ผมอยากจะเล่าถึงโครงการหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสเป็นวุฒิอาสาเข้าไปช่วยด้วยใจ คือ “โครงการสังคมไทยคืนครูดีให้ศิษย์ยกย่อง เชิดชู ครูสอนดี เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน” ที่เราเรียกกันสั้นๆว่า โครงการ “ครูสอนดี” ของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน เรียกย่อๆว่า สสค. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระองค์กรหนึ่ง
คุณสมบัติ ของครูสอนดีตามโครงการนี้ จะต้อง “สอนเป็น เห็นผล คนยกย่อง” โดยต้องผ่านการคัดสรรจากคณะกรรมการเพื่อการคัดเลือกครูสอนดีและลดความเหลื่อมล้าทางการศึกษา ทั้ง 2 ระดับ คือระดับท้องถิ่น และระดับจังหวัด คณะกรรมการทั้ง 2 ระดับ เกิดจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แต่งตั้ง เพื่อระดมพลังความร่วมมือจาก 5 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาครัฐ และภาควิชาการ ในการเฟ้นหาครูสอนดีจากท้องถิ่นของตน
กระบวนการทำงานของคณะกรรมการทั้ง 2 ระดับ เพื่อคัดเลือกครูสอนดีและผู้รับทุนครูสอนดี ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ
1.การสรรหา จาก 2 ช่องทางคือ สถานศึกษา โดยภาคี 4 ฝ่าย(ผู้บริหาร เพื่อนครู ผู้ปกครอง และนักเรียน) ร่วมกันเสนอชื่อครูสอนดีในสถานศึกษาไปยังคณะกรรมการระดับท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(เขต เทศบาล/อบต.)จะเป็นผู้เสนอชื่อครูที่สอนเด็กด้อยโอกาสนอกสถานศึกษาและครูที่สอนการศึกษาทางเลือก รวมทั้งองค์กรสาธารณประโยชน์ที่จัดสอนเด็กด้อยโอกาสสามารถเสนอชื่อให้เขต เทศบาล/อบต.พิจารณาได้
2.การคัดเลือก โดยคณะกรรมการระดับท้องถิ่น พิจารณาคัดเลือกและเสนอชื่อไปยังคณะกรรมการระดับจังหวัด จากนั้นคณะกรรมการระดับจังหวัดกลั่นกรองและพิจารณารายชื่อครูสอนดีที่คณะกรรมการระดับท้องถิ่นส่งมา รวมถึงการคัดเลือกครูผู้รับทุนครูสอนดี เสนอไปยังคณะกรรมการส่วนกลาง เพื่อพิจารณากลั่นกรองก่อนประกาศรายชื่อครูสอนดี และครูผู้รับทุนครูสอนดีรอบแรก
3. การตรวจสอบและยืนยันรายชื่อ คณะกรรมการระดับท้องถิ่นเปิดโอกาสให้ทักท้วงผลการคัดเลือกครูสอนดี และคณะกรรมการระดับจังหวัดเปิดโอกาสให้ทักท้วงผลการพิจารณาผู้รับทุนครูสอนดี เพื่อพิจารณากลั่นกรองอีกครั้ง จากนั้นจึงส่งไปยังคณะกรรมการส่วนกลางเพื่อกลั่นกรองและประกาศรายชื่อในรอบสุดท้าย
โครงการนี้กำหนดไว้เบื้องต้น 3 ปี ในปี 2554 ซึ่งเป็นปีแรกจะได้ครูสอนดี จำนวน 20,000 คน ได้รับเงินคนละ 10,000 บาท และได้รับทุนครูสอนดี จำนวน 600 ทุน ซึ่งจะได้รับเงินทุนเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนใน 3 ปี คนละ 500,000 บาท
