แก้คำสาปเมืองลับแล
เมื่อหลวงปู่สอนวิชาช่วยคนลับแลแก้คำสาบคำสาบานแล้ว พระภิกษุหนุ่มก็ก้มลงกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาหลวงปู่ก็หายตัวไปแล้ว พระภิกษุหนุ่มจึงต้องมานั่งคิดเรียงลำดับที่จะช่วยดวงจิตวิญญาณชาวลับแล และก็คิดว่าทำไมหลวงปู่จึงไม่ช่วยเอง ทำไมต้องมาสอนเราให้ เราช่วย ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่มีวิชา ไม่มีของดี ไม่เก่ง ไม่รู้จักวิธีที่จะทำ...แต่ ในที่สุดจากการนั่งสมาธิวิปัสสะนึก คิดลำดับเหตุการณ์ที่หลวงปู่มาสอน พระภิกษุหนุ่มก็ลงมือเตรียมงานทำตามที่หลวงปู่สอนทุกอย่าง ซึ่งขณะนั้นดูเหมือนเวลาจะประมาณ ๑๗.๒๐ น.
ขณะที่พระภิกษุหนุ่ม นั่งสวดบริกรรมภาวนาให้จิตสงบแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวตามแบบที่หลวงปู่สอน และปรากฏว่าได้ผลตามหลวงปู่สอนทุกประการ การที่คนเราทำจิตใจให้บ ริสุทธิ์จริง ๆ ล้วนมีพลังอานุภาพได้สูง ผลที่ได้คือ ขณะที่ พระภิกษุหนุ่มกำลังเผาใบมะขามอยู่นั้น ได้กลิ่นเหมือนไฟไหม้ผิวหนังคนจริงๆมีกลิ่นที่เหม็นสาบ และได้ยินเสียงร้องเหมือนเสียงคนที่เจ็บปวด ทรมานมาก และยังมีลมพัดแรงเป็นช่วง ๆ พระภิกษุหนุ่มก็ทำสมาธิไป จนสว่าง
ในขณะที่ทำสมาธิอยู่นั้นก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้นมามีคนจำนวนมากกระโดดข้ามเหว และเห็นคนกลุ่มนั้นมาขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือพวก เขาให้พ้นทุกข์ทรมานมานานนับเป็น ๑๐๐ ปี พอรุ่งเช้าพระภิกษุหนุ่ม ก็เก็บกลดออกเดินทางไปต่อและจิตใจก็มุ่งมั่นว่าจะไปหาหลวงปู่แหวน เพื่อขอเรียนกรรมฐานกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่แหวน
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ -๒๙ ป่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ดีอยู่เป็นบางช่วง ภูเขา ต้นไม้สูงใหญ่ยังมีมากอยู่ ตลอดทั้งสัตว์ป่านานาชนิด เช่น งูใหญ่ เสือ ช้าง หมี แต่ภิกษุหนุ่มก็มีสติอยู่กับการเดินด้วยจิตใจที่ตั้ง มั่นไปตามป่าเขาและลำห้วยลำธารซึ่งมีน้ำไหลตลอดทั้งปี และที่นั้นอากาศไม่ร้อน เพราะว่ามีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมอยู่แทบตลอดป่า ได้เห็น สัตว์เล็กสัตว์น้อย วิ่งสนุกสนานเริงร่ากันในยามเช้า เห็นหมู่ชะนีและ ลิงให้นมลูกกิน เห็นเนื้อทรายเดินออกหากอาหารเป็นฝูงใหญ่ เห็นการล่าสัตว์ของสัตว์ด้วยกันว่ามันใช้วิธีการใดบ้าง การเดินทางไปในป่าของพระภิกษุหนุ่มนั้นมีเป้าหมายที่จะไป แต่หามีเส้นทางที่จะไปไม่ การเดินจึงต้องอาศัยดวงดาว หรือถามคนที่พบเห็นที่อยู่ในป่า บางครั้งเดิน ทั้งวันหรือสองสามวันก็ไม่เห็นใครเลยก็มี บางทีก็เห็นชาวกระเหรี่ยง ชาวโม่ง พูดกันไม่รู้เรื่องแต่ก็รู้เรื่อง สาเหตุที่รู้เพราะเดามือ เดาปาก แทน แต่ก็เดินผิดทางเพราะการเดาก็มีมากเหมือนกัน
เมื่อไปถึงดอยแม่ปั๋ง พระหนุ่มได้มีโอกาสเข้ากราบหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านก็เมตตาสอนกัมมัฏฐานให้ เป็นเวลาสามเต็ม ๆ ที่เรียนกัมมัฏฐาน ไม่ได้ออกไปไหน โดยอยู่ในกุฏิของท่าน และในที่สุดก็มาถึงสิ่งที่พระภิกษุหนุ่มต้องการรู้ต้องการเรียน นั่นก็คือ วิชาเหาะขึ้นไปอยู่บนก้อนเมฆ หลวงปูก็เมตตาสอนให้ ว่าให้ตั้งใจให้แน่วแน่มั่นคงเสียก่อน
ก่อนที่จะเรียน ท่านให้นั่งภาวนาว่า วาโย ๆๆๆ ไปเรื่อยๆพร้อมกับทำจิตให้ลอยขึ้น วิชานี้แสนยากทำทั้งวันทั้งคืนก็ไม่ได้ดั่งใจต้องการ หลวงปู่บอกว่าเฮ้ย (ทำ)ใจเย็น ๆๆ ทำใจเบาๆๆ แล้วกำหนดจิตให้ลอยขึ้น
พระภิกษุหนุ่มพยายามทำตามที่หลวงปู่สอนติดต่อกันเป็นเวลา ๕-๗ ชั่วโมงก็รู้สึก ว่าตัวเบาลอยขึ้นจากพื้นได้ประมาณ ๑ คืบจากหนึ่งคืบขึ้นมาเป็น ๑ ศอกจาก ๑ ศอกขึ้นมาเป็น ๑ เมตรโดยไม่คาดฝันมาก่อน ทำให้พระภิกษุหนุ่มดีใจ และงงกับสิ่งที่ตัวเองทำและไม่เคยมีความเชื่อมาก่อนเลย ว่าจะเป็นไปได้ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแต่อยู่เหนือคำอธิบาย และเหนือเหตุผลที่คนธรรมดาจะอธิบายได้
หลวงปู่ก็สั่งอีกว่าถ้าอยากทำได้ดีขึ้น สูงดังใจต้องการ ต้องฝึกทำบ่อย ๆๆ กำหนดจิตให้มั่นคงในสิ่งทำและไม่ต้องเอาไปโอ้อวดใครเขา ฝึกให้ดี ๆๆ คุณมีวาสนาที่จะสืบทอดศาสนา สร้างวัดวา พระภิกษุหนุ่มก็น้อมรับคำสอนของหลวงปู่ พระภิกษุหนุ่ม เมื่อได้ศึกษาเรียนรู้วิชาจากหลวงปู่แล้ว เป็นเวลา ๑๕ วัน ก็ได้กราบลาหลวงปู่เพื่อธุดงค์ต่อไป หลวงปู่ก็สั่งอีกว่าวิชาที่ได้ไปนั้นมีน้อยคนนักนะ ลูกหลานที่จะเรียนหลวงปู่มาอยู่นี้มีพระมาขอเรียนด้วยเป็นร้อยแต่ ก็ยังไม่มีใครทำได้ นับว่าคุณมีบุญทางนี้ดีรักษาให้ดีนะ
ในระยะเวลา ที่พระภิกษุหนุ่มมาขอฝึกวิชากับหลวงปู่ ๑๕ วันติดกันนั้น พระภิกษุหนุ่มไม่ได้ฉันภัตตาหารเลยทั้ง ๑๕ วันเพราะอยากจะได้อยากจะรู้ว่า วิชานี้มีจริงหรือไม่ เพราะเคยได้ยินแต่คนเขาเล่าฤๅกันจึงอยากพิสูจน์ ว่าจริงหรือไม่ หลวงปู่พูดสอนทิ้งท้ายให้ฟังว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า พิสูจน์ได้จริงทุกยุคทุกสมัยไม่ต้องลังเลสงสัยเลย แต่ต้องทำจริง ๆ อย่าเห็นแก่กิน อย่าเห็นแก่นอน อย่าขี้เกียจให้หมั่นขยันฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเห็นผล จะไวหรือช้าเท่านั้นเอง และให้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นแก่ตัวออกไปเสียแล้วจะได้คุณธรรมดีๆๆ คนจะเป็นใหญ่เป็นโตอย่างไรก็ตามแต่ถ้าไม่มีคุณธรรมก็ไม่มีความสุข ไม่มีความภาคภูมิใจ ให้ทำดี สร้างกุศลผลบุญไว้ให้เดินทางดี ๆเด้อหลานเด้อ
เมื่อกราบลาหลวงปู่แหวนแล้ว พระภิกษุหนุ่มก็เดินทางมุ่งหน้าไปทางเชียงดาว ในขณะเดินทางพระภิกษุหนุ่มก็นึกถึงคำสั่งสอนของ หลวงปู่ดังก้องอยู่ในใจ เดินไปจนเกือบจะชนกับช้างป่า ๓, ๔ เชือกถึง ตั้งสติได้ ก็ค่อย ๆ เดินหลีกไป ในเส้นทางที่เดินก็เดินไปตามธารน้ำบ้าง เดินตามทางวัวควายหากินบ้าง มุ่งหน้าไปที่ถ้ำตับเต่า สาเหตุที่จะไป ถ้ำตับเต่าก็เจอพระธุดงค์บ้างและได้ยินพระท่านสนทนากันว่ามี พระอรหันต์มาจำพรรษามาสอนธรรมะ พระภิกษุหนุ่มก็ได้ถาม พระธุดงค์ว่าถ้ำอยู่ที่ไหน ก็ได้ทราบตามความต้องการ
ผจญกับความตายที่ถ้ำตับเต่า
การเดินทางไปยังถ้ำตับเต่าในปี พ.ศ. ๒๕๒๙-๓๐ ยังลำบากอยู่มาก คนส่วนมากที่อาศัยอยู่ตามป่าส่วนมากจะเป็นชาวโม่ง ชาวกระเหรี่ยง มูเซอ ชนเหล่านี้จะบูชาผีป่าผีบรรพบุรุษเป็นหลัก แต่ก็มีการทำบุญกันบ้าง พระที่เดินธุดงค์ผ่านทางนี้ต้องเสี่ยงอันตราย และมักจะเป็นไข้ป่า เป็นไข้มาลาเรียตาย แต่พระหนุ่มมิได้หวาดกลัวแต่ประการใด ยังอยากจะฟังธรรมจากพระอรหันต์ ฟังเทศน์สั่งสอน มิได้ต้องการอย่างอื่น พระภิกษุหนุ่มเดินเข้าเขตป่าชัยปราการ(ในปัจจุบัน)ด้วยความต้องการให้ไป ถึงเร็ว ๆ จึงเดินลัดตัดภูเขาในช่วงเวลาพลบค่ำ บริเวณเชิงเขานั้นพระ หนุ่มรู้สึกที่หลังเท้าด้านซ้ายเย็นเหมือนมีน้ำเปียกจึงเอามือไปแตะขึ้นมา ดูเห็นเป็นเลือดไหลออกมานิด ๆ พระภิกษุหนุ่มจึงหยุดแล้วนั่งลงดูให้ชัด ขณะที่พระภิกษุหนุ่มกำลังนั่งลงรู้สึกขาซ้ายชา หัวใจหวิว ตามองเห็น สิ่งหนึ่งที่เคลื่อนตัวไปช้า ๆ พระภิกษุหนุ่มมองเห็นเลา ๆ ว่ามั่นคือ งูใหญ่ ตัวเท่ากับลำตัวพระภิกษุหนุ่ม พระหนุ่มสงสัยว่าจะเดินไปเหยียบมันเข้า มันก็เลยโดนสลัดเคี้ยวใส่ แต่ไม่ใช่หลังเท้าอย่างที่คิดตอนแรก แต่กลายเป็นหลังนิ้วกลางเท้า เมื่อพระภิกษุหนุ่มมีอาการหัวใจหวิวแล้วสักพัก หนึ่งก็รู้สึกว่าตาลายง่วงนอนมาก พระหนุ่มเริ่มลืมตาไม่ขึ้น ช่วงระยะเวลาแค่ห้านาที และพระภิกษุหนุ่มก็ไม่รู้อะไรอีกเลย แต่พอรู้สึกตัวอีก ครั้งหนึ่งลืมตาขึ้นมาเห็นตัวเองนอนอยู่บนไม้กระดานแผ่นหนึ่ง และมี ใบไม้คลุมตัว ขา แล้วหูได้ยินเสียงโครกโครก
สักพักจึงเห็นโยมผู้ชาย เป็นผู้เฒ่ายิ้มให้ อวดโชว์ฟันดำ อายุอานามคงประมาณ ๖๑-๗๐ ปี ถือกระบอกไม้ใฝ่เข้ามาหาแล้วประคองตัวพระหนุ่มขึ้น เพื่อให้ดื่มน้ำในกระบอก พระภิกษุหนุ่มก็ยอมทำตามแต่โดยดี ไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย เพราะขณะนั้นพระภิกษุหนุ่มไม่สามารถขยับขาตัวเองได้เหมือนไม่มีความรู้สึกใด เพราะมีอาการชาไป ทั้งตัว แต่พอดื่มน้ำเข้าไปแล้ว ก็รู้สึกได้ว่าตัวเองมีลมหายใจอยู่ น้ำที่ดื่มนั้น รสขมปี๋เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงนั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆสอง สามคน อายุประมาณ ๑๒ ถึง ๑๕ ปี เฝ้ามองดูอยู่ตรงนั้น พระภิกษุหนุ่มคิดว่าน้ำนี้คงเป็นยาสมุนไพรของชาวอีก้อ หรือ มูเซอแน่นอน
พอดื่มยาไปสักพักหนึ่ง รู้สึกว่ามึนศีรษะอย่างมาก เหมือนศีรษะตัวเองหมุนได้ มีอาการปวดเส้นเอนไปทั้งตัวแล้วก็หมดแรงอาเจียนออกมาเป็นน้ำลายเหนียวแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย รู้อย่างเดียวว่าตัวเองใกล้จะตายแล้วจึงตั้งจิตถึงงูใหญ่ที่ตัวเองไม่ระวังตัว ไปเหยียบเข้า ก็โน้มจิต ขออโหสิกรรม
ปรากฏว่าเห็นภาพงูเลื้อยขึ้นบ้าน มาหาตนเอง แล้วเข้ามามองพระภิกษุหนุ่มใกล้ พร้อมกับเป่าลมลงใส่ตัวพระหนุ่มแล้วสูบลม กลับไปเข้าในตัว แล้วค่อย ๆ เลื้อยหายเข้าไปในป่า พระภิกษุหนุ่มจึงรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาเห็นโยมผู้เฒ่าชรายิ้มฟันดำ กับอีกทั้งโยมสามคน ผมยาวฟันดำทุกคน นั่งสวดมนต์คาถาช่วยพระภิกษุหนุ่มที่นอนไม่ได้สติ อยู่ แม้ไม่รู้จักกัน แต่พวกเขาก็มีน้ำใจช่วยดูแลรักษาทุกวิถีทางที่จะทำได้ และยังตามหาหมองูมาช่วยรักษาอีกแรงหนึ่ง พระภิกษุหนุ่มนอนแน่นิ่ง ฟังผู้เฒ่าชราสนทนากันก็พอจะเดาได้บ้างว่า ถ้าเป็นงูใหญ่แมวเซา คงจะหายยาก คงจะไม่รอดเพราะนอนหลับไปหลายวันแล้วจึงได้ไปตามคนมาช่วย (น่าจะเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญรักษาคนที่ถูกงูกัดนั้นแหละ แต่ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็คงจะไม่ตามมา) เพราะผู้เฒ่าชราผู้นั้น รับเอา ดอกไม้มาจากผู้เฒ่าทั้งสองคนมาอีกทีหนึ่ง ผู้เฒ่าทั้งสองส่ายหน้าแล้ว พูดขึ้นว่า “โบ.ลก.เล่ ๆ” ซึ่งแปลว่าตายแล้วๆ และผู้เฒ่าชราก็เอาดอกไม้ที่แกกำอยู่มาใส่ในมือพระหนุ่ม เหมือนแก่จะบอกว่าให้อธิษฐานพระ ภิกษุหนุ่มที่สลึมสลืออยู่ก็อธิษฐานอีกว่า
ถ้าอาตมายังมีบุญอยู่ที่ จะช่วยบำรุงพระพุทธศาสนา ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายได้ อโหสิกรรมให้แก่อาตมา ให้ได้ทำหน้าที่บำรุงพระพุทธศาสนาของ พระสมณโคดมด้วยเถิดและให้มีร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิม
พอจบคำอธิษฐานก็รู้สึกคลื่นไส้และก็อาเจียนออกมาอย่างมากมี น้ำสีเขียวออกมาด้วย เห็นผู้เฒ่าชราร้องขึ้นว่า “โว้. เว้. โว้. เว้.” คงจะแปล ว่าหายแล้ว อัศจรรย์ๆ อะไรทำนองนั้น เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น แล้ว ก็มีแรงลุกขึ้นได้ สักพักหนึ่งเห็นโยมผู้หญิงยกผักต้มผสมกับข้าวเข้ามา ให้ผู้เฒ่าชรา ผู้เฒ่าชราก็รับมาแล้วบอกพระภิกษุหนุ่มให้อ้าปากรับ ประทานน้ำผักต้มซึ่งมีรสเปรี้ยวมาก ๆ พระภิกษุหนุ่มก็ดื่มลงไปในท้อง สักพักหนึ่ง ก็มวนท้องขึ้นมาแล้วอาเจียนออกอีก ผู้เฒ่าชราก็ให้ดื่มน้ำ นั้นอีกแล้วก็อาเจียนอีก คราวนี้ผู้เฒ่าชราก็เอาข้าวสารผสมลงไปในน้ำ ให้ดื่มอีกครั้งหนึ่งเมื่อดื่มลงไปถึงลำคอก็อาเจียนอีก แล้วผู้เฒ่าชราก็เอา ไม้โคก(ต่ำ)แล้วบีบเอาน้ำมาให้ดื่มอีกแล้วก็เอาน้ำดื่มที่ติดกระบอกไม้มาให้ดื่มจนหมดช่วง ดูเหมือนว่าพระภิกษุหนุ่มจะดื่มน้ำไปประมาณสัก ๕-๖ ลิตรได้ ระยะนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ พระหนุ่ม ก็รู้สึกปวดท้องปัสสาวะ ก็เลยพยายามพยุงกายลุกขึ้น แล้วคลานไปปัสสาวะในที่ใกล้ ๆ นิดหนึ่ง และตาก็มองไปเห็นผู้คนมานั่งเฝ้าเต็ม บริเวณนั้น
นี้แหละท่านสาธุชนทั้งหลายชีวิตคนเราเมื่อประมาทก็พลาด ถึงแก่ชีวิตฉะนั้นที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ก็เป็นความจริงเหมือนอย่างที่พระภิกษุหนุ่มได้ประสบพบมากับชีวิตจริงของตัวเอง เพราะการเดินไม่ระวัง เหมือนคุณโยมขับรถแล้วคุยโทรศัพท์เพลินก็ไปถึงแก่ความตายเหมือนกัน ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดของชีวิต
แต่ที่สำคัญที่สุด คือผู้เฒ่าชราที่มีน้ำไมตรีและผู้คนทั้งหมดที่ช่วยเหลือพระภิกษุหนุ่มให้มีชีวิตรอดมาได้นั้นเหมือนเป็นหนี้ติดกันอยู่ก็ว่าได้ แต่ถ้าไม่ได้ผู้เฒ่าชราที่มีน้ำใจดี ถึงแม้จะเป็นชาวเขาชาวป่าพูดกันคนละ ภาษาก็ตาม ยังมีความเมตตาเอื้ออาทรกันจนถึงที่สุด โดยไม่หวังสิ่ ตอบแทน และไม่รู้ว่าพระภิกษุหนุ่มท่านนั้นเป็นใครแต่ก็พยายามช่วยเหลือทุกวิถีทาง และผู้เขียนย่อมรับว่าผู้เฒ่าชรา เป็นหมอที่มีจรรยาบรรณอย่างสูงส่งและมีจิตวิญญาณที่สูงส่งกว่าหมอที่อยู่ในเมืองบางคนเสียอีก ก่อนที่พระภิกษุหนุ่มจะลาจากพวกท่านเหล่านั้นมา ได้สวดมนต์นั่งสมาธิให้แผ่เมตตาให้ท่านเหล่านั้นและลูกหลานอยู่เป็นประจำ บางครั้งท่านมีโอกาสก็จะนำสิ่งของไปแจกให้คนที่อยู่ในแถบนั้น และที่ธุรกันดารที่ทางราชการเข้าไม่ถึงอยู่เสมอ เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูของท่านพระหนุ่ม
นอกจากนั้นผู้เฒ่าชรายังให้ยาวิเศษแก่พระภิกษุหนุ่มด้วย เพื่อไว้รักษาผู้ที่ถูกงูพิษกัด และยังให้ชายหนุ่มฉกรรจ์เดินทางไปส่งถึงเขตเชียงดาว และใกล้กับถ้ำตับเต่าอันเป็นที่หมาย โดยปกติแล้วผู้ที่ถูกงูกัดอยู่ ในแถบนี้มักจะไม่รอด พระภิกษุที่เดินธุดงค์มาแถบนี้มักจะตายด้วยงู หรือก็เป็นไข้มาลาเรียตาย เมื่อส่งเสร็จแล้ว พระภิกษุหนุ่มก็ไม่มีอะไรให้ นอกจากพรอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าแล้วก็แยกทางกันไป พระหนุ่มผู้พักฟื้นไข้ใหม่ ๆ ก็เดินมาเรื่อย ๆ ช้าบ้าง เร็วบ้างตามกำลังที่เหลืออยู่ ในขณะนั้น พอได้เวลา ๖ โมงเย็นก็หาที่ปักกลด สวดมนต์ภาวนา จนสว่างถึงเดินทางต่อ บางวันก็บิณฑบาตในป่า บางวันก็บิณฑบาต กับต้นไม้ ร่างกายก็เริ่มแข็งแรงขึ้นเป็นปกติในสามวัน จึงได้บำเพ็ญภาวนามากขึ้น บางวันก็นั่งสมาธิจนสว่างแล้วก็ออกบิณฑบาตตามปกติ
วันหนึ่ง ท้องฟ้ามืดครึ้ม ขณะที่พระภิกษุกำลังบิณฑบาต จู่ จู่ ก็มี งูใหญ่เลื้อยผ่านหน้าไปอย่างช้า ๆ ขณะที่เลื้อยไปก็หันกลับมามองพระภิกษุหนุ่มด้วย พระภิกษุหนุ่มก็ยืนแผ่เมตตาให้จนงูใหญ่หายลับไปกับตา ดูเหมือนว่าเขาจะมาขอโทษที่ได้ทำให้บาดเจ็บ คิดจะมาช่วยเหลือ เพื่อไถ่บาปก่อนจากไป งูใหญ่ได้ชูหัวขึ้นสูง แล้วผงกหัวสองสามครั้ง เหมือนการขอโทษและบอกลาไป
พระหนุ่มก็เดินบิณฑบาตต่อไป สักพักก็มีโยมมาใส่อาหารสาม คนเป็นชายหนึ่งคนเป็นหญิงสองคนอายุประมาณ ๔๐-๕๐ ปี แต่พอมาเปิดบาตรออกจะฉันข้าว กลิ่นหอมอบอวลไม่มีอะไรจะหอมเหมือนข้าวนั้น ก็โชยออกมาอบอวล พระภิกษุหนุ่มก็นั่งพิจารณาอยู่สักพักหนึ่ง ก็อธิษฐานจิตขอให้ข้าวนี้เป็นยารักษาร่างกายให้เข้มแข็ง แล้วจึงลงมือฉัน
ฟังธรรมกับพระอรหันต์ในป่า
ในที่สุดพระภิกษุหนุ่มก็เดินทางมาถึงถ้ำตับเต่าสมใจปารถนาของ ท่านและก็ได้ฟังธรรมคำสอนจากพระเถระผู้เฒ่าหลายรูป ที่พระธุดงค์ทั้งหลาย ต่างต้องการจะฟังธรรมด้วย และก็เรียกกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์มาโปรดพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีทั้งพระชาวไทย ชาวพม่า ชาวกระเหรี่ยงมาฟังธรรมกับท่านเป็นจำนวนมากในขณะนั้น ว่ากันว่า ท่านเก่งมากในการปฏิบัติและรู้อารมณ์พระภิกษุที่มาฟังธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนท่านก็สามารถรู้ได้ เพราะท่านได้อภิญญา สมาบัติ ๘ พูดภาษาอะไรก็ได้ ท่านจะมาสอนธรรมอยู่ในถ้ำตับเต่า และนอกถ้ำ เวลาปฏิบัติธรรมปกติของพระภิกษุที่ถือธุดงค์วัตร จะปฏิบัติ ๕ โมงเย็นถึงตี ๑-๒ พระทั้งหลายจะมารวมตัวกันฟังธรรมซึ่ง พระภิกษุที่มาแสดงธรรม เมื่อถึงเวลาแล้วท่านก็มาแสดงธรรมเป็นปกติ
วันนั้นพระหนุ่มก็รอคอย และแล้วก็เห็นพระภิกษุรูปร่างขาว สูงใหญ่เดิน เข้าไปยังก้อนหินสูงประมาณเมตรกว่าๆ แล้วท่านก็ขึ้นไปนั่งบนก้อนหิน นั้นโดยที่มีผ้านิสีทะนะปูลาดไว้แล้วสักพักหนึ่งท่านก็กล่าวขึ้นว่า
“ได้ชีวิตใหม่แล้วก็พยายามรักษาไว้เพื่อทำหน้าทีให้ดีนะ เพราะอัตภาพที่ได้มานั้นยาก แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือการรักษาอัตภาพไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนร่างกายที่จะดับไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดา มันมีโอกาสแตก ดับไปได้ทุกเวลา ฉะนั้นการรักษากายรักษาจิตอันปริสุทธ์นั้นอยากยิ่ง กว่าการได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องคอยระมัดระวังกายอย่าให้มัน คึกคะนองออกนอกทางจิตก็ต้องระวังให้มาก ๆ อย่าให้ไปติดบ่วงถ้าจิต ติดบ่วงเมื่อไรแล้วทุกข์ก็เกิด เมื่อทุกข์แล้วความยุ่งยาก ก็ตามมา ภาระมันจะมาก จิตก็จะเบื่อทางธรรม แล้วถลำกลับไปอยู่ในโลกิยธรรม ทั้งแปดประการ จะเลือกว่าแปดไม่ได้ต้องเลือกว่าร้อยแปดจึงจะเหมาะกว่าแล้วพบภูมิที่ได้มาก็ไม่มีประโยชน์เหมือนเรานอนฝัน จะทำอะไร ก็เพียงชั่วครู่ชั่วยาม จริงอยู่ที่ทุกอย่างตกอยู่กับกาลเวลา ที่กลืนกิน ทุกอย่างแม้แต่ตัวของมันเอง
การอยู่ที่เหนือกาลเวลาคือ ไม่ประมาท ไม่ทิ้งสติ สัมปชัญญะอันเป็นหลักชัยของพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ เป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะสมบูรณ์ตลอดเวลา จิตตัด แล้วซึ่งโคตรภูญาณ ขาดความเป็นมนุษย์ปุถุชนแล้ว การกระทำทุกอย่างเป็นเพียงกิริยาอาการเท่านั้นไม่มีกรรมเข้ามา เพราะการกระทำอยู่เหนือดี เหนือชั่ว บริสุทธิ์และไม่มีผิดศีลธรรม อันเป็นบ่อเกิดของความอยู่เย็นเป็นธรรม ไม่ไหลไปตามกระแส แต่จะเป็นไปตามกระแส แห่งจิตที่บริสุทธิ์ละเอียด ลุ่มลึก โดยปราศจากเงื่อนไข มีแต่เมตตา ต่อมนุษย์โลกที่ตกอยู่ในวัฏฏะสงสาร การเวียนวนอยู่กับที่เดิมไปไหน ไม่พ้น เพราะยังกลับวนมาที่เก่าอยู่ทุกภพทุกชาติ และก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในทางที่พ้นทุกข์ พ้นโทษจากสังสารวัฏ ที่แท้จริงตามความต้องการของมนุษย์ ที่ยังยึดติดในความดีความชั่ว ความสุข ยัง เห็นแก่ตัวตนมากอยู่ ทำดีแล้วยังหวังสิ่งตอบแทนมาก พอไม่ได้ก็สร้าง ความวุ่นว่าย สร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น ให้แก่ชีวิตอื่นต้องเดือดร้อน ไปตาม ๆกัน ทำเพื่อเอาชนะเท่านั้น ทำเพื่อให้ได้มาแล้วก็พอใจเท่านั้น นี้คือการกระทำของปุถุชนคนที่ยังโง่อยู่ พระอริยะเจ้าทำแล้วก็แล้วไปไม่ ไปยึดติด แต่ทำแล้วให้เกิดประโยชน์ดับทุกข์ให้ได้ ความสุขบริสุทธิก็จะ บังเกิดขึ้นความหลุดพ้นก็จะตามมา ความเป็นอิสระก็จะมีพลังอัน มหาศาลเพราะไม่ไปติดกับอะไร ไม่มีอะไรมาปิดกั้น มาขวางกั้นได้เลย จิตที่พ้นทุกข์ก็สูงขึ้นไม่มีประมาณ นั้นแหละ คือจิตของพระอริยะเจ้า ...”
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปโปรดติดตามต่อฉบับหน้า
ผมเองอยู่หาดใหญ่ ศรัทธาหลวงพ่อมานานมาก ได้อ่านหนังสือที่หลวงพ่อเขียนหลายเล่ม แต่ไม่มีบุญได้พบท่านสักครั้ง อยากฝึกปฏิบัติธรรม ขัดเกลาจิตใจที่มืดมัวให้ห่างจากกิเลศให้รู้แจ้งเห็นจริง
ขอบคุณอ.แพรภัทร ที่ช่วยลงข้อมูลเผยแพร่ และขอให้อ.แพรภัทรช่วยอับเดทข้อมูลใหม่ๆแจ้งข่าวของท่านอาจารย์อริยวังโสให้ได้ติดตาม เผื่อมีโอกาสสักครั้งได้กราบท่าน