มองชีวิตจากสื่อโฆษณาพ่อฉันเป็นใบ้


ความรักที่ยิงใหญ่ของพ่อ

พ่อฉันผู้เป็นใบ้ : โฆษณาจากชีวิตจริง 

          ช่วงนี้มีโฆษณาที่โทรทัศน์เรื่องหนึ่งที่สะกดและสะเทือนใจผู้ชม  เป็นการนำเสนอเรื่องราวของพ่อลูกคู่หนึ่ง  โดยพ่อเป็นใบ้มีอาชีพขายของ  และลูกสาววัยรุ่นที่ไม่พึงพอใจว่า  ตนมีพ่อเป็นคนใบ้  อยากมีพ่อที่พูดได้เหมือนคนอื่น  ดังนั้นจึงแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อพ่อหลายครั้ง  พ่อได้แต่รู้สึกเสียใจ  ต่อมาลูกสาวทำร้ายตนเอง  พ่อตกใจมากรีบพาไปโรงพยาบาลและขอร้องให้หมอช่วยชีวิตลูกโดยตนเองพร้อมจะเสียสละทุกอย่างขอเพียงลูกปลอดภัย   และสุดท้ายก็สามารถช่วยชีวิตลูกสาวได้  เมื่อลูกสาวฟื้นเห็นนอนหลับเพราะให้เลือดแก่ลูก จึงสำนึกผิดและหวนนึกถึงความรักการดูแลของพ่อที่มีให้แก่ตนเองในตอนเด็ก ๆ

            โฆษณานี้  มีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์จีนเรื่องพ่อจ๋าอย่าร้องไห้   ซึ่งเคยโด่งดังมากในปี 2528  ตอนนั้นฉันกับกลุ่มเพื่อนกำลังเรียนมัธยมปลาย  และได้ยินคนกล่าวขวัญถึงหนังเรื่องนี้ว่า  ทุกคนที่ดูต้องหลั่งน้ำตา   จึงรวมกลุ่มเพื่อนชายหญิงนับสิบคนไปดูในวันหยุด  เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ขนาดอ่านเรื่องย่อไปก่อนล่วงหน้า และบอกตนเองว่า  เป็นเพียงหนัง  แต่พอไปดูในโรงหนังก็ร้องไห้กันทุกคนทั้งชายหญิงเพราะสงสารพ่อที่เป็นใบ้ในเรื่อง สำหรับเรื่องย่อ “พ่อจ๋าอย่าร้องไห้” มีดังนี้คะ    

....อาเหม่ยนางเอกของเรื่องเป็นเด็กทารกที่คนเอามาทิ้งข้างถังขยะ  เช้าตรู่วันหนึ่งมีลุงใบ้ที่เก็บขวดขายมาเก็บขวดที่ถังขยะแล้วได้พบเด็กทารกคนนั้นเข้า  ก็รักและเอ็นดูจึงเก็บเอาไปเลี้ยง แต่ภรรยาของลุงใบ้ไม่ค่อยจะยินดีได้ปลื้มด้วยที่ลุงเอาเด็กมาเลี้ยง  จนถึงขั้นทะเลาะกันแล้วภรรยาลุงใบ้ก็แยกทาง

        ปล่อยให้ลุงใบ้หาเก็บขวดขาย  เพื่อมาเลี้ยงดูเด็กหญิงคนนั้นจนเติบใหญ่ท่ามกลางความอบอุ่นของชาวสลัมที่ลุงใบ้อาศัยอยู่  เด็กหญิงเติบโตวัยมาอย่างอบอุ่น เด็กหญิงและลุงใบ้รักใคร่เอ็นดูกันยิ่งกว่าพ่อลูกแท้จริง  มีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่เด็กหญิงกลับจากโรงเรียนระหว่างทางก็พบงูเห่าตัวหนึ่งกำลังจะเข้ามาทำร้าย  ทันทีมีหมาน้อยตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วยชีวิตเธอจนเธอปลอดภัย
เธอก็เก็บหมาน้อยตัวนั้นมาเลี่ยงไว้ที่บ้าน  ทำให้สมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้นเป็นสามชีวิตคือลุงใบ้ เด็กหญิง และหมาน้อย 