จากการที่ผมได้เข้ามามีส่วนร่วมโครงการนี้ โดยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ(วุฒิอาสา)ติดตามการดำเนินงานโครงการครูสอนดี ประจำภาคใต้ และได้ไปเยี่ยม แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคณะกรรมการระดับจังหวัดและคณะกรรมการระดับท้องถิ่น ทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ได้พบข้อสังเกตบางประการ กล่าวคือ เนื่องจากโครงการนี้เพิ่งเริ่มต้นดำเนินการ และมีวัฒนธรรมการดำเนินงานแตกต่างไปจากโครงการอื่นๆที่ผ่านมา จึงอาจมีปัญหาด้านการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันบ้าง โดยโครงการนี้ส่วนกลางจะกำหนดเพียงหลักเกณฑ์และแนวดำเนินการเป็นกรอบกว้างๆ แล้วกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ แนวปฏิบัติได้ตามบริบทของจังหวัดหรือท้องถิ่นของตนเองได้อย่างยืดหยุ่น และร่วมกันวางแผนดำเนินงานได้อย่างเต็มที่
จุดเด่นที่ผมพบก็คือ โครงการนี้เน้นการทำงานอย่างมีส่วนร่วมของประชาคมทั้ง 5 ภาคส่วน การสรรหาและคัดเลือกครูสอนดี ไม่เน้นการประเมินจากเอกสาร แต่ใช้กระบวนการทางสังคมจากหลายภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น เป็นผู้สรรหา นำเสนอ และมาร่วมพิจารณาคัดเลือกกัน โดยมีความเชื่อว่า คนในท้องถิ่นย่อมรู้จักครูในท้องถิ่นของตนได้ดีที่สุด
ด้วยกระบวนการสรรหาและคัดเลือกที่เป็นมิติใหม่ดังกล่าว เมื่อผมไปเยี่ยมจังหวัดและท้องถิ่นใด ก็จะได้รับการยอมรับ สนับสนุน จากภาคประชาสังคม และมีความกระตือรือร้นที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ อยากให้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกปี บ้างก็เสนอแนะให้ใช้กระบวนการเช่นนี้ประเมินครูและบุคลากรทางการศึกษาในการเลื่อนวิทยฐานะด้วย หลายท้องถิ่นคิดต่อยอดโครงการนี้ลงในแผนปฏิบัติการปกติของท้องถิ่น และเชื่อมโยงขยายผลไปสู่การยกย่องครูและการพัฒนาครูในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
เห็นหน่วยงานและสังคมทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญในการยกย่องเชิดชูคุณครู เพื่อให้เป็นแบบอย่างและให้ครูมีกำลังใจในการอบรมสั่งสอนศิษย์แล้ว ...ช่างป็นเรื่องที่น่าชื่นใจจริงๆ
สวัสดีค่ะ
ชอบจังเลย ค่ะ สอนเป็น บางท่านเก่งแต่ถ่ายทอดไม่เก่ง
เห็นผล ก็คงดูลูกศิษย์...คนยกย่อง ...ใช่ค่ะ...
ศิษย์ดีสะท้อนครูดี ผลผลิต(กรรม)คือตัววัด การกระทำคือการสอนดี สอนให้เด็กเป็นคนดี (ฉลาดไม่ใช่เก่งอย่างเดียว)เป็นผลเมืองดี มีความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ รู้จักความพอดี ครูจึงเป็นแม่แบบค่ะ สรุปครูสอนดีต้องให้ลูกศิษย์หลายๆรุ่นเป็นผู้ประเมินค่ะ
พิมพ์เขียวพิมพ์นิยมพิธีกรรมบนกระดาษ ใช้ได้ก็แค่ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจ ยิ่งมีรางวัลเป็นตัวล่อก็พอจะคาดเดาได้ ไม่ยากถ้าอยากรู้ว่าครูคนไหนในโรงเรียน เป็นครูสอนดีค่ะ
เนื่องจากโครงการนี้เป็นการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานแนวใหม่ และเพิ่งเริ่มดำเนินการปีแรก จึงมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร สร้างความเข้าใจในทุกท้องถิ่นให้ทั่วถึงอยู่บ้าง แต่เมื่อเราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็เกิดความเข้าใจและเกิดตวามตระหนัก ทุกภาคี ทุกภาคส่วนต่างกระตือรือร้นที่อยากเข้ามามีส่วนร่วม ที่สถานศึกษาพอใจมากอย่างหนึ่งคือการสรรหาและคัดเลือกแบบนี้จะไม่เน้นจากการเขียนเอกสาร เหมือนที่ผ่านๆมา