ในกระบวนการพัฒนาองค์กรสมัยใหม่ที่มุ่งพัฒนาองค์การให้เป็นองค์การที่มีสุขภาพดี ทั้งในด้านผลการปฏิบัติงานขององค์การ ด้านกระบวนการภายในที่มีประสิทธิภาพ ด้านบรรยากาศในการปฏิบัติงานที่ผาสุกและด้านการวัดระดับความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าตลอดจนมีภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีในสังคมนั้น การดูแลทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญขององค์การเพื่อให้องค์การมีสังคมการทำงานที่ผาสุก และเติบโตไปพร้อม ๆ กับความเจริญเติบโตขององค์การนั้น จำเป็นจะต้องดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพและมีดุลยภาพกับมาตรการการพัฒนาองค์การด้านอื่น ๆ ตลอดเวลา
ในธุรกิจสมัยใหม่ ได้แบ่งการดูแลทรัพยากรมนุษย์ออกเป็น 2 ปฏิบัติการ คือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์( Human Resource Management ) กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์( Human Resource Development) ซึ่งปฏิบัติการทั้งสองอย่างมีทั้งส่วนที่มีการดำเนินการอย่างอิสระและส่วนที่ต้องมีการปฏิบัติการร่วมกัน ในด้านคำจัดกัดความ มอนดีและโน ( R.Wayne Mondy AND Robert M. Noe III , 1990 , pp 4-5) ได้ อธิบายว่า “ การบริหารทรัพยากรมนุษย์” (HRM) เป็นปฏิบัติการที่มุ่งใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ( Utilization of human resource to achieve organization objective) โดยให้กระบวนการในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการกำหนดนโยบายและกำหนดการตัดสินใจทางธุรกิจขององค์การ
ในขณะที่เพซ ( R.Wayne Pace , 1991 , P.7 ) ได้ให้ความหมายของ “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” ( HRD ) ว่า “เป็นบทบาทหน้าที่หนึ่งขององค์การในการบูรณาการเอาการพัฒนาบุคลากรแต่ละคน การพัฒนาอาชีพของพนักงานและการพัฒนาองค์การมาดำเนินการให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดในด้านผลิตผล คุณภาพ โอกาสและความสำเร็จของสมาชิกในองค์การในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ”
“ The integration of individual development, career development, and organization development roles to achieve maximum productivity, quality, opportunity , and fulfillment for organization members as they work to accomplish the goal of the organization. ”
บทบาทของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ( Pace 1991, pp. 10-15 )
มีดังต่อไปนี้
HRM |
HRD |
1. งานพนักงานสัมพันธ์ (Employee Relations) |
1. งานฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร (Training and Development) |
2. งานช่วยเหลือบุคคลากร (Employee Assistance) |
2. งานพัฒนาอาชีพบุคลากร (Employee Career Development) |
3. งานบริหารค่าตอบแทน (Remuneration System Management) |
3. งานพัฒนาองค์การ (Organization Development) |
4. งานปฏิบัติการสรรหาคัดเลือกและบรรจุแต่งตั้งพนักงาน (Recruitment , Selection and Staffing in Practice) |
|
5. งานบริหารจัดการระบบผลการปฏิบัติงาน (Performance Management System) |
|
6. งานวางแผนและยุทธศาสตร์กำลังพล (Human Resource Planning and Strategies) |
|
7. งานออกแบบองค์การและออกแบบตำแหน่งงาน (Organization and Job Design) |
|
8. งานศึกษาวิจัยและระบบข้อมูลบุคคลากร (Human Resource Research and Information System) |
หากแยกบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM) กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ก็จะเห็นว่า งานด้านทรัพยากรมนุษย์ (HR) นั้นสามารถแยกได้เป็น 11 งานแบ่งเป็นงานที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน 5 งาน เป็นงานของฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์โดยตรง 3 งานและเป็นงานของฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยตรง 3 งาน กล่าวคือ
4.1 งานของ HRM โดยตรง เกี่ยวข้องกับการสร้างบรรยากาศที่เกื้อกูลต่อสังคมที่ผาสุกในการปฏิบัติงานของพนักงานอันได้แก่
1) การพนักงานสัมพันธ์ (Employee Relation) เกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ภายในและการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจอันดี ทั้งระหว่างพนักงานในระดับเดียวกันและพนักงานต่างระดับกัน
ความเข้าใจอันดีระหว่างบุคลากรในองค์การ นอกจากจะสร้างบรรยากาศที่ดีในสังคมการทำงานแล้ว ยังจะส่งผลให้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และความทุ่มเทเสียสละในการปฏิบัติงานของพนักงานทุกระดับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้า ทั้งต่อองค์การและบุคลากรขององค์การ
2) การให้ความช่วยเหลือแก่บุคลากร ( Employee Assistance) ทั้งในด้านการให้คำปรึกษาหารือแก่พนักงานที่ประสบปัญหา หรือเกิดความคับข้องใจต่างๆและการให้ความช่วยเหลือพนักงานให้สามารถดำรงความผาสุกอยู่ได้ด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็ดี การให้บริการกองทุนเงินกู้ฉุกเฉินก็ดี การดำเนินการด้านสหกรณ์ออมทรัพย์ของพนักงานก็ดี และการให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่พนักงานและครอบครัวของพนักงานที่ประสบภัยธรรมชาติก็ดี ต่างก็เป็นบทบาทหน้าที่ของงาน HRM ทั้งสิ้น
3) การบริหารค่าตอบแทน (Remuneration Administration) รวมถึงการบริหารค่าจ้าง / เงินเดือนสวัสดิการและค่าตอบแทนอื่นๆตามนโยบายการบริหารค่าตอบแทนขององค์การ โดยยึดหลัก “ Equal Pay to Equal Contribution ” หรือจ่ายค่าจ้างตอบแทนตามผลของการปฏิบัติงานที่พนักงานผลิตออกมาให้กับองค์การ
ทั้งนี้ในทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ถือว่า ค่างจ้างและเงินเดือน “Wage and Salary” เป็นค่าตอบแทนการปฏิบัติงานที่ได้ทุ่มเทความรู้ความสามารถและพลังงานเพื่อผลิตผลงานให้แก่องค์การ
ส่วนสวัสดิการ (Welfare) เป็นค่าตอบแทนความมีคุณค่าของคนในสายตาของผู้บริหารและเจ้าของกิจการซึ่งถ้าผู้บริหารให้ความสำคัญแก่ทรัพยากรมนุษย์มาก ก็จะจัดสวัสดิการให้แก่พนักงานมาก ในทางตรงกันข้ามถ้าเจ้าของกิจการและผู้บริหารให้ความสำคัญแก่ทรัพยากรมนุษย์ไม่มากนัก ก็จะจัดสวัสดิการเฉพาะตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
4.2 งานของ HRD โดยตรง ประกอบด้วยงานด้านการสร้างความดีกว่า (Betterness) โดยการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) ด้วยกระบวนการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ( Systematic Development)
1) การพัฒนาบุคลากร (Individual Development) ด้วยกระบวนการฝึกอบรมและพัฒนารูปแบบต่างๆ อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การวิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรม โดยการวิเคราะห์สมรรถนะขององค์การ (Organization Competency Analysis) เพื่อระบุช่องว่างทางสมรรถนะ (Competency Gap – CG) ระหว่างสมรรถนะที่พนักงานจำเป็นต้องมี (Competency Requirement – CR) กับสมรรถนะที่พนักงานมีอยู่ในปัจจุบัน (Competency Evaluation-CE) แล้วมาร่วมกันกับผู้บริหารในสายงานในการวางแผนพัฒนาสมรรถนะของพนักงานจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (CE) ให้ไปถึงสมรรถนะที่จำเป็นต้องมี (CR) แผนการพัฒนาดังกล่าวเรียกว่า ผังการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากร (Competency Roadmap)
ผู้จัดการฝึกอบรม (Training Manager ) ก็มีหน้าที่ในการออกแบบโครงการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับผังการฝึกอบรมเพื่อเสริมสมรรถนะของพนักงาน (Training Roadmap) ซึ่งเป็นแผนระยะยาว พร้อมจัดทำแผนการฝึกอบรมประจำปี (Annual training Plan) ซึ่งเป็นแผนการฝึกอบรมระยะสั้นเพียง1ปี เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจำดำเนินการฝึกอบรมให้มีประสิทธิภาพต่อไป
2) งานพัฒนาอาชีพบุคลากร (Employee Career Development) มุ่งเน้นการพัฒนาคนให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่พนักงานดำรงอยู่และการเตรียมพนักงานให้มีความรู้ความสามารถที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น โดยคำนึงถึงความคาดหวังของพนักงานและความคาดหวังขององค์การต่ออนาคต ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มืออาชีพจะทำหน้าที่ทั้งในด้านการประเมินความสามารถและศักยภาพของพนักงานแต่ละคน ตลอดจนการประเมินเป้าหมายในชีวิตการทำงานของพนักงาน แล้วประเมินโอกาสของตำแหน่งงานในองค์การ เพื่อให้คำปรึกษาที่เป็นระบบแก่พนักงานเพื่อให้คำปรึกษาที่เป็นระบบแก่พนักงานในการวางแผนการพัฒนาเส้นทางอาชีพ (Career Path) ของพนักงาน พร้อมๆกับการร่วมกับผู้บริหารต้นสังกัดและผู้บริหารระดับสูงในการกำหนดผังทดแทน (Succession Plan) เพื่อให้กิจกรรมการพัฒนาอาชีพของพนักงานสอดคล้องกับความเจริญเติบโตขององค์การได้อย่างเหมาะสม
จากการวางแผนพัฒนาอาชีพของพนักงานแต่ละคน (Individual Career Development Plan) ซึ่งจะทำให้พนักงานได้มองเห็นเส้นทางการพัฒนาอาชีพ (Career Path) ได้อย่างชัดเจนว่า ในอนาคตตัวของพนักงานผู้นั้นจะได้รับการพัฒนาในด้านใด เพื่อให้มีสมรรถนะที่เพียงพอที่พร้อมจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นตามผังทดแทน (Succession Plan) ที่องค์การตั้งไว้
Szilagyi (1998,p.382) ได้สรุปเอาไว้ว่า “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบ จึงเป็นหัวใจที่สำคัญต่อความสำเร็จในชีวิตขององค์การ” (Systematic Human Resource Development lines at the heart of success in all areas of organizational life) ทั้งนี้เพราะในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องเถียงกันอีกเลยว่า กิจกรรมการฝึกอบรม และพัฒนา (การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์-HRD) เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยที่องค์การขนาดใหญ่เท่านั้นสามารถดำเนินการได้ในเวลาที่องค์การรุ่งเรือง เพราะองค์การส่วนใหญ่ไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กต่างก็ตระหนักชัดแล้วว่า การพัฒนากองกำลังพนักงาน (Developing Work Force) มิได้เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยไปกว่าการที่ฝ่ายขายหรือฝ่ายบัญชีขององค์การ ทั้งนี้เพราะต่างก็ยอมรับความจริงว่าการฝึกอบรมและพัฒนาเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต ความอยู่รอดและผลการปฏิบัติงานขององค์กร (Spirit, Survival, and Performance of an Organization) องค์กรจึงต้องพัฒนาบุคลากรเหล่านั้นให้สามารถช่วยกันบริหารจัดการองค์การต่อไปในอนาคตอีกนานแสนนาน
3) งานพัฒนาองค์กร (Organization Development) มุ่งเน้นไปที่การพัฒนา
ระบบ (หมายถึงโครงสร้างและภาระหน้าที่ – Structure and Functioning) และการพัฒนากระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรที่จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์และประสิทธิภาพทั้งภายในหน่วยงานและระหว่างหน่วยงาน (Effective Intraunit and Interunit Relationships) นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องรับผิดชอบการพัฒนาองค์การต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในองค์กรบรรลุผลตามแผนงาน (Planned Changes) ที่ได้วางไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ
หากจะตีความตามความหมายทางวิชาการที่ผู้รู้หลายท่านกำลังดำเนินการ
ด้านการพัฒนาองค์การอยู่ในปัจจุบัน สามารถสรุปได้ว่า กระบวนการพัฒนาองค์การ (Organization Development Process) หมายถึง กระบวนการในการตรวจวิเคราะห์องค์การอย่างมีระบบระเบียบ (Systematic Diagnosis) แล้ววางแผนใส่บทสอดแทรก (Systematic Planned Intervention) เพื่อให้องค์การพัฒนาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ได้วางแผนไว้ (Planned Changes) เพื่อพัฒนาองค์การจากองค์การที่มีสุขภาพไม่ดี (Unhealthy Organization) ไปสู่องค์การที่มีสุขภาพดี (Healthy Organization)
เนื่องจากการพัฒนาองค์การเกี่ยวข้องกับบทสอดแทรก (Intervention) ทั้งที่
เป็นกิจกรรมนอกเหนือจากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (เช่นการปรับโครงสร้างองค์การ การยกเครื่ององค์การ การปรับเปลี่ยนภาระหน้าที่เฉพาะหน่วยงาน เป็นต้น) หลายองค์การอาจจะแยกงานการพัฒนาองค์การออกไปเป็นเอกเทศ แต่ในทางปฏิบัติจริง ทั้ง 3 ภารกิจ คือ กิจกรรมการฝึกอบรมและพัฒนา กิจกรรมทางการพัฒนาอาชีพพนักงานและกิจกรรมการพัฒนาองค์การ จำเป็นจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องรองรับ (Synchronize) กันอย่างมีประสิทธิภาพเสมอ
4.3 งานที่ต้องร่วมกันทำ (Collaborative Functions) หมายถึงงานที่มีผล
กระทบถึงกันและกันที่ทั้งฝ่าย HRM และฝ่าย HRD จะต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการพัฒนาองค์การ
1) งานปฏิบัติการสรรหา คัดเลือก และบรรจุแต่งตั้งพนักงาน (Recruitment,
Selection, and Staffing in Practice) เนื่องจากพนักงานใหม่ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับใดต่างก็เป็นสมาชิกใหม่ในสังคมการทำงาน ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ทั้งด้านการปรับตัวเข้ากับงานที่ทำ กับสังคมการทำงาน และวัฒนธรรมขององค์การ เพื่อให้พนักงานใหม่ปรับตัวได้เร็วขึ้น จึงจำเป็นต้องมีกิจกรรมการปฐมนิเทศพนักงานใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ (หากเป็นพนักงานระดับบริหารยิ่งจำเป็นต้องมีกิจกรรมการปฐมนิเทศรายบุคคล – Individual Orientation Program) เพื่อให้องค์การได้รับประโยชน์จากความรู้ความสามารถของพนักงานใหม่ให้เร็วที่สุด
2) งานบริหารจัดการผลการปฏิบัติงานของพนักงาน (Employee
Performance Management) เมื่อผลการปฏิบัติงานขององค์การ (Organization Performance) ต่ำกว่าแผนงานที่องค์การคาดหวังไว้ (Expected Performance)หรือเมื่อ AP(Actual Performance) < (ต่ำกว่า) EP (Expected Performance) ทั้ง HRM และ HRD จะต้องร่วมกันวิเคราะห์กับผู้บริหารขององค์การเพื่อแสวงหาในการปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน (Performance Improvement - PI) ให้ทันต่อความต้องการเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่องค์การในระยะยาว
3) งานวางแผนและยุทธศาสตร์กำลังพล (Human Resource Planning and
Strategies) เป็นงานประเมินค่างาน (Job Evaluation) และประเมินตำแหน่งงาน (Position Evaluation) เพื่อนำมาวางแผนความต้องการกำลังคน (Manpower Requirements) และงานกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งงาน (Job Specification) และระดับตำแหน่งของงาน (Position Level) ในองค์กร ตลอดจนการประสานงานด้านการบรรจุแต่งตั้ง (Placement) ให้สามารถนำคนที่เหมาะสมไปบรรจุในตำแหน่งงานที่เหมาะสม (Put the Right Person on the Right Position)
4) งานออกแบบองค์การและตำแหน่งงาน (Organization / Job Design) เมื่อ
องค์การดำเนินงานผ่านกาลเวลาไปในแต่ละช่วงเวลา สิ่งแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปจะบังคับให้องค์การจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์การ ภารกิจและกลยุทธ์ศาสตร์การดำเนินงานก็จะเปลี่ยนแปลงไป จึงจำเป็นจะต้องมีการพิจารณาโครงสร้างและระบบต่างๆ ในองค์การ ตลอดจนออกแบบองค์การและหน้าที่งานให้มีความเหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรมนุษย์ ทั้งHRM และ HRD ต่างก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมการออกแบบองค์การและการออกแบบตำแหน่งงาน ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกันด้วย
องค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง จะรวมงานออกแบบองค์การและตำแหน่งงานไว้
กับงานวางแผนและยุทธศาสตร์กำลังพล โดยการตั้งคณะทำงานขึ้นมาคณะหนึ่งเป็นการเฉพาะกิจ เพื่อทำหน้าที่ในการออกแบบองค์การและตำแหน่งงาน เมื่อได้รับการพิจารณาอนุมัติให้นำไปใช้แล้ว คณะกรรมการชุดดังกล่าวก็สลายตัวไป
5) งานศึกษาวิจัยและบริหารระบบข้อมูลด้านทรัพยากรมนุษย์ (Human
Resource and Information System) เป็นงานที่ทั้ง HRM และ HRD ต่างก็มีส่วนในการดำเนินการ ทั้งนี้เพื่อให้การศึกษาวิจัยสามารถนำผลที่ได้มาเป็นข้อมูลป้อนกลับ (Feed Back) ให้แก่องค์การและเพื่อให้ระบบข้อมูลด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจุบันแบบ Real Time อยู่เสมอ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับผู้บริหารในการตัดสินใจและวางแผนอนาคตขององค์การได้อย่างเหมาะสม
ไม่มีความเห็น