       วันเวลาผ่านไปเด็กหญิงเติบโตเป็นสาวแรกรุ่น เธอเข้าเรียนในระดับชั้นสูง โดยที่ลุงไบ้ก็ยังคงเก็บขวดขายเช่นเดิม  เด็กสาวหน้าตาน่ารักสดใสเป็นที่สะดุดตาของแมวมองในวงการบันเทิง และชักชวนเธอเข้าสู่วงการด้วยการเป็นนักร้อง  และเธอก็เป็นนักร้องที่โด่งดังไปทั่วเกาะไต้หวัน ฮ่องกง จีน สิงคโปร์  เรียกว่าเธอนั้นโกอินเตอร์เลยก็ว่าได้  แต่สิ่งที่ได้มาซึ่งชื่อเสียง ก็ทำให้เสียไม่มีเวลากลับมาบ้านเลย แม้แต่จะเยี่ยมเยียนพ่อที่เลี้ยงดูเธอมาก็ไม่มี  ประกอบกับกลุ่มผู้สร้างนักร้องได้สร้างภาพลักษณ์เธอต่อมวลชน ว่า  มาจากครอบครัวที่มีความพร้อม  โดยปิดบังสถานะครอบครัวที่แท้จริงและไม่สนับสนุนให้เธอมาพบลุงใบ้

       คงปล่อยให้ลุงใบ้เก็บขวดขายโดยมีหมาตัวนั้นเป็นเพื่อนตลอดเวลา  เคราะห์ซ้ำกรรมซัดลุงใบ้ เมื่อชุมชนสลัมที่ลุงใบ้อาศัยอยู่ต้องมีวันถูกเวนคืนที่ดินไปจากกลุ่มนายทุน  ทำให้ลุงใบ้และเพื่อนบ้านต้องอพยพย้ายทำเลที่อยู่ซึ่งมันก็ย่ำแย่กว่าเดิม

       นับวันลุงใบ้ชราภาพมากขึ้น  ได้แต่นั่งดูความสำเร็จของลูกสาวผ่านจอทีวี เช้าวันหนึ่งที่ลุงใบ้ออกจากบ้านแต่เช้าเก็บขวดขายเหมือนเดิม  ทันใดมีรถจะวิ่งมาเฉียดลุงใบ้แต่เจ้าหมาตัวนั้นวิ่งผลักลุงใบ้ให้พ้นจากอันตาราย จนตัวมันเองถูกรถชนพิการ  ลุงใบ้ทนเห็นความทรมานของมันไม่ได้จึงตัดสินใจฆ่ามัน กับมือลุงใบ้เผื่อไม่ให้มันทรมานอีก  ด้วยความรู้สึกที่รวดร้าวใจ
       เวลาผ่านมาจนลุงใบ้เริ่มเจ็บป่วยออกเก็บขวดไม่ได้อีก ชีวิตลุงใบ้คงมีแค่คุณป้าเพื่อนบ้านที่คอยดูแลเท่านั้นเอง  ลุงใบ้คิดถึงลูกสาวพยายามที่จะไปเยี่ยมไปหาหลายครั้ง แต่ก็โดนเจ้าหน้าที่บริษัทค่ายเพลงที่เธอร้องอยู่กีดกัน  เพราะเขาไม่อยากให้แฟนเพลงรู้ว่าเธอมีพื้นเพชีวิตมาจากสลัมและมีพ่อเป็นคนเก็บขยะ  

