ขยะบุญ


ช่วงหลายวันมานี้ ผมวุ่นวายอยู่กับเรื่องชีวิตหลังความตาย การเกิดใหม่ วิญญาณ (ในความหมายว่าผู้ละโลกนี้ไปแล้ว)กับการติดต่อกลับ การเคลื่อนตัวของวิญญาณ หลายคำถามในใจ ได้รับการเปิดเผยจากโลกต่างมิติ แน่นอนว่า ทุกอย่างต้องใช้วิจารณญาณอย่างถี่ถ้วน อย่างไรก็ตาม ต่างโลก ต่างมิติ ต่างชีวิต มีวิถีของตน และสรรพชีวิตคือชีวิต แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้หากเราไปครุ่นค้นจากเกินกำลัง ยังแต่จะเสียเวลาเหมือนกับหลายๆเรื่อง สิ่งที่น่าพิจารณาคือ เมื่อครุ่นคิดแล้วต้องได้รับประโยชน์ที่ดี เช่น เพื่อการยกตัวเองให้พ้นจากความไม่ดีทั้งหลาย ความเอื้อเฟื้อต่อการทำในสิ่งที่สวยงามทางจิตวิญญาณทั้งหลาย เป็นต้น

เมื่อวานเป็นอีกวันหนึ่งที่ขับรถไปส่งยายเพื่อไปหาหมอบีบเส้นโบราณ หมอบีบบอกว่า หมอโบราณกับหมอแผนโบราณนั้นต่างกัน ซึ่งท่านไม่ได้เฉลยอะไรมากนัก แต่ผมเข้าใจว่า หมอโบราณ เขาใช้ใจมิได้ตามแผนการหรือแม่แบบที่วางไว้อย่างตายตัว ซึ่งน่าจะได้แก่ "ทักษะ" หรือ "จิตวิญญาณ-จิตสำนึก" (และมีคำอธิบายในใจอีกจำนวนหนึ่ง) ส่วนหมอแผนโบราณนั้น เรียนมาอย่างไรก็เดินไปอย่างนั้น น่าจะคล้ายกับยาวิเศษสรรพโรคด้วยขนานเดียว เสร็จเรื่องจากหมอ (อันที่จริงน่าจะมีคำอื่นที่แตกต่างจากคำว่าหมอใช้แทนผู้เป็นปราชญ์ชุมชน) ทราบว่า มีกรุแตกที่วัดสิงห์ การพบโดยบังเอิญ (หรือเจาะจงไม่อาจทราบได้ เพราะความบังเอิญน่าจะไม่มีจริง) โดยชาวนาไถนา จา่กนั้นจึงหว่านข้าว แต่ปรากฏว่า ที่หนึ่งข้าวไม่งอก พบว่า มีรูปพระอยู่ จึงเก็บขึ้นมาใส่ถัง เป็นพระรวมอยู่หลายพิมพ์ วันที่พระผุดขึ้นมาเป็นวันเข้าพรรษาพอดี แต่น่าเสียดายเมื่อเซียนพระรู้เรืิ่องจึงเดินทางมา พร้อมกับตีราคาสิ่งที่หาค่าไม่ได้นี้ด้วยเงินตรา ชาวบ้านที่รู้เรื่องต่างรีบไปหารูปพระ บางคนหามาสี่วันแล้วยังไม่ได้สักองค์เดียว บางคนเดินมาข้างคันนาแล้วเขี่ยๆ ได้พระไป ๓ องค์ มีหนุ่มคนหนึ่งที่ให้ข้อมูลว่า ตนนั้นมาหาตั้งแต่เช้าแล้ว จวบจนบ่ายสอง ซึ่งแดดจัดมาก เห็นว่าคงไม่ได้แล้วจึงถอดใจจะกลับบ้าน แต่แล้วก็พบรูปพระ ๑ องค์ จึงถือว่า สมปรารถนาไป แต่ดูจะยังไม่พอ เพราะหลังจากนั้น เขามีกำลังใจที่จะหาต่อไป สังเกตดูแล้ว นาที่จะไถและปลูกข้าว กลายเป็นนาที่ไถแต่ปลูกข้าวไม่ได้ เพราะช่วงเย็นและเช้า ไม่มีแดด ชาวบ้านจะมาหารูปพระกันเยอะมาก น่าเสียดายที่ผมได้มีโอกาสไปสังเกตเพียงชั่วโมงกว่า ก่อนเดินทางกลับ ซึ่งน่าสังเกตว่า ที่แห่งนั้น น่าจะเป็นวัดเก่าแก่ก่อนย้ายเมืองจากฝ่ายหัวเขาแดงไปทางบ่อยาง จัีงหวัดสงขลา

