สุทฺทสํ วชฺชมญฺเญสํ อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ
โทษของคนอื่นเห็นง่าย แต่โทษของตนเห็นยาก
คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธพระพุทธภาษิตบทนี้อย่างแน่นนอน เพราะทุกคนต่างก็แสวงหาแต่ความผิดของคนอื่น โดยไม่ได้ใส่ใจถึงสิ่งที่ตนเองได้ทำไปแล้วว่าถูกหรือผิดอย่างไร ดังบทกลอนบทหนึ่งที่ท่านกล่าวไว้อย่างน่าฟังและน่าคิดว่า
โทษคนอื่นแลเห็นเช่นภูเขา
โทษของเราแลเห็นเท่าเส้นขน
ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเราเหลือทน
ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร
ยิ่งโดยเฉพาะสังคมปัจจุบัน มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งสีแบ่งชนชั้นด้วยแล้ว ความแตกแยกก็จะเกิดกับสังคมได้ง่าย ผู้ที่กระทำผิดแต่เป็นผู้มีอำนาจกลับเป็นเรื่องไม่ความผิด แต่ถ้าเป็นคนไม่มีทรัพย์สินเงินทอง หรือพวกพ้อง แม้ผิดเล็กน้อยก็กลับเป็นความผิดใหญ่หลวง นี่คือความเป็นจริงที่ปรากฎ ณ ปัจจุบันนี้
ในอดีตกาล มีสามเณรรูปหนึ่ง เมื่อบวชแล้วได้ปรนนิบัติรับใช้พระอุปัชฌาย์ด้วยความเคารพ แต่ด้วยความที่เธอเป็นปุถุชน เมื่อปรนนิบัติไปก็คิดไปต่างๆ นานา จนเกิดความฟุ้งซ่าน วันหนึ่งเธอได้คิดที่จะลาสิกขา จนสามารถก่อร่างสร้างตัวได้แล้ว อยากได้ภรรยาคนหนึ่ง และอยู่กับภรรยาของเขาอย่างมีความสุข จนได้ให้กำเนิดบุตรกำลังน่ารัก วันหนึ่งเขาทำงานเหนื่อยมาก ภรรยายก็เลี้ยงลูกอยู่บ้านก็เหนื่อยเช่นกัน เขาสั่งให้ภรรยายทำงานชิ้นหนึ่งให้ แต่ภรรยายคัดค้าน จึงได้ลงมือตบตีภรรยายของตนเอง ทั้งๆที่ นั่นคือความคิด และเธอก็กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในความคิดนั้น คือ อินในบท จนไม่สามารถเก็บอารมณ์ที่เกิดในความคิดนั้นได้
แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังนั่งพัดพระอุปัชฌาย์อยู่ เพราะกำลังอินในบทนั้นนั่นเอง เธอได้ใช้พัดฟัดหัวพระเถระอย่างแรง พอรู้ตัวก็เริ่มวิ่งหนีเพราะกลัวความผิดที่ตนเองทำ แต่พระอุปัชฌาย์ให้สติเธอได้ จากคำสนทนาอย่างเข้มข้นตรงนี้เอง ทำให้มองเห็นว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านมีความคิดอย่างไรกับคนที่ประทุษร้ายท่าน ถ้าเป็นเราๆ ท่านๆ ละก็.... คงจะต้องได้วางมวยกันอย่างแน่นอน เหมือนกับคนที่เขากำลังทะเลาะแบ่งพรรคแบ่งสีกันอยู่ทุกวันนี้ พูดกันอย่างสาดเสียเทเสีย จนแทบจะมองไม่เห็นว่าฝ่ายไหนดี ฝ่ายไหนไม่ดี
พระเถระกลับมองโลกตามความเป็นจริงด้วยเมตตาจิตของท่าน ว่า
เนเวตฺถ ตุมฺหากํ โทโส อตฺถิ, น มยฺหํ วฏฺฏสฺเสเวโส โทโส ฯ (ธรรมบท ภาค ๔ หน้า ๖๙)
"ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จะเป็นความผิดของท่านก็ไม่ใช่ จะเป็นความผิดของเราก็ไม่ใช่ เป็นความผิดของวัฏฏะต่างหาก"
หากในสังคมของเราจะมองตามความเป็นจริง แก่นแท้ของแต่ละเรื่องละก็ ความวุ่นวายต่างๆ คงจะไม่เกิดขึ้น เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ฉะนั้น ควรที่จะพิจารณาตนเอง ดูแลตนเอง ปกครองตนเองให้ดีที่สุด ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
อย่าแชเชือนเตือนตนให้พ้นภัย.
มาศึกษาว่า ไม่ผิดได้อย่างไรครับ พระคุณเจ้า
มีบาลีอ้างข้อที่ท่านกล่าวว่าไม่ผิด คือ
เนว โกปํ น โทสมกาสิ (ธรรมบทภาค ๔ หน้า ๖๙)
ซึ่งเป็นข้อความที่ต่อจากคำที่ท่านพูดแล้ว
แปลว่า "(เพราะท่าน) เนว โกปํ ไม่กระทำความโกรธ น โทสมกาสิ ไม่กระทำการประทุษร้ายตอบ"
นั่นแสดงว่า ท่านเป็นผู้มีเมตตาจิต ดังคำยกย่องต่อมาอีกว่า น เม ภนฺเต เอวรูโป คุณสมฺปนฺโน ทิฏฺฐปุพฺโพ (ธรรมบทภาค ๔ หน้า ๖๙) "ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณเช่น ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน พระพุทธเจ้าค่ะ"
กล่าวโดยสรุป ก็คือ ท่านเป็นพระอริยเจ้า มีจิตที่บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว
และมีเมตตาต่อทุกสรรพสัตว์ เท่าเทียมกันหมด เหมือนที่พระพุทธองค์เคยได้ตรัสเปรียบเทียบความเมตตา
ที่พระเทวทัตต์ ซึ่งคอยประทุษร้ายพระพุทธองค์ตลอด ทั้งที่รู้ว่า พระพุทธองค์มิเคยได้คิดประทุษร้ายตอบ
ดังพระบาลีธรรมบทภาค ๑ หน้า ๑๓๖ ว่า
วธเก เทวทตฺตมฺหิ โจเร องฺคุลิมาลเก
ธนปาเล ราหุเล จ สพฺพตฺถ สมมานโส
พระผู้มีพระพระภาคเจ้า มีพระทัยสม่ำเสมอในทุกสรรพสัตว์
ไม่ว่าจะเป็นนายขมังธนูก็ดี พระเทวทัตต์ก็ดี จอมโจรองคุลีมาลก็ดี
ช้างธนบาลก็ดี ราหุลกุมารก็ดี
ฉะนั้น ข้อที่ว่าไม่ผิดนั้น ก็เพราะไม่คิดประทุษร้ายตอบ จะตัวท่านเองกำลังถูกประทุษร้ายก็ตาม.
เรา ๆ ท่าน ๆ ยังมีกิเลสหนาอยู่จึงเป็นเช่นนั้น ปล่อยไปตามกรรมเถิด กัมมุนา วัตตะตี โลโก