      จนถึงวันที่ลุงใบ้เจ็บป่วยใกล้ตายซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นางเอกเปิดแสดงคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ลุงใบ้ก่อนตายไม่ขออะไรมาก ขอแค่ได้เจอหน้าลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายก็พอ ป้าที่ดูแลลุงใบ้จึงรีบไปยังที่เล่นคอนเสิร์ตของนางเอกเพื่อแจ้งข่าวให้เธอรู้  คอนเสิร์ตยังไม่ทันจบคุณป้าเธอก็ฝ่าฝูงคน และสื่อมวลชนเข้าไป เพื่อจะบอกข่าวร้ายให้เธอทราบ  ขณะที่เธอร้องเพลงอยู่บนเวที

      นางเอกเธอก็เลยตัดสินใจจบการแสดงกลางคันแล้วรีบนั่งรถมาโรงพยาบาล แต่ช้าไปเสียแล้ว ลุงใบ้สิ้นใจก่อนที่ลุงใบ้จะได้พบหน้าลูกสาวที่ลุงใบ้รอคอยมาตลอดเวลา....แต่ตอนท้ายนางเอกก็กลับสู่เวที  เธอร้องเพลงพ่อจ๋าอย่าร้องไห้ และเธอประกาศว่า เธอมอบเพลงนี้แด่พ่อของเธอ   ซึ่งเนื้อหาบอกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพ่อผู้เป็นใบ้ของเธอ ที่ให้ชีวิตและทำให้เธอมีโอกาสในวันนี้

     สำหรับสื่อโฆษณาที่สะท้อนพลังรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อเรื่องพ่อฉันเป็นใบ้ที่กำลังนำเสนอในปัจจุบัน  มีเค้ามูลจากเรื่องจริงของพ่อลูกคู่หนึ่งในมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน   เรื่องมีดังนี้คะ 

       ตอนเหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลาง ชื่อว่า เทือกเหล็ก เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว

    “เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ เต้าหู้อร่อยจ้า – เสียงนี่เป็นของฉัน คนขายคือพ่อฉัน พ่อฉันเป็นใบ้”

     ตราบ ถึงวันนี้อายุกว่ายี่สิบแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเองไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้น่าอัปยศเพียงใด ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก

    เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน พ่อโก่งคอยาวแต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้

   ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้และ เจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด ฉันก็แข็งใจไม่ยอมให้พ่อถักผมเปีย ตอนที่แม่เสียไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้ มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกระจกเงากลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง เพ่งจนนานพอแล้ว ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา

   น่าโมโหที่สุดคือเด็กคนอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม (ฉันเป็นลูกคนเล็กอยู่อันดับสาม) ฉันจะวิ่งกลับบ้านเมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้ ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่าฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว

   ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อต้องหยุดงานในมือ มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ร้องไห้ตลอดทั้งคืน เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา

   ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ในที่สุด ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก ทว่าพ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่ หรือจานโม่ ดูน่าเกลียดยิ่งในสายตาฉัน ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆ ก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นใบ้ นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในขณะนั้น

   ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายสองคน มีเหย้าเรือนได้อย่างไร ไม่รู้ว่าโรงเต้าหู้นั้นพ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาลกี่ตำบลหมู่บ้าน รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อตนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

   เสื้อม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัด เย็บให้ตั้งแต่ปี 1979 พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรกในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1992 ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าตาชื่นบานขณะยัดธนบัตรกำใหญ่ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหู้ไว้ที่ฝ่ามือ ฉันอย่างพิถีพิถัน ปากก็เอะอะเออออไม่หยุดยั้ง

    ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งให้ญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพอใจ เมื่อฉันเห็นพ่อพาคุณอาและพี่ๆ มาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมา 2 ปีจนอ้วนพี ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้ หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่รู้ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ

   บนโต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆ คน ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจความหมายของฉัน นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับกินชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้ พ่อคงเมาแล้ว หน้าแดงก่ำ หลังยืดตรง  ส่งภาษามืออย่างองอาจ เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็มๆ พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉันขณะเรียกพ่อเป็นครั้งแรก พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก เอาธนบัตรที่คลุกด้วยกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย

    ปี 1996 ฉันเรียนจบได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็กห่างจากบ้านเกิด 40 กม. เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียวมาอยู่ในเมือง เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้แม้จะช้านานก็ตาม   ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น

   เรื่องราวต่างๆหลังจากอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้ เล่าให้ฟัง……… มีคนเดินทางจำได้ว่าผู้ประสบเหตุคือลูกสาวคนเล็กของเฒ่าถู ดังนั้น พี่ใหญ่พี่รอง สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว  ทุกคนได้แต่ร้องไห้เมื่อเห็นฉันสลบคาที่ ทำอะไรไม่ถูก พ่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้าย รีบช้อนร่างฉันขึ้นมาและโบกรถใหญ่ข้างทางให้หยุด ผู้คนในเหตุการณ์ต่างเห็นว่าฉันไม่รอดแน่

   พ่อใช้ขายันร่างฉันไว้ แล้วใช้มือล้วงธนบัตรปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยัดใส่มือคนขับรถ พร้อมกับขีดเขียนรูปกากบาทถี่ๆ ขอร้องให้พาส่งโรงพยาบาล พี่สะใภ้เล่าว่า พ่อแต่ไหนแต่ไรร่างกายอ่อนแอ แต่ขณะนั้นสำแดงพลังความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจาก พยาบาลเบื้องต้นแล้ว หมอให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น และเปรยกับพี่ๆ ว่า รักษาต่อไปก็ป่วยการเปล่า เพราะขณะนั้น ความดันโลหิตฉันเกือบวัดไม่ได้ หัวกระบาลถูกชนน่วมเป็นลูกน้ำเต้า

   ชุดสวมศพที่พี่ใหญ่ซื้อมาโดยเห็นว่าหมดหวังแล้วถูกพ่อฉีกทิ้ง พ่อชี้ที่ตาตัวเอง ชูหัวแม่มือ จ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นชูสองนิ้วชี้ที่ตัวฉัน แล้วชูหัวแม่มืออีก โบกมือแล้วหลับตา นั่นหมายความว่า  พวกคุณอย่าร้องไห้ พ่อยังไม่ร้องเลย น้องสาวคุณไม่ตายหรอก เธออายุเพียง 20 กว่า ยังไหวแน่ เราช่วยชีวิตเธอได้แน่ หมอยังคงยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ใหญ่บอกกับพ่อว่า แม่หนูไม่รอดแน่ ถึงจะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ว่าจะรักษาได้

   ทันใดนั้น พ่อคุกเข่าลง แล้วลุกขึ้นทันที ชี้มายังฉันพร้อมกับชูแขนสูง จากนั้นก็ทำท่าเพาะปลูก เลี้ยงหมู ถางหญ้า โม่เต้าหู้ แล้วปลิ้นกระเป๋าเสื้อซึ่งภายในว่างเปล่า พร้อมกับชูมือสองข้างกลับฝ่ามือไปมาสองรอบ นั่นหมายความว่า

  “ขอร้องคุณหมอเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง คุณหมอต้องช่วยเธอ ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมเลี้ยงหมู ทำนา ทำเต้าหู้ได้ ผมมีเงิน ตอนนี้ก็มีอยู่4 พันหยวน”

   หมอจับมือพ่อพร้อมกับสั่นหัว นัยว่า แค่ 4 พันหยวนยังขาดอีกเยอะ พ่อไม่รีรอ ชี้ไปยังพี่ๆและพี่สะใภ้ กำมือแน่น หมายความว่า ผมยังมีคนเหล่านี้ช่วยกันพยายาม เราทำได้แน่ เห็นหมอยังทำเฉย พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา หมายความว่า

   ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้ แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด พ่อชี้ไปยังหน้าอกคุณหมอ แล้ววางมือลง หมายความว่า ขอให้คุณหมอไว้ใจ เราไม่เบี้ยวค่ารักษาหรอก เรื่องเงินเราจะหาทางออก

   พี่ใหญ่แปลภาษามือของพ่อให้หมอฟังพลางร้องไห้ไป ไม่ทันแปลจบ หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน  พ่อใช้ท่ามือที่รวดเร็ว สื่อความแม่นยำ ใครๆ เห็นแล้วต้องร้องไห้ หมอบอกอีกว่า ทำศัลยกรรมก็ไม่รับรองว่าจะช่วยชีวิตได้ เกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร พ่อตบกระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วลูบที่หน้าอก หมายความว่า

   “ขอให้หมอช่วยเต็มที่ แม้จะไม่ไหว ก็จะจ่ายเงินให้ครบ โดยไม่บ่นโทษแม้แต่คำเดียว ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ไม่เพียงแต่ค้ำจุนชีวิตฉัน ยังค้ำจุนกำลังใจและความแน่วแน่ให้หมอในการช่วยชีวิตฉัน ฉันถูกนำเข้าห้องผ่าตัด พ่อรออยู่นอกห้องเดินไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนตามระเบียงจนรองเท้าสึกเป็นรู  พ่อ ไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่กลับเป็นแผลพุพองเต็มปากหลังจากเฝ้ารออยู่นอกห้องสิบกว่าชั่วโมง พ่อทำท่าอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ จนฟ้าดินปรานี ให้ฉันรอดมาได้

    ฉันสลบเหมือดตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่ตอบสนองต่อความรักจากพ่อ ทุกคนหมดกำลังใจในตัวฉันซึ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา มีเพียงพ่อคนเดียวที่ยืนหยัดเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้รอฉันฟื้นขึ้นมา  พ่อใช้มืออันหยาบกร้านบรรจงนวดให้ฉันกล่องเสียงพิการของพ่อได้แต่เปล่งลมเออ ออเรียกฉัน เหมือนกับพูดว่า “ลูกหยูน ตื่นเถิด ลูกหยูน พ่อทำน้ำเต้าหู้สดๆ รอลูกอยู่”

   เพื่อเอาใจหมอและพยาบาล พ่อจะอาศัยเวลาที่พี่มาเฝ้าไข้แทน ทำเต้าหู้ร้อนๆ ถาดใหญ่ มาแจกแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลเกือบทุกคนในแผนกศัลยกรรม แม้โรงพยาบาลตั้งระเบียบไม่ให้รับของจากคนไข้ แต่ด้วยคำขอร้องที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้ พวกเขาก็รับไว้อย่างเงียบๆ แค่นี้พ่อก็พอใจและมีความมั่นใจยิ่งขึ้น

    พ่อใช้ภาษามือสื่อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใจบุญ เชื่อว่าต้องรักษาลูกสาวผมได้แน่  ระหว่างนั้น เพื่อระดมค่ารักษา พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้ ความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา ได้รับความสนับสนุนเพียงพอที่จะช่วยลูกสาวรอดพ้นจากเส้นตาย ชาวบ้านต่างออกเงินช่วยเหลือ พ่อก็ไม่ปล่อยปละละเลย ใช้ดินสอจดบัญชีเต้าหู้บันทึกรายละเอียดด้วยลายมือหงิกงอ ทว่าชัดเจนดังนี้ คุณจัง 20 หยวน คุณลี่100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน……

   ในที่สุดฉันฟื้น ขึ้นมาจนได้ตอนเช้าตรู่วันหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป ฉันเห็นผู้เฒ่าผอมเซียวจนเสียรูป อ้าปากกว้าง เปล่งเสียงเออออดังลั่นด้วย ความดีใจที่ได้เห็นฉันตื่นขึ้นมา ผมขาวโพลนของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อในฉับพลันเนื่องจากความตื่นเต้น ครึ่งเดือนก่อนพ่อยังมีผมดำเต็มศีรษะ ครึ่งเดือนผ่านไป พ่อแก่ไปตั้ง 20 ปี หัวโกนจนเกลี้ยงของฉันเริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นแล้ว พ่อลูบไล้หัวฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมตตา การลูบไล้เช่นนี้ ในอดีตถือเป็นความสุขเกินตัวสำหรับพ่อ

