ความเห็นข้าพเจ้าต่อหายนะโลก 2012
ขณะที่เขียนนี้ ๓ พค. ๒๕๕๔ เมื่อสัก 2 ปีก่อน มีนักศึกษา 3 คนเข้ามาหาผม มาถามว่าปีคศ. 2012 โลกาจะวินาศจริงหรือไม่ พวกเขาเชื่อว่าผมคงให้คำตอบได้เพราะได้ยินว่าเคยทำงานกับนาซ่า
ผมแอบอมยิ้มในใจว่าคนไทยเรานี่มันซื่อจริงๆ ไม่ถามก่อนว่าผมทำงานอะไร ที่ไหน อย่างไร ทำกะนาซ่าจริง หรือว่า ทำกะอาจารย์ในมหาลัยที่ได้ทุนมาจากนาซ่า แล้วก็เอามาโอ่กันว่า "ทำงานกะนาซ่า" ๕ห้า5
แม้ว่าทำงานกะนาซ่าจริง ก็อาจจะเป็นนักบัญชี หรือโภชนากรให้นาซ่าก็เป็นได้ จะมีความรู้อะไรเรื่องหายนะโลกที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอวกาศไหม...ไม่เคยถาม เอาเป็นว่าทำงานกะนาซ่าต้องรู้เรื่องอวกาศ มนุษย์ต่างดาวไปหมดทุกคน ๕๕๕
แต่ความจริงแล้วผมเป็นวิศวกรวิจัย (research engineer) เรื่องเครื่องยนต์ยานอวกาศและเครื่องบินเหนือเสียง ซึ่งก็ไม่รู้อะไรเรื่องดวงดาวอยู่ดีน่ะแหละ
องค์การนาซ่ามีพนักงานประมาณ 20,000 คน กระจายอยู่ตามศูนย์ต่างๆทั่วประเทศประมาณ 7 ศูนย์ ในจำนวนนี้ 3 ศูนย์เป็นศูนย์วิจัย (research center) ผมโชคดีที่ได้ไปทำงานอยู่ 2 ใน 3 ศูนย์วิจัยนี้มาแล้วด้วย คือ ศูนย์วิจัยแลงรีย์ในเวอร์จิเนีย (ซึ่งเป็นศูนย์ที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดด้วย) ทำอยู่ 7 ปี จากนั้นไปทำที่ศูนย์วิจัยเลวิสในรัฐโอไฮโอ ทำอยู่อีก 5 ปี
จากพนักงานทั้งหมดจำนวน 20000 นี้ประมาณเพียง 5000 คนเท่านั้นที่เป็นนักวิจัย ที่เหลือเป็นพวกนักบริการ เช่น ภารโรง ธุรการ การเงิน นักบัญชี พวกนักเชื่อมโลหะ ไปจนถึงพวกเตรียมการปล่อยจรวด (ส่วนคนขับรถนั้น นาซ่าไม่มีจริงๆ ผอ. ศูนย์วิจัยก็ต้องขับรถเอง)
ส่วนนักวิจัยนาซ่าด้านดวงดาวผมประมาณว่าไม่น่าถึง 2% ของนักวิจัยทั้งหมด (หรือไม่ถึง 100 คน) แต่คนไทยส่วนใหญ่ได้ข่าวใครเคยทำงานนาซ่าเป็นบูชาว่าเป็นพหูสูตด้านดาราศาสตร์ไปเสียหมด คนที่ได้รับการบูชาบางคนก็เลยสวมรอยสมอ้างไปเลย ทั้งที่อาจทำงานเป็นนักบัญชี หรือ สถาปนิก
ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้คืองานวิจัยส่วนใหญ่ ประมาณ 70% ของนาซ่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอวกาศเลย แต่เกี่ยวข้องกับ”อากาศ” เสียมากกว่า ดังชื่อขององค์กรก็มีคำว่า aeronautic มาก่อนคำว่า space เสียอีก หมายความว่านาซ่าทำงานวิจัยเกี่ยวกับเครื่องบินอากาศ มากกว่า ยานอวกาศนั่นเอง (NASA = National Aeronautic and Space Administration)
อารัมภบทด้วยความอัดอั้นสะสมเสียนาน วกกลับมาเรื่องโลกาวินาศ โดยส่วนตัว (ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับนาซ่า) ผมไม่เชื่อเรื่องหายนะโลก 2012 นี้มาแต่ได้ยินมันเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ...ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง เหตุผลผมบางประการคือ
1) โลกเราอยู่ดีๆ มาหลายพันล้านปี ก่อนแต่จะมีสัตว์เซ็ลเดียว ทำไมจู่ๆจะมาล่มสลายเพียงเพราะการทำนายทายทักของคนที่เป็นใครก็ไม่รู้ ที่วิวัฒนาการมาจากเถ้าธุลีเหล่านั้น สมองของเขาจะมาฉลาดเกินธรรมชาติที่เป็นต้นกำเนิดแห่งเขาไปได้ขนาดนั้นเจียวหรือ จะไม่โอหังเกินธรรมชาติไปหน่อยหรือ ว่าไปแล้วคำทำนายทำนองนี้มีมามากหลายแล้วในอดีต และก็ทำนายผิดมานับสิบครั้งแล้ว
2) แม้ไม่ได้เรียนดาราศาสตร์ แต่ก็คะเนได้ไม่ยากนักหรอกว่า จักรวาลเรานี้มีมวลสารอยู่ไม่น่าถึง 1 ใน ล้านล้านส่วน ที่เหลือเป็นช่องว่าง (void) ดังนั้น การที่มวลสารจะวิ่งผ่านช่องว่างมาชนกันได้นั้น โดยหลักสถิติ ผมว่ามันยากยิ่งกว่าซื้อลอตเตอรี่แล้วถูกรางวัลที่ 1 3 ครั้งซ้อนเสียอีก (นี่ว่าแบบว่าซื้อด้วยเลขเด็ดจากอาจารย์ดังแล้วด้วยนะ)
3) แม้ว่ามวลสารใดจะวิ่งเข้าชนโลกมันก็ยังต้องแหวกม่านอากาศของโลกเข้ามาด้วยความเร็วสูง ซึ่งจะเกิดการเสียดสีกับชั้นบรรยากาศของโลกจนเกิดความร้อนมหาศาลจนเผาไหม้มันเป็นจุลไปเสียก่อน ดังเช่นที่ลูกอุกาบาตทั้งหลายในอดีตได้พบประสบมาแล้ว
4) เรื่องสนามแม่เหล็กโลกปั่นป่วนนั้น ให้ใช้เหตุผลตามข้อ 1
5) เรื่องภัยพิบัติธรรมชาติทั่วโลกในปีนี้ที่มีมากหลายแห่งนั้น อธิบายได้ด้วยหลักการความยุ่งเหยิงธรรมดา กล่าวคือ ภูมิอากาศของโลกเรานี้มันแปรปรวนได้เสมอ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ไม่ต่างอะไรกับตลาดหุ้น หรือ อารมณ์ของมนุษย์ แต่ในภาพรวมแล้ว มันไม่หลุดไปจากกรอบมากนักหรอกครับ อุปมาดังคนขับรถ ก็มีตกถนนไปบ้าง ด้วยหลากหลายสาเหตุ แต่คนส่วนใหญ่ก็ผ่านไปถึงจุดหมายได้
สุดท้ายขอให้ทุกท่านทำใจเถอะครับ อย่าไปกังวลเกินเหตุ ถ้ากลัวนักก็ให้ทำดีไว้เป็นพอ ถ้ามันไม่เกิด เราก็ได้ทำดีแล้ว ก็เป็นบุญกับตัวเอง ถ้ามันเกิดจนเราตายหมดโลก ทำดีไว้ก็ไม่เสียหลาย ถ้าสวรรค์มีจริงก็ได้ไปสวรรค์ ถ้ามีไม่จริงก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากไปกว่านั้น
....คนถางทาง
ชอบบันทึกแบบนี้ครับ
ให้ได้วิเคราะห์กับสิ่งที่เราได้พบครับ
ขอบคุณครับ
เมืองไทยมีอยู่สองคนครับ เท่าที่ทราบ