ใคร? คือผู้กำหนด


ในสถานะของคนไข้ ไม่มีทางเลือกเช่นนี้เอง แม้จะมีมันก็คือทางที่เค้าเลือกให้ ชะตาถูกกำหนดโดยผู้ดูแล

        “ประสบการณ์จริง”กับครั้งหนึ่งในชีวิตถือได้ว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ชั้นสูง ที่น้อยคนนักจะได้รับโอกาสดีเช่นนี้ จากความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของฉัน จึงได้รับโอกาสนี้เป็นครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกที่ฉันคลอดลูกสาว ซึ่งเป็นคนแรกของครอบครัว และอยู่ระหว่างการทำวิทยานิพนธ์เรื่องนมแม่อย่างแข็งขัน ทั้งได้รับการฝึกฝนความเชี่ยวชาญในด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และการแก้ไขปัญหาจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ* ในโรงพยาบาลศิริราชถึง 3 เดือน และจบปริญญาโท ในอันดับต้นๆของสาขาการพยาบาลแม่และเด็ก ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายของการเปิดสาขานี้พอดี นี่คือความภาคภูมิใจในปริญญา แต่ในมุมกลับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของฉันล้มเหลวไม่เป็นท่า กระท่อนกระแท่นตั้งแต่เริ่มต้น มันเป็นความตรอมตรมของส่วนลึกในจิตใจ เพราะแม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาที่ฉันเคารพรัก ยังไม่ตำหนิฉันซักคำ ฉันสอบไล่ได้ แต่ในชีวิตจริงเรื่องนมแม่ “ฉันสอบตก” แต่ก็ยังมุ่งมั่นทำในด้านนมแม่ต่อไปพร้อมกับรอยตำหนิที่รอวันลบ                                5 ปีต่อมา ฉันมีโอกาสสอบซ่อม โดยบททดสอบเป็นลูกชายตัวเล็กน่ารักที่ฉันตั้งชื่อเองว่า เด็กชายเติมเต็ม หรือ น้องเติม น้องเต็ม ก็ว่าไปแต่นั่นแหล่ะ มันคือความสมบูรณ์และความพร้อมที่จะก้าวสู่ ”ปริญญาเอก..นมแม่” ใครบางคนหยอดมุกให้ฉัน ฉันได้แต่อมยิ้ม ไม่แปลกใจเพราะฉันตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่า เมื่อฟ้ามีตา เห็นใจและให้โอกาสในความทุ่มเท ฉันพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ และจะพิสูจน์ความจริง ภายใต้ “อีวิเดนซ์เบต” คำทันสมัยที่แปลได้ว่า ”หลักฐานเชิงประจักษ์” วันที่ผ่าตัดคลอด ฉันเลือกวิธีการบล็อกหลัง เพราะต้องการมีสติเต็มที่ในการดูแลลูก เมื่อมาถึงหอผู้ป่วยหลังคลอดสามีอุ้มลูกมาให้ ฉันกระวีกระวาดเปิดผ้าลูกออก และคว่ำลูกลงบนอกเพื่อให้เค้าดูดนมทันที ด้วยตัวเอง แม้จะลำบากเล็กน้อยก็ไม่เกินความสามารถที่มีขณะนั้น ความสุขจากการได้โอบกอดลูกเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจได้ดี เพียงชั่วครู่ฉันก็ถูกย้ายขึ้นไปสังเกตอาการที่ห้องพิเศษ ด้วยความกันเองของการเป็นเจ้าหน้าที่ และความเกรงอกเกรงใจต่อกันละกัน ฉันจึงต้องสังเกตตนเองว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด เพราะห้องพิเศษคงไม่สามารถที่จะเดินมาสังเกตอาการได้ทุก 15 นาที เพราะฉันเลือกทางด่วนเองจะโทษใครไม่ได้ เจ้าลูกชายก็ดูดนมเก่งเหลือเกิน ดูดจนหัวนมพอง ห้อเลือด ฉันแปลกใจไม่น้อยเพราะมั่นใจว่าฉันควบคุมการดูดของลูกอย่างดี แต่ลืมนึกไปว่าการควบคุมมันหลุดไปตอนเผลอหลับนั่นเอง นี่คือบทเรียนแรกที่คิดว่าไม่ควรตำหนิคนไข้                         ในวันที่สอง ฉันเริ่มดูแลตัวเองได้มากขึ้น และลูกก็ดูดนมดีตลอด ไม่มีแม้แต่โอกาสทำอย่างอื่น นอกจากการให้นม แต่สังเกตได้ว่าการให้นมข้างซ้ายลูกดูจะสงบกว่า น่าจะมาจากได้ยินเสียงหัวใจของแม่ เราเลยนอนกอดกันให้นมไปเรื่อยๆ พอช่วงบ่ายฉันเริ่มมีอาการสะท้านหนาวสั่นขึ้นมาเฉยๆ นึกแปลกใจว่า องค์จะลงหรือนี่ น่าจะเตือนกันก่อน หมดผ้าห่มไป 3 ผืนนอนคลุมโปงอยู่อย่างนั้น ถึงตอนนี้ได้รู้แล้วว่าผ้าห่มช่วยอะไรไม่ได้เลยเพราะมันหนาวอยู่ข้างในและไม่สามารถสะกดอาการสั่นได้ แถมมีครางเล็กๆ เล็ดลอดออกมาขณะที่ฟันกระทบกันดังกึกๆ อย่างไม่ตั้งใจ ขนาดนั้นฉันยังนึกขำที่เคยทักคนไข้ที่สั่นแบบนี้ว่า “จะสั่นอะไรนักหนา ผ้าห่มตั้งหลายผืน” สามีก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เราได้แต่มองหน้ากันตาปริบๆ ฉันจะถามใครได้หนอ.... มันต้องมีอะไรซักอย่าง ใจฉันคิดเช่นนั้น พร้อมกับพลิกหัวนมขึ้นดู แล้วมันก็ใช่ ในสิ่งที่คิดจริงๆ มีจุดขาวๆ เกิดขึ้นที่ปลายหัวนม ที่ตำราบอกว่า “ไวท์ดอท” เกิดจากน้ำนมที่ข้นมาก หรือเป็นไขมันนมที่จับเป็นก้อน แล้วออกมาไม่ได้ การแก้ไขก็คือ ให้ลูกดูดนมข้างที่เป็นบ่อยๆแล้วมันจะหายไปเอง ตอนนั้นฉันพอใจที่จะสั่นไปเรื่อยๆ เพราะอยากทำเข้าใจต่อความรู้สึกนั้นจริงๆ เพราะรู้ทางแก้ไขแล้ว โดยไม่ลืมที่จะจดบันทึกไว้ ฉันหวังลึกๆว่าอยากเจอปัญหาทุกอย่างที่คนไข้เป็นจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อที่จะดูแลเค้าเหล่านั้นได้ตรงประเด็นที่สุด บางคนบอกว่า “มันบ้า..เกินไป” ฉันชินซะแล้วกับความจดจ่อ มุ่งมั่นของตัวเอง จนบางคนมองว่าเป็นความบ้า ที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร และกับเจ้าจุดขาวๆ ที่ปลายหัวนมนั้น การแก้ไขของฉันคือ ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดออกเหมือนกดหัวสิว พอกดปุ๊บ ไขมันก็เลื้อยออกมาเป็นเส้นเล็กๆ พอเห็นว่าออกมาหมดแล้วก็บีบน้ำนมให้ช่วยชะล้างเศษตะกอนนมที่ตกค้าง เท่านั้นเองอาการทุกอย่างที่เกิดขึ้นหายวับ ไม่ต้องรอลูกดูดเลย ตำราบอกไว้ถูกต้องแต่ฉันเองที่ใจร้อน จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้คนไข้พอใจที่เห็นผลทันที นั่นคือปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ และบททดสอบใจ ของแม่ที่ตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างฉันก็เริ่มขึ้น เมื่อครบเวลา 48 ชั่วโมง ที่ลูกชายถูกเจาะเลือดหาภาวะพร่องธัยรอยด์ ก็ได้รับการเจาะหาภาวะตัวเหลืองไปพร้อมๆกัน ปรากฏผลออกมาว่าลูกตัวเหลือง 16.8 mg% ถือว่าเหลืองในระดับที่ต้องส่องไฟ และต้องรายงานแพทย์ ฉันก็เหมือนแม่ธรรมดาคนหนึ่งที่ตกใจเป็นธรรมดา แต่ไม่ได้กลัวอะไรเพราะความที่เคยคลุกคลีกับทารกในห้องเด็กอ่อนที่ถูกส่องไฟเป็นพรืด เพียงแต่ไม่คาดคิดเท่านั้นเอง เมื่อคุณหมอเด็กมาตรวจ ฉันสังเกตได้ว่าคุณหมอคิดพิจารณาอยู่นานดูจากการจรดปากกานิ่งๆ ตรงใบคำสั่งแพทย์ ฉันอดหวั่นใจไม่ได้ ยามนี้ไม่มีใครช่วยได้หากต้องมีการต่อรองกับคุณหมอ “หมอว่าหนูเก่งอยู่แล้ว หนูจะทำยังไงก็ทำ” คำพูดนี้ทำให้ฉันถึงกับน้ำตาซึม “ขอบพระคุณค่ะคุณหมอ” ฉันยกมือไหว้และกล่าวในทันทีที่คุณหมอพูดจบ ก่อนที่ท่านจะถือ Chart เดินออกไปเงียบๆ ฉันรู้ว่าหมอกังวล ไม่ต่างจากฉัน เพราะดูจากน้ำนมก็ยังไหลชนิด บีบปุด แต่ฉันไม่ต้องการนมผสมอย่างเด็ดขาด 2ชั่วโมงต่อมา พี่พยาบาลมาอุ้มลูกของฉันออกไป นี่คือธรรมเนียมว่าถ้าลูกเจ้าหน้าที่ และโดยเฉพาะว่าน่ารัก น่าหยิก มีบ้างที่เราจะอุ้มออกไปชื่นชมช่วยแม่เค้าดูแลบ้าง แต่สำหรับฉันมันเป็นความกลัวอยู่ลึกๆ เพราะฉันเคยเห็นเด็กที่อยู่ในมือเจ้าหน้าที่ได้รับการป้อนนมผสมบ่อยๆ ฉันเมินหน้าหนีทุกครั้งที่เห็นภาพเหล่านั้น นึกสงสารว่าทารกเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเลย และมีใครเคยคิดพิทักษ์สิทธิให้เค้าบ้าง ฉันเองก็คงขาดจรรยาบรรณ ด้วยเพราะไม่อยากมีปัญหากับใคร ขณะที่ลำพังก็ขึ้นชื่อว่าเป็นแกะดำอยู่แล้ว จึงได้แต่แอบพึมพำขอโทษ ขอโพยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แต่ ณ. เวลานี้ลูกชายจะเป็นอย่างไร ฉันบอกให้สามีออกไปดูลูก เขาได้แต่ให้กำลังใจว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็อุ้มมาคืน ไม่นานเกินรอพี่พยาบาลอุ้มลูกมาคืนให้ “พี่ขอโทษนะ... ตอนแรกพี่เตรียมนมผสมไว้แล้ว ว่าจะป้อนให้เพราะเห็นว่าตัวเหลือง แต่พอกำลังจะป้อนน้องพยาบาลอีกคน ทักขึ้นก่อนว่า...อย่าเสี่ยงเลย แม่เค้าเล่นเรื่องนมแม่ ถ้าป้อนไป แม่เค้าเกิดจำกลิ่นได้ว่าเป็นนมผสม เค้าจะว่าเอา....พี่ก็เลยอุ้มมาคืน และก็อยากขอโทษ” ฉันไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเอง สิ่งที่ได้ยินมันเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ... ฉันกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบคุณค่ะที่ไม่ได้ให้นมผสม หนูตั้งใจให้นมแม่จริงๆนะคะ และก็รู้ว่าลูกตัวเหลือง แต่หนูอยากขอโอกาสอีกสักครั้ง ในการให้นมแม่ด้วยตัวเอง ถ้าพรุ่งนี้ตัวเหลืองไม่ลดลง หนูจะยอมทุกอย่างค่ะ และหนูจะเลิกทำเรื่องนมแม่เลย” ฉันรับลูกกลับมาแนบอกไว้ ในสถานะของคนไข้ ไม่มีทางเลือกเช่นนี้เอง แม้จะมีมันก็คือทางที่เค้าเลือกให้ ชะตาถูกกำหนดโดยผู้ดูแล ฉันทรุดตัวลงกับโซฟา และ ร้องไห้อย่างหนัก ด้วยความอัดอั้นตันใจปนเปไปกับความน้อยเนื้อต่ำใจ พลางบอกลูกว่า “ช่วยแม่ที ดูดนมเก่งๆนะ หนูจะได้หายเหลือง คุณหมอจะได้ไม่หนักใจ หนูต้องพิสูจน์ให้ได้ว่านมแม่ดีที่สุด..ช่วยแม่นะ” และนับแต่วินาทีนั้น ฉันก็ให้ลูกกระหน่ำดูดนม โดยไม่อาจบอกได้ว่ากดดันแค่ไหน ดูแล้วมันเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับคนที่ตั้งใจอย่างฉันมันยิ่งใหญ่ “หนึ่งชีวิตที่เราสร้าง” ย่อมต้องการความสมบูรณ์ตั้งแต่การวางรากฐาน ฉันต้องขอโอกาสเชียวหรือในความต้องการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ขณะนั้นฉันต้องปล่อยวางทุกอย่างเพื่อไม่ให้เครียด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าน้ำนมจะไม่ไหล คงเพราะทำงานด้านนมแม่ด้วยกระมังจึงทำให้ เจ้าหน้าที่ต่างเกรงใจ ไม่มั่นใจและไม่รู้ว่าจะสอนอะไร เพราะคนที่อบรมเรื่องนมแม่แก่บุคลากรคือตัวฉันเอง ดังนั้นจะโทษใครไม่ได้ ถ้าเป็นตัวฉันเองคงถอยไปอยู่ระยะไกลกว่านี้ เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องดูแลตัวเองทุกๆด้านในการให้นม พร้อมๆกับค่อยๆปล่อยวาง นั่งสูดลมหายใจเข้า หายใจออก เป็นจังหวะ เหมือน”แม่ชีลูกอ่อน” ก็คงไม่ผิดนัก เช้านี้ ฉันรู้สึกว่าใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ อย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าเรา 2 คนแม่ลูกจะทำได้มั้ย ชะตาเราจะเป็นอย่างไรจากความร่วมมือกันเมื่อคืนนี้ และเมื่อผลที่ออกมาทำให้คอสั้นๆของฉันยาวขึ้นถึง 3 มิลลิเมตร “เมื่อวาน อ็มบี 16.8 วันนี้ลดลง เหลือ 11.3 แสดงว่านมแม่นี่ดีจริงๆนะ” เสียงเจื้อยแจ้ว ที่สร้างความสุขใจให้ฉันเป็นล้นพ้น “รอดตายแล้วลูกเอ้ย!” ฉันยิ้มให้ลูก และนี่คือความสำเร็จขั้นแรกขณะอยู่ในโรงพยาบาล “เราสู้กันต่อนะลูก” ฉันนึกในใจ 6 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ลูกเองสอนฉันให้หัดเป็นคนสังเกตสังกา ตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการโดยสื่อออกมาในรูปของสัญญาณ เป็นความสุขที่ฉันยอมปล่อยกิจกรรมบางอย่างออกไปเพื่อให้เวลาแก่ลูก นั่นก็คือการบีบน้ำนมเก็บอย่างสม่ำเสมอ ฉันอยากบอกแม่หลายๆคนที่เสียโอกาสดีๆ ในช่วง 