   เวลาผ่านไปครึ่งปี ผมฉันยาวพอที่จะถักเปียได้ ฉันจูงมือพ่อขอร้องช่วยหวีผมให้ พ่อกลับออกอาการเปิ่นเก้อ พ่อหวีทีละกระจุก หมดไปค่อนวันก็ยังไม่อาจหาทรงที่ถูกใจพ่อ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อหันมาอยู่หน้าฉัน ทำท่าอุ้มฉันโยนออกไป แล้วงอนิ้วมือเหมือนท่านับเงิน อ้อ พ่อคิดจะเอาตัวฉันไปขายเหมือนขายเต้าหู้ละสิ ฉันแสร้งปิดหน้าร้องไห้ จนพ่อดีใจหัวเราะ ฉันแอบดูพ่อผ่านช่องนิ้วมือ เห็นพ่อหัวเราะจนขดตัวยองๆ กับพื้น เกมนี้เราเล่นจนกระทั่งฉันลุกขึ้นยืนและเดินได้

    ทุกวันนี้ มีเพียงอาการปวดหัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น สุขภาพโดยทั่วไปฉันดูแข็งแรงดี พ่อจึงพึงพอใจยิ่ง เราช่วยกันชำระหนี้สินจนหมด แล้วพ่อก็ย้ายเข้าเมืองอยู่กับฉัน โดยที่พ่อขยันทำงานมาตลอด ทนไม่ได้กับชีวิตอยู่เฉยๆ ฉันจึงเช่าเพิงเล็กๆ ใกล้บ้านให้พ่อทำเป็นโรงเต้าหู้ เต้าหู้ที่พ่อทำ รสชาตินุ่มหอมก้อนใหญ่ดี เป็นที่นิยมของชาวบ้าน

   ฉันติดตั้งชุดลำโพงกับแบตเตอรี่บนรถเข็นเต้าหู้ให้พ่อ แม้ว่าพ่อไม่ได้ยินเสียงกังวานของฉัน แต่ท่านย่อมทราบดี ทุกครั้งที่พ่อกดปุ่มเสียง ท่านจะอกผายไหล่ผึ่ง รู้สึกถึงความสุขและพอเพียง เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำจองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย จนตัวฉันเองก็ใจไม่ถึงพอที่จะสารภาพผิดต่อท่าน

   ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเราเปี่ยมล้นด้วยสังคีตแห่งความรัก เราสดับฟัง สาธยาย สัมผัส และสะเทือนใจ แต่แล้ว พ่อผู้ใบ้ของฉันกลับสอนให้ฉันเข้าใจว่า อันที่จริงแล้ว สังคีตอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือปลอดเสียง อันเป็นพลังที่ไม่พึงสงสัย ทำให้ฉันตีความความรักให้สูงขึ้นไปอีก

   ขอให้เราปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เพราะชีวิตเราได้มาไม่ง่าย มีโอกาสพบกันถือเป็นบุญวาสนา 

   ขอให้เราปรนนิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวที เพราะหลังจากท่านสิ้นบุญแล้วจะเหลือแต่ความรำลึก

   ขอให้เราปฏิบัติต่อคู่ชีวิตด้วยความจริงใจ เพราะหลังจากจากกันแล้วจะไม่มีโอกาสจูงมือกันเดินเที่ยว

   ขอให้เราทะนุถนอมการเจริญเติบโตของบุตร เพราะเมื่อถึงเวลาอันควรจะไม่มีโอกาสได้โอบกอดลูกๆอีก

    ขอให้เราทุ่มเทและให้อย่างเต็มที่ ขอบคุณและอุทิศโดยไม่เห็นแก่ตัว ต่อการพบปะในบุญวาสนาทุกโอกาส

      (ขอบคุณข้อมูลที่มาของโฆษณาพ่อฉันเป็นใบ้จาก OK.nation.net)

 



 

หมายเลขบันทึก: 455038เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2011 13:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 20:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท