ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 3 กลุ่มทฤษฎี ดังนี้
1. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาจิตมิติ (Psychometric Theory of intelligence)
ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาจิตมิติ เป็นทฤษฎีที่นักจิตวิทยาใช้หลักสถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบของเชาวน์ปัญญา (Factor Analysis) หรืออาจเรียกว่า ทฤษฎีโครงสร้างทางเชาวน์ปัญญา มีดังนี้
>ทฤษฎีองค์ประกอบเดี่ยวของเทอร์แมน (Single-Factor Theory)
>ทฤษฎีองค์ประกอบสองตัวของสเปียร์แมน (Two – Factor Theory)
>ทฤษฎีองค์ประกอบทั่วไปสองตัวของแคทเทล (Cattell)
>ทฤษฎีตัวประกอบร่วม หรือ ทฤษฎีสมรรถภาพพื้นฐานทางจิตของเธอร์สโตน (Louis L. Thurstone)
>ทฤษฎีหลายตัวประกอบของธอร์นไดค์
>ทฤษฎีโครงสร้างทางเชาวน์ปัญญาของกิลฟอร์ด (Guilford)
2. ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligence) ของ Howard Gardner
Howard Gardner มีความเห็นว่า เชาวน์ปัญญาของมนุษย์มีความหลากหลายซึ่งแตกแยกจากแนวคิดเดิมๆ ที่เดิมยึดหลักว่า การเรียนรู้ของมนุษย์มีลักษณะเป็นหนึ่งหน่วยหรือวิธีเดียว มนุษย์มีปัญญาชนิดเดียวที่วัดได้
Gardner มีแนวคิดว่า เชาวน์ปัญญามีหลากหลายประเภท (พหุปัญญา) มิได้มีเพียงความสามารถทางภาษา และทางคณิตศาสตร์เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถที่แตกต่างกันออกไปนี้ เมื่อผสมผสานออกมาแล้วจะก่อให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัวบุคคล เชาวน์ปัญญาไม่สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ แต่จะเห็นได้จากผลของการกระทำและการแก้ปัญหา เชาวน์ปัญญาสามารถพัฒนาเพิ่มพูนได้ การวัดระดับเชาวน์ปัญญาจะต้องวัดในบริบท/ สภาพความเป็นจริงในชีวิต
เชาวน์ปัญญาอย่างน้อย 9 ด้านประกอบด้วย
>Linguistic Intelligence
>Logical–Mathematical Intelligence
>Bodily – Kinesthetic Intelligence
>Visual/Spatial Intelligence
>Musical Intelligence
>Interpersonal Intelligence
>Intrapersonal Intelligence
>Naturalist Intelligence
>Spiritual/ existential Intelligence
3. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาไตร์อาร์คชิค (Triarchic Theory of Intelligence) ของ Sternberg R.J
เป็นทฤษฎีที่เน้นกระบวนการของความสามารถทางสมองมากกว่าเป็นองค์ประกอบด้านความสามารถทางสมอง แบ่งเป็นทฤษฎีย่อย 3 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีย่อยด้านการคิด (Componential Subtheory) ทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์ (Experiental Subtheory) และทฤษฎีย่อยด้วยด้านบริบทสังคม (Contextual Subtheory)
ทฤษฎีย่อยด้านการคิด จะเป็นการส่งผ่านข้อมูล (Translate) จากการรับรู้เข้ามาเป็นมโนทัศน์ทางสมอง หรือการเปลี่ยนรูปจากมโนทัศน์ทางสมองหนึ่งไปสู่มโนทัศน์ทางสมองอื่น หรืออาจจะเป็นการส่งผ่านจากมโนทัศน์โครงสร้างทางสมองไปสู่การแสดงออก
ทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์ มีจุดประสงค์เพื่อการทำหน้าที่ใน 2 ลักษณะ คือ ความสามารถในการแก้ปัญหาแปลกใหม่ (Ability to Deal with Novelty) และความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Ability to Automatic Processing)
ทฤษฎีย่อยด้านบริบทสังคม เป็นความสามารถทางสติปัญญาที่เกี่ยวข้องกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของบุคคล เกี่ยวข้องกับความสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง (Adapt)ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมอย่างมีจุดมุ่งหมาย การเลือกสิ่งแวดล้อม (Select) ที่อำนวยประโยชน์สูงสุดมากกว่าที่จะทำตามสิ่งแวดล้อมที่เคยชิน และความสามารถในการดัดแปลงสิ่งแวดล้อม (Shape) ให้เหมาะสมกับทักษะความสามารถและค่านิยมของตน
ที่มา:
Gardner, H. (1983). Frames of mind: The Theory of Multiple intelligence. NewYork: Basic Books.
Sherffer, D.R. (2002). Developmental Psychology Childhood and Adolescence. 6th Edition. Belmont: Thomson Learning Inc.
Spearman, C. (1927). The ability of man. London: Macmillan.
Sternberg, R.J. (1985). Beyond IQ: A Triarchic theory of human intelligence. New York: Cambridge University Press.
______. (2003). Wisdom, Intelligence, and Creativity Synthesized. New York: Cambridge University Press.
น่าสนใจมากเลยค่ะพี่ป้อม ว่าแต่พี่ป้อมพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับ ทฤษฎีการเรียนรูแบบมีส่วนร่วม โดยใช้เเนวคิดของ Kolb บ้างมั้ยค่ะ น้องต้องการมากๆเลยค่ะพี่ป้อม
จ้า เดี๋ยวจัดให้นะคะ
ตามมาอ่าน อาจารย์หายไปนานมากๆ มาเขียนบ่อยๆๆนะครับ ฝากระลึกถึงอาจารย์ท่านอื่นๆด้วยครับ...
ขอบคุณค่ะ อ.ขจิต เพราะมัวหลงไปกับการทำงาน และการเรียนประจำวันค่ะ ต่อไปจะเข้ามาแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องค่ะ มีอ.ขจิตเป็นต้นแบบของการเรียนรู้และสะท้อนคิดค่ะ ^ ^