6 เดือนแรกนี้ เหลือเกินว่า “ตลอดชีวิต เราทำเพื่อสังคม ให้เวลาแก่สังคมได้ไม่มีหยุดหย่อนแม้แต่เรื่องงาน แต่กับลูกซึ่งเป็นยอดดวงใจ มีชีวิตมีหัวใจ เขาขอสิ่งที่มีค่าและดีที่สุดในร่างกายของเรา เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เรายังให้ลูกไม่ได้” “ลูกรู้คุณค่าในตัวเรา แต่เรากลับไม่รู้คุณค่าของตัวเอง บางครั้งสังคมไม่ได้ต้องการเรา แต่เราเต็มใจเดินเข้าไปหยิบยื่นให้สังคม” นี่หรือคือการทำเพื่อคนที่เรารัก แล้วเรายังคาดหวังในตัวเขาอยากให้เขาเป็นได้ในสิ่งที่เราต้องการ ดังนั้นจึงไม่แปลกหากสังคมวัยรุ่นเบี่ยงเบนเพราะความไม่ใส่ใจของเราตั้งแต่ต้นนั่นเอง ฉันเห็นพัฒนาการที่ดีของลูกก้าวหน้าไปตามลำดับ ฉันไม่ใช่คนเก่งจึงไม่คาดหวังว่าลูกจะต้องเป็นเด็กเก่ง แต่สิ่งที่อยากให้เป็น และสมใจของทุกคนในครอบครัวคือ ความฉลาดทางอารมณ์ที่ลูกมีพร้อมโดยแทบไม่ต้องบอกหรือสอน คือสิ่งที่ฉันภูมิใจ ถึงเวลานี้ ฉันสามารถพูด แนะนำ ให้คำปรึกษา แก่ใครๆที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างเต็มปาก เพราะฉันผ่านปัญหา เต้านมคัด น้ำนมน้อย ท่อน้ำนมอุดตัน จากการเรียนรู้ด้วยตนเองและเข้าใจความรู้สึกว่าเป็นเช่นไร ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นฉันว่า “การเป็นตัวอย่างที่ดี” ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของบุคลากรสาธารณสุข มีความสำคัญกว่าเป็นไหนๆเพราะฉันพิสูจน์มาแล้วว่า “นมแม่” ดีจริง เมื่อลูกชายคนเล็กคว้า “รางวัลที่ 1: พัฒนาการดี....เริ่มที่นมแม่” ระดับจังหวัด มาให้ชื่นใจ ตั้งแต่ยังไม่ทันจะขวบครึ่ง ลูกเป็นใบเบิกทางให้พูดได้เต็มปากว่า นมแม่ดีที่สุดในทุกๆด้าน และฉันก็ถ่ายทอดประสบการณ์ให้คุณแม่หลายคนฟังเพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เค้า หากใครเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวได้ 6 เดือน ฉันถือว่านั่นคือความสำเร็จของเราทั้ง 2 ฝ่าย แต่หากทำไม่ได้ ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะวาสนาที่เด็กสร้างมาเท่านั้นเอง จวบจนวันนี้ ลูกชายอายุ 2 ขวบครึ่ง ยังดูดนมแม่ อย่างมีความสุข ฉันเองก็สุขใจ ในการเป็นผู้ให้ เช่นเดียวกัน  

หมายเลขบันทึก: 446274เขียนเมื่อ 28 มิถุนายน 2011 01:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 กรกฎาคม 2018 09:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

อ่านแล้ว ซึ้งใจจนอดน้ำตาไหลไม่ได้จริงๆ ค่ะ

นับถือความตั้งใจจริงๆค่ะ หัวอกคนเป็นแม่ทุกคน ขอบคุณความรู้และคำปรึกษาที่ดีนะคะพี่เอ้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท