
หวังไว้สถาวร กระวีชาติธรารมย์
เปรมปรีดีเปรมปราชญ์ พจนารถบันสม
บันสานดำนานคม สฤษดิรสเป็นเชิงฉันท์ฯ
(อิเหนาคำฉันท์)
แม้ในพระราชนิพนธ์รามเกียรติก็ได้กล่าวถึงสุนทรียะแห่งกวีนิพนธ์ไว้ว่า "ปานสุมาลัยเรียบร้อยสร้อยโสภิต พิกสิตสาโรช โอษฐสุคนธ์วิมลหื่นหอม ถนอมถนิมประดับโสต" (รามเกียรติ) ความงามของอักษรที่ถูกเรียงร้อยขึ้นด้วยศิลปะแห่งฉันทลักษณ์นั้นเปรียบได้ดังดอกไม้ สุนทรภู่ก็กล่าวไว้เช่นกันว่าการเขียนบทกวีเพราะ "เจ้าประดิษฐ์คิดขับให้เพราะจับจิตใจ" (บทเห่กล่อมพระบรรทม) แม้เจ้าพระยาพระคลังก็แถลงไว้ว่า "วิชาขับกาพย์เกลี้ยงกล่าวกลอน"นั้นสามารถ "บำเรอจิตอิสเรศให้เรืองรณ" (วรรณคดีพระคลัง)
ในขณะที่พระยาตรังกวีผู้มาจากปักษ์ใต้แถลงไว้ตรงกันกับกวีจากเมืองหลวงว่า "เสียงกวีเสมอเสียงทิพย์ย้อย เสนาะสำนวนเทียม ทิพย์ย้อย" (นิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย) ความเชื่อที่ว่ากวีนิพนธ์เป็นดนตรี เป็นอุดมการณ์ร่วมกันของนักคิดไทย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะนักกวีทุกคนปรารถนาลบล้างความทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสียกรุงศรีอยุธยา และต้องการสร้างความสุขขึ้นใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์ด้วยอุดมการณ์เดียวกัน
คุณค่าทางด้านปรัชญาของวรรณคดีจึงมิใช่เพียงความงาม ความไพเราะที่เกิดจากวรรณศิลป์เท่านั้น แต่วรรณคดีดำรงอยู่มีสถานะเป็นเครื่องมือในการวิจารณ์ชีวิตและสรรพสิ่งให้เห็นแก่นแท้ของสิ่งนั้นๆ ตามความเป็นจริง
____________________________________
(1) ในแง่จิตวิสัย นักปรัชญาบางท่านเชื่อว่า ความงามขึ้นอยู่กับจิต ตำแหน่งแห่งที่ของมันอยู่ที่จิตของแต่ละบุคคลที่รับรู้มัน ความงามไม่มีในสิ่งแวดล้อม มีอยู่ในจิตเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่มีความจริงอยู่ในจิต ดังนั้นปรัชญาเมธีกลุ่มนี้จึงถือว่าความงามเป็นจิตวิสัย
ในแง่วัตถุวิสัย นักปรัชญาบางท่านเชื่อว่า ความงามขึ้นอยู่กับวัตถุ มันอยู่ในสิ่งทั้งหลาย สามารถมีอยู่ในวัตถุตลอดไป โดยที่ไม่อาศัยจิต จิตจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม มันก็คงอยู่อย่างนั้น จึงเรียกความงามเป็นวัตถุวิสัย
(2) กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์กล่าวว่า ภาษาที่จะจับใจคนได้ ๔ ประการ คือ (๑) ในทางความหมาย (ก) อาศัยความหมายของถ้อยคำตามหลักไวยากรณ์ที่ผูกขึ้นเป็นประโยค และ (ข) อาศัยค่าของคำแต่ละคำในการชวนให้นึกคิดหรือนึกฝัน และ (๒)ในทางเสียง (ก) อาศัยความกระเพื่อมไปเป็นลำนำของเสียง และ (ข) อาศัยคุณภาพของเสียงแต่ละพยางค์
(3) ฟื้น ดอกบัว. .ปวงปรัชญากรีก.(กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๒),๑๕๗.
ที่มาจากหนังสือ ทฤษฎีเบื้องต้นแห่งปรัชญาไทย ผู้แต่ง ญาณวชิระ
ไม่มีความเห็น