ผมไปส่งยายและนั่งคุย (ฟังมากกว่า) กับหลายๆคนที่บ้านยาย ประมาณ สองทุ่มจึงเดินทางกลับหาดใหญ่ ตื่นเช้าจำได้ว่า กลางคืนผันไปถึงเรื่องได้รูปพระมาด้วย แต่ไม่น่าแปลก เพราะจิตคงไปเก็บเรื่องที่ผ่านมาไว้ภายใน แต่สิ่งที่คิดได้หลังจากตื่นคือ ขยะบุญ หมายถึงอะไร

ในการจะไปทำบุญ โดยมากคือ ให้ทาน (พระเรียกว่า ทานมัย) เรามักจะเอาใจไปเรื่องอื่นมากกว่า เช่น เดี๋ยวค่อยทำ แล้วไปทำอื่นก่อน คำว่า "เดี๋ยวค่อยทำ" นี่เองคือขยะบุญตัวแรก ต่อมา เมื่อขณะที่เรากำลังให้ทานอยู่นั้น เราเกิดสงสัยว่า ทำไปทำไม บุญมันมีอยู่จริงหรือ โลกหน้ามีจริงหรือ ผู้รับเหล่านี้บริสุทธิ์จริงหรือ ฯลฯ นี่น่าจะเป็นขยะบุญตัวที่สอง ต่อมา เมื่อทำบุญเสร็จแล้ว หวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองให้ไป ว่า ผู้รับนั้นมีศีลจริงหรือไม่ ก็เห็นวันก่อน เณรแอร์ยังวิ่งเตะฟุตบอลอยู่เลย เห็นพระแคร์วิ่งไล่จับเณรอยู่เลย เป็นต้น น่าเสียดายของที่ให้ไปจริงๆ นี่น่าจะเป็นขยะบุญตัวที่สาม รวมความคือ ขยะทางใจต่อการบำเพ็ญบุญ เพราะบุญคือความอิ่มเอิบอิ่มเต็มในใจ เมื่อถูกแทรกซ้อนด้วยสิ่งที่ไม่เป็นบุญ สิ่งแทรกซ้อนนั้นจึงน่าจะอยู่ในฐานะ "ขยะ" นอกจากนั้น สิ่งที่คิดถึงคือ ของที่ให้ เห็นทางโทรทัศน์ บางครั้งเป็นถัง (ทั่วไปเรียกว่าถังสังฆทาน) ใบใหญ่ๆเท่าตัวคน หรือคนเข้าไปนอนอยู่ได้ ซึ่งช่างคิดช่างจัดทำดีจริงๆ ของที่ให้นั้น ผู้รับเขาต้องการจริงหรือไม่ ถ้ามันเหลือเฟือเกินความจำเป็น ผมมองว่า น่าจะเป็นขยะด้วย โดยเฉพาะเป็นขยะของผู้รับที่มักน้อยสันโดษ 

วันก่อนผมขับรถผ่านวัด ผมคิดไปถึงสังฆทานว่า คำว่า "สังฆะ" มันน่าจะหมายถึงส่วนกลาง สิ่งที่เรามอบให้ผู้รับคือ ก ข ค และ ง จะกลายเป็นสังฆะ ก็ต่อมื่อ ก ข ค และง มอบไว้เป็นของส่วนกลาง ซึ่งใครๆ สามารถนำไปใช้ได้ตามที่ต้องการจริงๆ

ผมไม่แน่ใจว่า ที่เขียนไปนี้คือ "ขยะความคิดหรือไม่" 

หมายเลขบันทึก: 450159เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2011 08:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ตุลาคม 2015 10:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท