เรื่องสั้น : รักที่ไม่มีเงื่อนไข (จบ)


ความรักจะทำให้เรามีชีวิตที่เบิกบานแจ่มใส ความรักทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตของเรามีคุณค่าและมีความหมายมากขึ้น ความรักจะทำให้เราหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว ทำให้เราค้นพบอิสระภาพที่แท้จริง คุณค่าของความรักจะทำให้เราเข้าใจชีวิต เข้าใจโลก เข้าใจคนอื่น และเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ความดีงามต่างๆ เพื่อตนเอง เพื่อคนที่ตนรัก เพื่อโลก และเพื่อทุกๆ คน ถ้าเพียงแต่เราจะเรียนรู้และเข้าใจมันดีพอ

         

        

         “ก็ไม่จำเป็นเสมอไปหรอกน่ะ  ความรักแท้บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยการแต่งงานก็มี และก็เป็นความรักที่อมตะด้วย  ถ้าหากต่างคนต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกัน หรือถ้าหากว่าเราเข้าใจในความหมายของความรักดีพอ  ความรักแท้นั้น  เมื่อมันเกิดขึ้นกับใครแล้ว  มันก็จะดำรงอยู่กับคนๆ นั้น ไปตราบนิจนิรันดร” 

         “แล้วความรักกับมิตรภาพนี้  อย่างไหนสำคัญกว่ากันละครับ ท่านอาจารย์?”   ผมรุกท่านต่ออีก

          ท่านชี้แจงให้ฟังว่า   “มันก็สำคัญทั้งสองอย่างนะแหละ  แต่มิตรภาพนั้นจะสำคัญมากกว่า  ส่วนความรักนั้นสำคัญรองลงมา  เพราะฉะนั้น  แม้มิอาจจะได้ความรักตอบแทนจากคนอื่น  แต่ก็จงอย่าทำลายมิตรภาพให้พังทลายลงไป เนื่องจากมิตรภาพนั้นมีค่ามากกว่าความรักมากมายนัก  อ้อ!  แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคนอีกเหมือนกันน่ะ  บางคนก็เห็นความรักสำคัญกว่ามิตรภาพ ในขณะที่บางคนก็เห็นว่ามิตรภาพสำคัญกว่าความรัก  ไม่แน่นอนเสมอไป  ขึ้นอยู่กับความเห็นของแต่ละคนว่าเขาจะคิดอย่างไร”

          “ท่านอาจารย์ครับ!  ที่ท่านอาจารย์เล่ามาทั้งหมดนั้น ผมก็พอจะเข้าใจนะครับ  แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นแค่เพียงทฤษฎีหรือเปล่า  ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นนิยายหรือความเพ้อฝันยังไงยังงั้นแหละ  ไม่ทราบว่าเคยมีใครนำไปปฏิบัติจริงบ้างไหมครับ?”  ผมถามท่านอีกตามเคย

          “มีซิโยมเพลิน!  นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเลยน่ะ  หากแต่ทุกคนสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ตลอดเวลา  มีคนที่เขาทำได้จริงๆ น่ะ   อยากฟังไหม?  ถ้าอยากฟัง  อาตมาก็จะเล่าให้ฟัง”    ท่านถาม

          “อยากฟังมากๆ ครับผม  จะกราบขอบพระคุณมากๆ  ถ้าหากท่านอาจารย์จะกรุณาเล่าให้ผมฟังตอนนี้”   

          ผมกราบเรียนท่านด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ฟังเรื่องราวที่ตนเองไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

          “เอาล่ะ!  ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็จะเริ่มต้นเล่าให้โยมฟังเดี๋ยวนี้เลยน่ะ  ตั้งใจฟังดีๆ  ก็แล้วกัน”

          “ครับผม”    ผมตอบรับท่านด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

          ท่านเล่าว่า   เมื่อหกสิบกว่าปีที่แล้ว  ชาวนาครอบครัวหนึ่งได้ให้กำเนิดเด็กน้อยคนหนึ่งชื่อว่า“วาสุเทพ”  ซึ่งเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก วันหนึ่งขณะที่พ่อแม่ของเด็กน้อยกำลังเดินจากท้องทุ่งเพื่อจะมาหลบพายุฝนที่กระท่อมปลายนา  จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาที่ร่างของทั้งสองคน ทำให้ทั้งคู่เสียลงชีวิตพร้อมกัน  เลยทิ้งลูกน้อยให้ตายายเลี้ยงดูต่างหน้าแทน   พออายุสิบขวบตายายก็เอาไปฝากพระที่วัดเพื่อให้ท่านช่วยเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนให้  พระท่านก็เมตตารับไว้ให้เป็นเด็กวัดตั้งแต่นั้นมา

          เด็กคนนั้นเป็นคนที่เรียนเก่งพอใช้ได้  มีน้ำใจ  ชอบช่วยเหลือผู้อื่น  ทำงานวัดทุกอย่างที่พระท่านสั่งให้ทำ  บางทีก็ไปช่วยครูทำงานที่โรงเรียน  จนกลายเป็นที่รักของทุกๆ คน  ไม่ว่าจะเป็นที่วัดหรือที่โรงเรียนก็ตาม

          หลังจากเรียนจบจากโรงเรียนประถมแล้ว  พระรูปหนึ่งที่มีความรักและเมตตาต่อเด็กชายวาสุเทพ ก็รับอุปการะส่งเขาไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในตัวอำเภอ  ซึ่งเขาก็ตั้งใจเรียนและกลายเป็นขวัญใจของเพื่อนๆ ทุกคน  พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว  ก็มีครูใจบุญท่านหนึ่งรับอุปการะส่งให้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  ซึ่งตอนนั้นวาสุเทพก็มีอายุครบ 15 ปีพอดี

         วันแรกที่เขาเข้าไปเรียนชั้น ม.ศ. 4 สายตาของเขาก็เหลือบไปมองเห็นเด็กสาวคนหนึ่ง ชื่อ “เพียงตะวัน”  ซึ่งเป็นนักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่และได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน  เขาเกิดความรู้สึกว่าถูกศรรักแล่นเข้ามาปักหัวใจเขาเต็มเปา  มันเป็นรักแรกพบอย่างแท้จริง  เขาแอบมองเธออยู่บ่อยๆ เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปพูดคุยด้วยเท่านั้นเอง

         ฝ่ายเด็กสาวเพียงตะวันนั้น  เนื่องจากเธอมีความสวยงามเป็นเลิศและเรียนเก่งด้วย  เลยกลายเป็นดาวเด่นของโรงเรียนที่ใครๆ ก็หมายปอง  รวมทั้งหนุ่มวาสุเทพด้วย  แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้สนใจเขาเลยแต่อย่างใด  เนื่องมาจากความแตกต่างทางด้านฐานะเป็นเหตุ

          อย่างไรก็ตาม  สำหรับวาสุเทพแล้ว  เขาคิดว่าเพียงตะวันเป็นเสมือนนางฟ้าของเขา  เขาคิดว่าเขาเกิดมาเพื่อเธอ  ในหัวใจของเขานั้นมีเธอคนเดียวเท่านั้นอยู่ในหัวใจ  เขาตั้งใจว่าจะพยายามทำทุกๆ สิ่งเพื่อเธอ  และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ

          หลายครั้งหลายหนที่เขาทำความดีเพื่อเธอ  แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำลงไปเหล่านั้นกลับได้รับการตอบแทนกลับมาเพียงความว่างเปล่า  ทั้งนี้ เพราะว่าเธอไม่ได้สนใจใยดีเขาเลย  หากแต่กลับไปสนใจนักเรียนรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง  ซึ่งหน้าตาดีและมีฐานะ  และก็มักจะไปไหนต่อไหนด้วยกันเสมอ  บ่อยครั้งที่เขาเกิดความน้อยอกน้อยใจ แต่ก็พยายามที่จะเก็บมันไว้ในใจโดยไม่ให้ใครรู้

          คราวหนึ่ง เขาไปเดินชมดอกไม้ที่สวนหย่อมหน้าโรงเรียน  เขามองเห็นผีเสื้อสีสวยตัวหนึ่งกำลังเกาะอยู่ที่ดอกกุหลาบ  เขาก็เดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะจับมัน  แต่ผีเสื้อตัวนั้นก็บินหนี  เขาวิ่งไล่จับมัน  แต่ก็ไม่สามารถจะไล่จับมันได้  จนทำให้เขารู้สึกเหนื่อย  และนั่งพักอยู่ที่ข้างๆ สวนหย่อม  แล้วเฝ้ามองดูผีเสื้อตัวนั้นนิ่งๆ   สักครู่ผีเสื้อตัวนั้นก็บินกลับมาที่สวนหย่อม  และบินมาเกาะที่เสื้อของเขาอย่างหน้าตาเฉย

          เขาคิดว่า  ความรักก็เหมือนผีเสื้อนั่นแหละ  หากเราวิ่งไล่จับมัน  มันก็จะบินหนีเราไปเรื่อยๆ  จนทำให้เรารู้สึกเหน็ดเหนื่อย  ท้อแท้  และสิ้นหวัง  แต่ถ้าหากว่าเราหยุดอยู่นิ่งๆ บางทีผีเสื้อก็จะเป็นฝ่ายบินมาหาและเกาะที่ตัวเราเอง  ทำให้เราสามารถชื่นชมความงดงามของมันได้อย่างที่ใจปรารถนา 

          นานวันเข้า เมื่อความรักที่เขาทุ่มเทลงไปนั้นมีแต่ความว่างเปล่า เหมือนกับการกอดก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า  เขาก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่  เปลี่ยนจากรักแบบแฟนมาเป็นรักแบบเพื่อนแทน  เขายอมสูญเสียความรักได้  แต่เขาจะไม่ยอมสูญเสียมิตรภาพที่เขามีต่อเธออย่างเด็ดขาด  เขาจะทำทุกอย่างเหมือนเดิมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย  เขาจะไม่วิ่งตามใครอีก  เขาจะหยุดอยู่นิ่งๆ เขาจะอดทนและรอคอย จะคอยเอาใจช่วยเธออยู่ห่างๆ อย่างนี้ตลอดเวลา  เขาคิดว่าสักวันหนึ่งเมื่อเธอเหน็ดเหนื่อย  ท้อแท้  และไม่มีใครอีกแล้ว  เธอก็คงจะมองเห็นความดีของเขาและกลับมาหาเขาเอง เฉกเช่นผีเสื้อตัวนั้น

          ฝ่ายสาวเพียงตะวันนั้น  ก็รู้ว่าหนุ่มวาสุเทพแอบหลงรักตนมานานแล้ว  และแอบสังเกตอาการของเขามาตลอด  เพียงแต่ไม่ได้ให้ความสนใจเขาเท่านั้นเอง  เนื่องจากตนมีคนรักอยู่แล้ว

          หลังจากเรียบจบ ม.ศ. 5  กันหมดทุกคนแล้ว เพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน  หลายคนทำงาน  ขณะที่อีกหลายคนไปเรียนต่อในวิทยาลัยครูหรือมหาวิทยาลัยในกรุงทพฯ

          วาสุเทพนั้น ต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีคนอุปการะต่อ เลยได้ไปสมัครเข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในตัวอำเภอ  ส่วนเพียงตะวันนั้น สอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ได้

          แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันอีกเลย  แต่วาสุเทพก็คิดถึงและเป็นห่วงเพียงตะวันอยู่ตลอดเวลา  มีผู้หญิงหลายคนที่สนใจและทอดสะพานให้เขา  แต่เขาก็ไม่ได้สนใจใยดีใครเลย  ความรักของเขาที่มีต่อเพียงตะวันนั้นมั่นคงหนักแน่นมากเกินกว่าที่ใครจะมาทำลายได้

         คราวหนึ่ง เพียงตะวันกลับมาเยี่ยมบ้านและมีโอกาสได้พบกับวาสุเทพอย่างบังเอิญ  ทั้งสองคนได้พูดคุยถามข่าวคราวของกันและกันเป็นเวลานานตามประสาเพื่อนเก่า  จึงทำให้เขารู้ว่าเพียงตะวันเลิกกับแฟนเก่าและมีแฟนใหม่เรียบร้อยแล้ว  ในขณะที่เธอเองก็รู้ว่าวาสุเทพยังเป็นเพื่อนที่ดีของเธออยู่เช่นเดิม  เขายังรักเธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  เขายังเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายเสมอ

          ตั้งแต่พบกันคราวนั้น ทำให้เขาและเธอได้ติดต่อกันบ่อยขึ้นโดยการเขียนจดหมายบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันอ่านในฐานะที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน  เพียงตะวันชอบเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนในมหาวิทยาลัยและความวุ่นวายในเมืองหลวงให้เขาอ่าน ส่วนเขาก็เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิดส่งไปให้เธออ่าน  แต่ไม่เคยมีสักฉบับเลยที่จะบอกกล่าวถึงเรื่องความรักของแต่ละคน

          ปีสุดท้ายแห่งการเรียนในมหาวิทยาลัยของเพียงตะวันมาถึง  วันหนึ่งเธอมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส  เนื่องมาจากแฟนคนล่าสุดได้ทิ้งเธอไปและไปมีผู้หญิงคนใหม่อีกคน

          เธอรู้สึกเจ็บปวด  เหน็ดเหนื่อย  ว้าเหว่ และเคว้งคว้าง เหมือนดั่งเรือลำน้อยที่กำลังล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ท่ามกลางพายุที่กำลังพัดกระหน่ำอย่างหนักหน่วงรุนแรง  เธอต้องการอยากจะมีใครสักคนคอยปลอบโยนให้กำลังใจและอยู่เป็นเพื่อน  การเดินทางและวิ่งไขว่คว้าหาความรักอันยาวนานของเธอได้สิ้นสุดลงพร้อมกับดวงใจที่ชอกช้ำ 

          เธอตัดสินใจที่จะหยุดเดิน และเหลียวมองกลับมาดูด้านหลังว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาเหล่านั้น มีใครบ้างที่เดินตามหลังเธอ  มีใครบ้างที่พร้อมจะประคองให้เธอลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้งในยามที่เธอหกล้ม  มีใครบ้างที่คอยห่วงใยและเอาใจช่วยเธอเสมอมา....แล้วคนเดียวที่เธอมองเห็น  และเขาก็รัก คิดถึง ห่วงใย  เอาใจช่วย  และอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดมา  ก็คือ วาสุเทพ.....ชายหนุ่มผู้มีความรักแท้คนนั้นนั่นเอง

          เทอมสุดท้ายของปีนั้น เพียงตะวันตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่  เพื่อจะได้เรียนจบสมความตั้งใจ  โดยพยายามจะลืมประสบการณ์ร้ายๆ ทั้งหมดลง 

          เมื่อเธอคิดย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวดีๆ ที่วาสุเทพเคยทำกับเธอในอดีตที่ผ่านมา  ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งทำให้เธอเกิดความมั่นใจว่าสิ่งที่เขาทำทุกอย่างนั้น  เขาทำมันเพื่อเธอ ความรักของเขายิ่งใหญ่กว่าที่เธอคิดเอาไว้มากมายนัก

          บางครั้งเธอก็แอบร้องไห้หลั่งน้ำตาเพราะสงสารเขา  เธอเสียใจที่เธอปฏิเสธความรักของเขาไปอย่างไม่ใยดี  ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เธอมองเห็นความงดงามแห่งจิตใจของเขามากขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกว่าเธอก็รักวาสุเทพเช่นเดียวกัน เพียงแต่เธอไม่เคยและไม่กล้าบอกเขา  เพราะเธอได้ทำความผิดต่อเขาเอาไว้มากมายเหลือเกิน

          เธอได้แต่เขียนระบายความในใจต่างๆ เอาไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวเล่มใหม่ของเธอ ซึ่งภายในสมุดบันทึกเล่มนี้ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เธอเขียนถึงวาสุเทพทั้งสิ้น  โดยเธอหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะมอบมันให้แก่เขาเพื่อเป็นตัวแทนแห่งความรู้สึกที่ดีงามต่างๆ ที่เธอมีต่อเขา

          เมื่อการสอบปลายภาคครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง  เพียงตะวันก็เก็บข้าวของเพื่อเดินทางกลับไปบ้านเกิด โดยคนแรกที่เธอตั้งใจจะไปพบหลังจากลงจากรถแล้ว ก็คือ วาสุเทพ....ผู้แสนดีนั่นเอง  เพื่อที่จะไปถามข่าวคราวความเป็นไปเกี่ยวกับชีวิตของเขา และจะบอกความในใจของเธอให้เขาได้รับรู้ด้วย

          เวลาแปดโมงเช้าวันนั้น  วาสุเทพไปทำงานตามปกติ  แต่ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะรู้สึกระคายตาโดยไม่ทราบสาเหตุ แถมก่อนออกจากบ้านจิ้งจกตัวหนึ่งก็หล่นจากเพดานลงมาตายต่อหน้าต่อตายของเขาอีก

          ในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ในสำนักงานนั้น  ที่ถนนข้างนอก รถสิบล้อคนหนึ่งวิ่งส่ายไปมาด้วยความเร็วสูงคล้ายๆ กับคนขับกำลังเมาสุราอย่างหนัก  แล้วรถสิบล้อคนนั้นก็เฉี่ยวชนหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่ริมถนนกระเด็นลอยละลิ่วขึ้นไปบนอากาศแล้วก็ตกลงมากระทบพื้นเสียชีวิตคาที่หน้าสำนักงานของวาสุเทพนั่นเอง

          เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ และเสียงของไทยมุงที่ดังลั่นไปทั่วบริเวณนั้น ทำให้วาสุเทพรีบลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและวิ่งออกไปดู  ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าคนตายเป็นใคร  เพราะคนมุงดูเต็มไปหมด แต่เมื่อเขาค่อยๆ แหวกฝ่าวงล้อมของไทยมุงเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อเขาเห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นอย่างชัดเจน  หัวใจของเขาก็แทบแตกสลาย 

          เขารีบเข้าไปอุ้มร่างของเธอขึ้นมา  และกอดเธอแนบอกไว้แน่น เขาร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร  เขากอดร่างอันปราศจากวิญญาณของเธอร้องไห้อยู่เป็นเวลานานแสนนาน และคร่ำครวญพรรณนาถึงเธอต่างๆ นานา  จนทำให้หลายๆ ที่ได้พบเห็นต่างก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย

          ชีวิตของวาสุเทพตั้งแต่เด็กจนโตนั้นน่าสงสารยิ่งนัก  แต่ชีวิตที่น่าสงสารมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก ก็คือชีวิตของเพียงตะวัน  หญิงสาวผู้ซึ่งเดินทางเพื่อจะแสวงหาและไขว่คว้าหาความรักแท้มาตลอดทั้งชีวิต  แต่ครั้นเมื่อได้พบกับรักแท้อย่างที่ใจปรารถนาแล้ว  พญามัจจุราชก็กลับมากระชากชีวิตของเธอให้ต้องพรากจากเขาไปตราบนิรันดร์  โดยไม่มีวันที่เขาและเธอจะได้พบเจอกันอีกเลยในภพนี้

          ในงานฌาปนกิจศพของเพียงตะวันวันนั้น  มีญาติพี่น้อง เพื่อนๆ ของเธอและประชาชนมากมายไปร่วมงาน  ทุกคนต่างก็อาลัยอาวรณ์ที่เด็กสาวต้องด่วนจากโลกนี้ไปอย่างกระทันหัน  พ่อแม่ของเธอร้องไห้ปิ่มจะขาดใจตายตามลูกสาวเพียงคนเดียวที่ต้องจากไปก่อนวัยอันสมควร  ส่วนวาสุเทพนั้น ตัดสินใจลาออกจากงานและบวชหน้าไฟเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเพียงตะวัน หญิงสาวที่เขารักมากกว่าชีวิตของตนเอง โดยเขาปฏิญาณตนที่จะบวชเพื่อเธอตลอดชีวิต

         ตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้  พระภิกษุวาสุเทพก็ยังยึดมั่นในความรักที่เขามีต่อหญิงสาวที่เขารักอยู่เฉกเช่นเดิม  ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านพ้นไปเนิ่นนานสักเพียงไหนก็ตาม  เขาก็ยังมีเธออยู่ในหัวใจตราบนิรันดร์กาล

          ในทุกที่ทุกแห่งหนที่เขาเดินทางไป  เขาไม่เคยไปเพียงลำพังคนเดียว  หากแต่เพียงตะวันก็ติดตามเขาไปเป็นเพื่อนด้วย  เขาไม่เคยเงียบเหงา  ไม่เคยเหน็บหนาว ไม่เคยโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่เคยว้าเหว่เคว้งคว้าง เพราะเพียงตะวันอยู่ในหัวใจและความทรงจำของเขาเสมอทุกย่างก้าว  เขาเก็บรักษาสมุดบันทึกเก่าๆ ที่เพียงตะวันเขียนขึ้นเพื่อมอบให้เขาก่อนเสียชีวิตกับผงกระดูกของเธอเอาไว้ราวสมบัติล้ำค่า และเขาก็พกพานำมันติดตัวไปด้วยในทุกหนทุกแห่งที่เขาเดินทางไป

          ความรักของเขาเป็นความรักแท้ ที่บริสุทธิ์และสวยงาม  เป็นรักอมตะที่ไม่มีวันตาย เป็นความรักที่ไร้พรมแดน  ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา  เป็นความรักที่ไม่ทำให้เขาเกิดทุกข์หรือเจ็บปวดใดๆ และเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น

          เรื่องราวความรักของวาสุเทพกับเพียงตะวัน  กลายเป็นตำนานรักอมตะของคนในแถบนั้น เป็นเรื่องราวที่เพื่อนๆ และคนอื่นที่รู้เรื่องต่างก็พากันประทับใจ  ต่างก็พากันนับถือในความเด็ดเดี่ยวของวาสุเทพ ยกย่องในความรักแท้ของเขา และสงสารในโชคชะตาของเพียงตะวัน

          “โยมเพลิน!  ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามน่ะ  มันงดงามมากเหลือเกิน ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แต่มันก็มีความสวยงามและงดงามเสมอ

          ความรักจะทำให้เรามีชีวิตที่เบิกบานแจ่มใส  ความรักทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตของเรามีคุณค่าและมีความหมายมากขึ้น  ความรักจะทำให้เราหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว  ทำให้เราค้นพบอิสระภาพที่แท้จริง  คุณค่าของความรักจะทำให้เราเข้าใจชีวิต  เข้าใจโลก  เข้าใจคนอื่น  และเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ความดีงามต่างๆ เพื่อตนเอง  เพื่อคนที่ตนรัก  เพื่อโลก  และเพื่อทุกๆ คน  ถ้าเพียงแต่เราจะเรียนรู้และเข้าใจมันดีพอ 

          ความรักเป็นเรื่องของหัวใจ  เป็นธรรมชาติของอารมณ์ของมนุษย์  ไม่ใช่ความผิดของเราเลย  หากเราจะมีความรักหรือเราจะรักใครสักคน  ขอเพียงให้เรารักให้เป็นเท่านั้นเอง 

          จงรักคนที่เรารักให้มากที่สุดเท่าที่เราสามารถจะรักได้  จงเชื่อมั่นในคนที่ตนรัก  จงให้อสระเสรีภาพแก่คนที่ตนรักเสมอ  ปล่อยให้เขามีโอกาสได้เลือกทางเดินด้วยตนเอง ให้เขาได้โบยบินอย่างเต็มที่ อย่าปิดกั้นจินตนาการหรือความฝันของเขา  ให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาอยากจะเป็น ให้เขาทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำ .....แล้วโยมก็จะไม่ต้องมานั่งเศร้าหมองหรือทุกข์ทนใดๆ กับมันต่อไปอีก”

 

          ท่านเล่าจบ  ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน  และขยับจีวรให้กระชับแน่นขึ้น  ท่านมองมาที่ผมและยิ้มให้  แววตาของท่านบ่งบอกถึงความเป็นผู้ผ่านโลกผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน  คำพูดของท่านทุกคำแสดงให้เห็นถึงความตกผลึกทางด้านความคิด และแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในชีวิตและโลกอย่างแจ่มแจ้ง

 

          เม่ง  เม่ง  เม่ง  เม้ง ๆ   ๆ   ๆ    ๆ    ๆ   ๆ   ๆ   ๆ    ๆ    ๆ ๆ    ๆ ๆ ๆ  ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

          เสียงระฆังที่ดังขึ้นมาจากบนเจดีย์  ทำให้ผมยกแขนซ้ายขึ้นและเหลือบมองดูที่นาฬิกาข้อมือ  มันเป็นเวลาห้าโมงเย็นพอดี

          “โยมเพลิน!  วันนี้อาตมาเห็นจะต้องขอตัวไปทำวัตรเย็นที่โบสถ์ก่อนน่ะ  เอาไว้โอกาสหน้าค่อยคุยกันใหม่ก็แล้วกัน”  ท่านกล่าวขึ้น

          “ครับผม!”  พูดจบ  ผมก็คุกเข่าและประนมมือขึ้น

          “ผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ  ที่วันนี้ท่านอาจารย์ได้เมตตาเล่าเรื่องที่มีคุณค่าให้ผมฟัง  และช่วยชี้แนะทางสว่างให้กับผม  ผมขอกราบขอบพระคุณมากๆ ครับ”

          กล่าวขอบคุณเสร็จ ผมก็ก้มลงกราบแทบเท้าของท่านสามครั้งด้วยความซาบซึ้งใจอย่างที่สุด

         จากนั้นท่านก็เดินเข้าไปในกุฏิหลังน้อยของท่าน  สักครู่ก็เดินออกมาและปิดประตูกุฏิเอาไว้ โดยมีผ้าสังฆาฏิพาดไว้ที่บ่าด้านซ้าย  มือขวาถือสมุดบันทึกเก่าๆ เล่มหนึ่งเอาไว้อย่างทะนุถนอม

          “พบกันคราวหน้า  หวังว่าโยมเพลินคงจะไม่แบกความทุกข์อันหนักอึ้งมาอย่างนี้อีกน่ะ!”  ท่านพูดและยิ้มอย่างอารมณ์ดี

          “ครับ ท่านอาจารย์”  ผมตอบ

          แล้วท่านก็เดินอย่างสำรวมไปทำกิจวัตรประจำวันคือการสวดมนต์ทำวัตรเย็นที่พระอุโบสถเหมือนอย่างที่ท่านได้ปฏิบัติมาเป็นปรกติทุกวัน  โดยมีผมเดินตามหลังมาห่างๆ เพื่อจะกลับบ้าน

 

           การสนทนาธรรมกันท่านอาจารย์ในวันนี้  ทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง  มันทำให้ผมยิ้มได้  ทำให้ผมมีความสุขใจขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์  ผมรู้สึกว่าสมองของผมโปร่งเบา  และไม่มีความกังวลหรือหนักใจใดๆ อีกเลย

           ผมจะกลับบ้านด้วยความมั่นใจ

           ผมจะกลับบ้านด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยความสุข

           ผมรู้แล้วว่า ผมควรจะดำเนินชีวิตอย่างไรและมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

           ผมรู้แล้วว่า ผมควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อคนที่ผมรัก

           ผมรู้แล้วว่า รักอย่างไรถึงจะไม่เป็นทุกข์

           ผมรู้แล้วว่า  ผมควรจะรักกุลจิราอย่างไร

           ผมจะรักเธอให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถรักเธอได้

           ผมจะรักเธอ......รักเธออย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น.

 

 

 

 

 

ตะวัน  สีฟ้า

(เหมันตฤดู,  ปลาย พ.ศ.  2544)

หมายเลขบันทึก: 444079เขียนเมื่อ 14 มิถุนายน 2011 22:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ตอนแรกที่ได้อ่าน คือ "จุก" แต่อ่านเสร็จแล้ว "อิ่ม" ในใจ มากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท