ภัคคินี = หญิงสาวสวย ใส ร่าเริง ผู้มีความเป็นตัวของตัวเอง บูชาความรัก ยอมแม้นกระทั่งขายตัวเพื่อคนที่เธอรัก ผู้ไม่ยอมใช้ชีวิตตามบงการของใคร นอกจากของตัวเอง
นเรนทร์ = เนติบัณฑิตสยามและ ดร.จากฝรั่งเศส หนุ่มหัวนอก ร่าเริงกับความรัก แต่ในที่สุดเขาต้องเปลี่ยนไปเมื่อพบสัจจะในโลกแห่งความจริงว่า ความรักในโลกของความจริงนั้นแตกต่างจากความฝัน
ธำรง = ชายวัยกลางคนที่ผิดหวังความรักจากราชนิกุลที่เอื้อมถึงแต่เด็ดไม่ได้ หนักแน่น โอบอ้อมอารี และพร้อมที่จะให้อภัยเสมอ
อัจฉรา = กุลสตรีผู้เพียบพร้อม แต่ความผิดหวังทำให้เธอเป็นคนชาเย็น เก็บตัว แค้น และไม่ให้อภัยแก่ใคร
“ภัคคินี”สาวน้อยวัย ๑๗ ตัดสินใจแต่งงานกับ“คุณอาธำรง”เพื่อนต่างวัยของบิดา วัย ๔๐ ปี ด้วยความชอบพอในความสุภาพ อ่อนโยน บึกบึน ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับทุ่งวัวแล่น เขาเสมือนชายในอุดมคติ ผู้เปรียบดั่งสุภาพบุรุษในฝันของเธอ
ชีวิตผัวแก่เมียสาวดำรงไปด้วยความผาสุข ช่วยกันทำมาหากิน มีความสุขภายในไร่ที่ถูกขนานนามว่า “แผ่นดินของเรา”ความสุขเหล่านี้คงจะสถาพรต่อไปถ้าไม่มีชายชื่อนเรนทร์ผ่านเข้ามาในชีวิต
นเรนทร์ ชายหนุ่มนักเรียนนอกคู่หมั้นของอัจฉราพี่สาวกุลสตรีของภัคคินี ซึ่งได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่ก่อนไปเรียนนอก เมื่อจบกลับมาพิธีแต่งงานก็ได้ถูกจัดเตรียมขึ้นที่ “จิระเวสน์”
ภัคคินีได้หายตัวไปตั้งแต่เช้าก่อนวันแต่งงาน ๑ วัน อาหารมื้อเย็นวันนั้นที่ “จีระเวสน์” เงียบเหงาไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีใครแตะต้องอาหาร จนกระทั่งคนรับใช้ได้นำจดหมายเข้ามาให้ ทุกคนตื่นเต้นและดีใจเมื่อทราบว่าเป็นจดหมายของภัคคินี แต่...การช็อคทางความรู้สึกก็บังเกิดขึ้น เมื่อจดหมายถูกอ่านจนจบและพบว่า....หล่อนหนีไปแล้วพร้อมกับนเรนทร์ เพื่อไปใช้ชีวิตคู่ตามความประสงค์ของหัวใจ
ทิ้ง.....ความรักของบิดา มารดา เกียรติยศของวงค์ตระกูล
ทิ้ง.....พี่สาวกุลสตรีที่แสนดี ผู้เสมือนดั่งแม่คนที่สอง ผู้อ่อนไหว และรักน้อง
ทิ้ง.....ผัวแก่ ผู้อ่อนโยน สุภาพ และความรักที่มั่นคงต่อเธอ
ทิ้ง.....จันทร์กะพ้อ และ ทิ้ง จิระเวสน์
ดอกจันทร์กะพ้อล่วงหล่นกระจัดกระจายพร้อมกับความเงียบเหงาเข้ามาครอบงำจิระเวสน์
บิดา มารดา... เงียบเหงา ตัดตัวเองออกจากสังคม ทรุดโทรมทั้งร่างกายและจิตใจ
อัจฉรา... ไปเก็บตัวที่ทุ่งวัวแล่นเหมือนซากศพที่ยังมีลมหายใจ วันทั้งวันแทบไม่พูดไม่คุย
ธำรง...ร่วงโรยอย่างเห็นได้ชัด ทำงานไปอย่างแกนๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะลืมและดึงทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องให้หันมาสู่โลกของปัจจุบัน โลกของความเป็นจริง เก็บความซอกซ้ำซ้อนไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ
กาลเวลาผ่านไปในสังคมชนบท ทำให้นเรนทร์เป็นชายหนุ่มที่ติดเหล้า มีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิตหลายคน ภัคคินีต้องทำงานอย่างหนัก ผ่ายผอม เพื่อคนที่เธอรักยอมแม้นกระทั้งขายตัวเพื่อเขาคนนั้น...นเรนทร์ผู้ป่วยไข้
บทสรุปสุดท้าย มารดาตรอมใจตาย “จิระเวสน์” ถูกขายเพื่อหนีความเศร้าที่ซ้อนเร้น กระจัดกระจายไปทั่ว เปลี่ยนมือหลายรายจนกระทั่งถูกขายทอดตลาด ไม่หลงเหลือความยิ่งใหญ่ให้เห็นเลย ภัคคินีซมซานกลับมาขอโทษอัจฉราพี่สาวที่ทุ่งวัวแล่นและจบชีวิตอันแสนเศร้าอย่างน่าสมเพท
ธำรง ชายแก่ผู้เงียบเหงาดิ้นรนเพื่อจะได้มาซึ่ง “จิระเวสน์” เพื่อที่จะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในนั้น และนเรนทร์ชายผู้ผ่ายผอมและโรครุมเร้า ผู้ล้มเหลวในชีวิตต้องพเนจรโดยไม่มีอะไรเหลืออยู่ นอกเสียจาก ลมหายใจ เท่านั้น.
ดอกจันทร์กะพ้อร่วงพรู แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว กลีบสีขาวของมันน้อยๆ และอ่อนนุ่มปลิวกระจายตามลมเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง ไปตกที่นั่นนิด ที่นี่หน่อย บนพื้นสีเขียวในลำคู เกลื่อนกลาดอยู่รอบโคนต้นอย่างที่เคยหล่นมาแล้วในชีวิตของมัน ต่างแต่วันนี้ไม่มีใครเขาจะเหลียวแล ไม่มีใครเขาจะเอาใจใส่ ไม่มีแม้แต่เด็กจะคอยเก็บไปร้อยเป็นพวงมาลัยเล่น หรือใส่พานบูชาพระ บางกลีบเคราะห์ร้ายปลิวไปตกลงกลางทางเดิน ก็รังแต่จะถูกเหยียบย่ำแหลกเหลวไปใต้ฝ่าเท้าที่โหดร้ายของคนผู้ไม่รู้จักคุณค่าของมัน ทำนองเดียวกับหัวใจอันบริสุทธิ์ของหญิงสาวถูกขยี้โดยชายผู้ไม่รู้จุกคุณค่าของความรัก
ดอกจันทร์กะพ้อร่วงพรู แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว เกสรเล็กๆ แดงเรื่อแกมเหลืองลอยว่อนกระจัดพลัดพรายอยู่ในอากาศที่โปร่งสะอาดหน่อยหนึ่ง เหมือนลวดลายของตาข่ายที่คลุมไตรพระ กลีบและเกสรอาจจะตกลงถูกเหยียบเป็นผุยผงไป โดยผู้คนที่เข้ามาพลุกพล่านอยู่ในบ้านวันนั้น แต่ไม่มีใครเลยจะสามารถทำความชอกช้ำให้แก่กลิ่นหอมหวนยวนใจของมันได้ กลิ่นที่ฟุ้งขจรอยู่ในอากาศซึ่งล่องลอยไปทั่วบริเวณบ้านอย่างที่มันเคนฟุ้งขจรมาแล้วตลอดชีวิต ต่างแต่วันนี้ แม้ในแสงสีแดดอ่อนเหลืองอร่ามของต้นฤดูเหมันต์ซึ่งเต้นอยู่ตามยอดหญ้าในสนาม แม้ในกระแสลมที่โชยพัดมาตามกิ่งพิกุลซุ้มสนหางสิงห์ตลอดจนกลุ่มเมฆที่ไหลรินอยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นของมัน หอมหวนยิ่งขึ้น ฉุนขึ้น สุขุมขึ้น รัดรึง ซึ้งใจ กำซาบซ่านไปตามสายโลหิต กลิ่นซึ่งเป็นชีวิตของทุกชิวิตใน “จีระเวสน์” แต่อดีตและชีวิตของ “จีระเวสน์”เองในปัจจุบัน
...แต่จันทร์กะพ้อต้นเดียวยังไม่ตาย เหมือนกฎธรรมดาจะบังคับไว้ว่า มันเกิดมาสำหรับจะอยู่ มิใช่เพียงเพื่อดูการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของทุกคนที่เกิดมาใน “จีระเวสน์” อย่างเดียว หากอยู่เพื่อดูวาระสุดท้ายของ “จีระเวสน์” ด้วย
- ภัคคินีไม่ได้หนีจากคุณตามผมไปคนเดียว เขาพาเอาจิระเวสน์ไปด้วย
- เขาจะรู้สึกอย่างไรว่าในการสมรสระหว่างหล่อนกับฉัน ไม่เพียงแต่ฉันจะเพียงแต่งงานกับหล่อนและ “จีระเวสน์” เท่านั้น หากต่อมาฉันต้องแต่งงานกับเธอ (นเรนทร์) อีกด้วย
- ผมเกลียดชีวิตเกลียดคร้าน ผมเกลียดการอยู่เฉยๆ โดยไม่มีอะไรทำ...ผมเป็นคนที่มีความเชื่อว่า งานทำให้ชีวิตของคนเรามีค่าขึ้น
- ผมบอกผินแล้วว่า คนเราทุกคนมีสองชีวิต ชีวิตหนึ่งอยู่ในโลกของความฝัน อีกชีวิตหนึ่งอยู่ในโลกของความจริง ชีวิตของผมในโลกแรกเป็นของท่านหญิง แต่โลกของความจริงเป็นของผมเอง...
- ชีวิตเป็นของต้องเรียน ต้องรับ และอดทน เมื่อมีสุขก็หนีทุกข์ไม่พ้น ความขมขื่นปวดร้าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนผังชีวิตเท่านั้น
- ชีวิตสำหรับทุกคนคือละครโรงใหญ่ ฉะนั้นทุกคนจะต้องพยายามแสดงบทบาทของตัวเองต่อไปอย่างดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ไม่ว่าจะเป็นบทรัก บทโศก ตลกขบขัน โลดโผน ผจญภัย หรือเพียงบทบาทเสนา
- อย่างลืมว่าคนเราไม่มีวันจะหนีอะไรพ้น ตราบใดที่ปลีกตนเองไม่ออกจากความทรงจำ ทุ่งวัวแล่นหรือกรุงเทพฯ จะไม่ต่างอะไรกัน ถึงจะหนีไปสุดขอบฟ้าป่าหิมพานต์ก็ไม่พ้น
- ชีวิตเป็นของที่ต้องการความอดทน และพากเพียรจนกว่าจะเคยชินกับมัน
- ประการแรก ฉันไม่เคยตั้งปณิธานอะไรไว้สูงเกินไปจนจะต้องไปเสียใจเพราะความผิดหวังในภายหลัง และประการต่อไป เพราะคติของฉันมีอยู่ว่า พึงต้อนรับชีวิตอย่างที่ชีวิตจะพึงมีให้ การวาดภาพอะไรที่สูงส่งเกินไปเป็นได้ทั้งคุณและโทษค่ะ นเรนทร์ เป็นคุณเพราะมันเป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจของคุณ และเป็นโทษเมื่ออะไรเกิดผิดพลาดไป แล้วก็เศร้าโสกเสียใจเพราะไมสมหวัง
- ตามธรรมดา ปัญหาของชีวิตเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ ต้องการใจและมือที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ไม่ใช่สำหรับมือและใจที่อ่อนแอ
- ยังมีเวลาเหลือจากการเดินทางอีกหลายชั่วโมงสำหรับเขา ในขณะที่ฉันยังเหลืออยู่อีกทั้งชีวิตจะต้องผจญต่อไป
- โลกนี้แคบเกินไป ถึงชีวิตก็สั้นเกินไปที่คนเราจะหวังความแน่นอนอะไรอยู่ได้
- ชีวิตสั้นเกินไปสำหรับความเศร้าโศกเสียใจใดๆ ฉะนั้นตลอดเวลาที่เหลืออยู่ พยายามใช้ทุกวินาทีให้มีค่าไม่ดีกว่าหรือ
- เธอในฐานะที่เป็นพี่สาวตลอดไป เพราะสายโลหิตเดียวกัน ทั้งสองชีวิตถูกขยี้เพราะมือเดียวกัน เพียงแต่ฉันปลีกตัวเองออกจากความทรงจำรำลึกเหล่านั้นได้ในขณะที่เธอยังตกเป็นทาสพยายามหน่อยอัจฉรา พยายามเป็นคนเข้มแข็งกว่านี้มิฉะนั้นชีวิตใหม่ที่อุตส่าห์สร้างมาเป็นเวลานานก็รังแต่จะสลายต้องกลับไปเริ่มต้นกันอีก
- แม่ใหญ่จะผจญชีวิตนั้นได้ดียิ่งขึ้น เมื่อรู้จักการให้อภัยต่อความขมขื่น ปวดร้าวที่ผ่านมาแล้ว
- ชีวิตทั้งชีวิตของใหญ่ต้องเสียต้องเสียไปเพราะเหตุที่ไม่รู้จักถึงคุณค่าของการให้อภัย ความขมขื่นที่ภัคคินีและนเรนทร์ทิ้งไว้ให้ไม่ต่างอะไรกับยาพิษที่เกาะกินจิตใจเหมือนไฟสุมขอน มันไม่ร้อนถึงกับจะลุกโพลงขึ้นมา แต่คุณอาก็ทราบแล้วว่าธรรมดาไฟสุมขอนร้อนกว่าไฟที่มีเปลว และครั้งหนึ่งเมื่อมันผ่านไปก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกนอกจากเถ้าถ่าน
ไม่มีความเห็น