สังฆาธิปไตย เป็นการพยายามประยุกต์หลักการเพื่อให้เกิดการปกครองใหม่ ๆ ทั้งนี้เกิดความไม่แน่ใจว่าระบอบการปกครองที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอย่างประชาธิปไตยนี้จะดีที่สุด อาจเป็นเพราะพระพุทธศาสนาสอนในเรื่องของกฏไตรลักษณ์คือทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ระบอบการปกครองที่ว่าดีที่สุดในปัจจุบันอาจจะไม่ดีที่สุดสำหรับในอนาคตก็ได้
๑.บทนำ
สังฆาธิปไตย เป็นระบบการปกครองของคณะสงฆ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมอบพระราชอำนาจของพระองค์ให้กับคณะสงฆ์ (ยุคพุทธกาล) คือกลุ่มพระภิกษุทั้งหมด มิใช่มอบพระราชอำนาจให้กับภิกษุรูปใดรูปหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาผูกขาดอำนาจในการบริหารจัดการ โดยให้คณะสงฆ์เป็นผู้ปกครองกันเอง ทั้งนี้มีพระธรรมวินัยเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญที่องค์กรสงฆ์จะต้องประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ทรงบัญญัติเอาไว้
ในสถานการณ์ปัจจุบันแนวคิดทางการเมืองการปกครอง ได้ขยายสู่อาณาจักรต่าง ๆ ทุกรูปแบบไม่เว้นแม้แต่ในอาณาเขตของพุทธจักร หรือในศาสนจักร ทั้งนี้แนวคิด หรือทฤษฎี ดังกล่าวได้พยายามตีความคำสอนทางพระพุทธศาสนาให้เป็นแนวทางการเมืองการปกครองในหลากหลายมีทั้งลักษณะแง่มุมที่กว้างอันเป็นทฤษฎีและแง่มุมแคบเข้ามาที่เป็นเชิงปฏิบัติ ทั้งนี้ การตีความดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับการจับประเด็นทางพระพุทธศาสนาในแง่มุมที่แต่ละท่านมองเห็น หรือมีภูมิหลังทางความรู้ประสบการณ์ของแต่ละท่านมาเป็นเกณฑ์
สังคมสงฆ์ เป็นสังคมที่น่าศึกษา ทั้งจุดเริ่มต้นที่มีแนวความคิดที่จะปฏิรูปสังคมอินเดียสมัยพุทธกาลที่ผูกโยงชนชั้นทางสังคมเอาไว้กับระบบวรรณะที่ไม่มีความเป็นธรรมจนคนวรรณะต่ำอย่างวรรณะศูทร ไม่สามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้, ทางด้านเนื้อหาพระพุทธเจ้าทรงจำลองรูปแบบการปกครองเพื่อให้สังคมได้อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก โดยมีรูปแบบของการปกครองสงฆ์ เป็นเหมือนเมืองจำลองให้กับสังคมอื่น ๆ นำไปประยุกต์ใช้, ระยะเวลาที่สถาบันสงฆ์ดำรงตั้งมั่นมาอย่างยาวนาน โดยมีผลกระทบ การปรับรูปแบบเพียงเล็กน้อย ตลอดไปถึงวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของวงการสงฆ์ อย่างน่าสนใจ และสังคมสงฆ์นี้เอง เป็นรูปแบบทางการปกครองอีกแนวทางหนึ่งที่จะเป็นทางเลือกให้กับชุมชน, สังคม, สถาบันทางการศึกษาต่าง ๆ ที่กำลังสับสนในโลกแห่งความวุ่นวายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในปัจจุบัน และอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและถูกทางที่สุดก็ได้ในอนาคตอันใกล้นี้
อนึ่งพระพุทธเจ้าทรงเห็นความสำคัญของปัจเจกบุคคลแต่ละบุคคลแม้จะรวมกันเป็นคณะสงฆ์ แต่ก็ยังให้อิสรภาพเสรีภาพในการประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตนเพื่อให้ถึงเป้าหมายทางพระพุทธศาสนา โดยพระองค์ทรงวางกรอบแห่งพระธรรมวินัยเอาไว้และคอยชี้แนะในหลักการ แต่จะไม่คอยควบคุมหรือตรวจสอบ เพื่อกดขี่บังคับเอาผลประโยชน์จากผู้ใต้ปกครอง จะให้ประโยชน์ตลอดไปถึงการให้สิทธิในการตรวจสอบตัวเองด้วยตัวเองของบุคคลนั้น ๆ แทน
๑.๑.แนวคิด / ทฤษฎี
เมื่อจะศึกษาระบอบการปกครองสงฆ์แล้ว ผู้ศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจ เพื่อให้
เข้าถึงทฤษฎีและแนวความคิดของพระพุทธเจ้าเสียก่อน ว่าเป็นมาอย่างไร ? เป้าหมายคืออะไรกันแน่ ? มีหลักการเป็นแบบไหนบ้าง ? เพื่อจะได้เห็นภาพกว้าง ๆ ของกรอบแนวคิดดั่งเดิมและแนวคิดใหม่ ๆ ที่ทรงปรับใช้ให้เข้ากับสังคมสงฆ์เป็นระยะ ๆ ตลอดถึงการบริหารจัดการองค์กรของพระองค์ที่ได้ทรงกำหนดขึ้นไว้ เมื่อพระองค์ทรงได้สาวกรุ่นแรก ๆ
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทดลองทฤษฎีต่าง ๆ ที่ทรงได้ร่ำเรียนมาจากสำนักของบูรพาจารย์ต่าง ๆ อย่างที่สุดและจริงจังรวมเป็นระยะเวลานานถึง ๖ ปี อย่างไรก็ตาม วิธีการต่าง ๆ เหล่านั้นก็หาได้ทำให้พระองค์ทรงประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนาไม่ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนแนวคิดทฤษฎีเสียใหม่จากทฤษฎีกามสุขัลลิกานุโยค ที่มุ่งสนองตอบต่อความต้องการของตัวเองอย่างเต็มที่โดยการบำรุงบำเรอตนให้ได้รับความสุขทางเนื้อหนังเพื่อหวังว่า เมื่อร่างการได้รับการสนองแล้วก็จะเกิดการตั้งมั่นเพื่อนำดวงจิตสู่โมกขธรรม คือความหลุดพ้นกับทฤษฎีอัตตกิลมถานุโยคที่ทรมานตัวตนให้ลำบากโดยมีความคิดว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมบาปกรรม จึงต้องทรมานตนให้ได้รับความทุกข์ทรมานก่อนแล้วจึงจะนำไปสู่การหลุดพ้นโดยการรับพรจากเทพเจ้าเบื้องบน มาเป็น ทฤษฎีมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นการปฏิเสธแนวคิดที่สุดโต่ง ๒ ด้าน ดังกล่าวแล้วทรงนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นทางสายกลาง เพื่อมุ่งทำลายล้างอัตตาคือความเป็นตัวตนที่ทะยานอยากทางจิตใจมากกว่ามุ่งทำลายตัวตนที่เป็นเนื้อหนัง หรือร่างกายคน
๑.๒. จุดประสงค์
จุดประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้มีอยู่ ๓ ประการ มีดังนี้
ก.เพื่อให้ทราบว่าสังคมสงฆ์คือระบอบการปกครองรูปแบบใดกันแน่?
ดังที่กล่าวมาแล้วว่านักวิชาการทั้งหลายได้พยายามหยิบประเด็น หรือตีความคำสอนทางพระพุทธศาสนาว่า ธรรมาธิปไตย [1] เป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุด ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติเอาเมื่อ ๒๕๕๐ ปีที่แล้ว แต่หากศึกษาลึกลงไปแล้วทำให้เห็นว่าธรรมาธิปไตย ไม่ใช่ระบอบการปกครองที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติและประกาศว่าดีที่สุด ธรรมาธิปไตยเป็นแต่เพียงธรรมรัฐ ที่ใช้หลักธรรมะในการกำกับการบริหารจัดการเพื่อให้นักการเมืองหรือผู้ปกครองบ้านเมืองนำไปใช้เป็นกรอบแนวคิด โดยมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นธงนำทาง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนจึงได้ศึกษาค้นคว้าและนำเสนอแนวคิดการปกครองทางพระพุทธศาสนาเสียใหม่ จึงได้หยิบเอาประเด็นการปกครองสงฆ์ที่มีรูปแบบชัดเจนกว่ามาเขียนโดยใช้ชื่อว่า สังฆาธิปไตย
ระบอบการปกครองดังกล่าวนี้อาจจะมีความคล้ายคลึงกับระบอบการปกครองที่เรียกว่าประชาธิปไตย, สังคมนิยม, คอมมิวนิสต์, เสรีนิยม เป็นต้น แต่ในที่นี้จะศึกษาเปรียบเทียบเฉพาะระบอบประชาธิปไตยกับสังฆาธิปไตยเท่านั้น
ข.เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านพุทธศาสนาในมุมที่กว้างยิ่งขึ้น
ในสถานการณ์ปัจจุบันได้มีนักวิชาการหลายสถาบัน ได้หันมาสนใจรูปแบบการปกครองใหม่ ๆ เพื่อต้องพัฒนาศาสตร์ทางการปกครองอย่างรัฐศาสตร์ให้มีความกว้างและลึกมากยิ่งขึ้น ประกอบกับมหาวิทยาลัยสงฆ์เองก็พยายามที่จะเปิดเวทีให้กับผู้คนที่สนใจในเรื่องของพระพุทธศาสตร์ประยุกต์ได้มีโอกาสในการศึกษาเปรียบเทียบให้เกิดความหลายหลาย และที่สำคัญย่อมจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่สถาบันการศึกษาได้มากขึ้น กว้างขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ในหนังสือเล่มนี้ก็จะเน้นการศึกษาเชิงสถาบันสงฆ์ (institutional approach) โดยพยายามที่จะศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทางการปกครองสงฆ์อันเป็นโครงสร้างทางอำนาจและหน้าที่อย่างเป็นทางการ (formal power) ตลอดไปถึงการควบคู่ไปกับการศึกษาแนวประวัติศาสตร์ [2] เพื่อที่จะทำให้ได้เห็นถึงวิวัฒนาการความเป็นมาทั้งอดีตและปัจจุบันอันจะแสดงให้เห็นถึงการปะติดปะต่อของกลไกลทางการบริหารจัดการที่เป็นรูปแบบอย่างแท้จริง
ค.เพื่อปรับประยุกต์ใช้หลักการสู่ระบอบการปกครองในรูปแบบอื่น ๆ
สังฆาธิปไตย มีรูปแบบที่เฉพาะตัว มีเป้าหมาย วิธีการ อุดมการณ์ และกลไกลทางการบริหารจัดการที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ดีแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อเป้าหมายสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวคือการนำความผาสุกมาให้หมู่คณะ อันจะได้ช่วยเหลือเกือกูลกันในการประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ต่อไป และคำว่าสงฆ์นี้เองเป็นกลุ่มชนที่มีอุดมการณ์เป็นหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน ดังนั้นหากนำเอาจุดเด่นของสังคมสงฆ์มาปรับใช้กับสังคมใดใดในโลกแล้ว หรือระบอบการปกครองแบบนั้น ๆ แล้วก็ย่อมจะเป็นระบอบการปกครองที่ยั่งยืน ไม่แย่งชิง ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก มีแต่ความโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน อันเป็นยิ่งกว่าสังคมในอุดมคติเป็นไหน ๆ
๑.๓.ความเป็นมา
สังฆาธิปไตย คือระบอบการปกครองสงฆ์ในสมัยพุทธกาลที่ทรงได้วางรูปแบบเอาไว้เพื่อให้สงฆ์มีอำนาจและเป็นใหญ่ในการทำกิจการต่าง ๆ โดยไม่ให้ยึดถือตัวบุคคลเป็นหลัก เป็นที่ตั้งกว่าองค์กรเพื่อต้องการให้เกิดความสามัคคี ความพร้อมเพียงกันของหมู่คณะ (สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี) และความคล่องตัวขององค์กร ที่เหมาะสมในยุคสมัยนั้น รูปแบบการปกครองแบบสังฆาธิปไตยนี้พระพุทธเจ้าทรงมีประสบการณ์จากแคว้นเล็ก ๆ อย่างสักกะทางเหนือของอินเดียที่มีระบอบการปกครองอย่าง “สังฆะ” ตอนที่พระองค์ทรงพระชนมายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์แล้วต้องเข้ามาเป็นสมาชิกของศากยะสังฆะ หรือสภามนตรี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ชื่อว่า “ สัณฐาคาร ” [3] และมัลละที่มีขนาดเล็กแต่ปกครองด้วยอปริหารนิยธรรม ๗ ประการ จำทำให้แคว้นขนาดเล็กแต่กลับเป็นแคว้นที่ทรงพลังแข็งเกร่ง ประกอบกับคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้นมีไม่มากนักและที่สำคัญล้วนแล้วแต่มีอุดมการณ์ที่จะบรรลุธรรมทั้งนั้นแล้วจึงเข้ามาบวช
จะเห็นได้ว่าองค์กรสงฆ์ในสมัยพุทธกาล จะมีแนวโน้มไปในทางสามัคคีธรรมคือมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นพระประมุขโดยมีการบริหารจัดการผ่านมาทางสังฆะ หรือหมู่ของภิกษุ
หากจะนำสังฆาธิปไตยมาเปรียบเทียบกับประชาธิปไตยเพื่อให้เห็นถึงที่มาของอำนาจที่มีการถ่วงดุลกันและกันทั้ง ๓ อำนาจ เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจการบริหาร อำนาจตุลาการ นั้นไม่ได้เพราะภาพที่ออกมาไม่ชัดเจนและอาจทำให้การศึกษาสังฆาธิปไตยเป็นไปอย่างคับแคบอึดอัด ทั้งนี้เป็นเพราะ
ก.ดินแดนหรืออาณาเขต (Territory) อาณาเขตของอาณาจักร การพักอยู่อาศัยมิได้อยู่กันมีอาณาเขตชัดเจนแน่นอนจนสามารถนำมาเป็นรัฐ หรือประเทศชาติได้ แต่ได้อาศัยอาณาเขตของบ้านเมืองเป็นหลักโดยกระจายตัวไปอยู่ตามป่าเขา วัด อารามต่าง ๆ ในดินแดนของเมืองนั้น ๆ หรือแม้แต่การทำสังฆกรรมก็มีอาณาเขตที่เฉพาะเล็กโดยการสมมุติเอาขนาดใหญ่ห้ามเกิน ๓ โยชน์ ขนาดเล็กห้ามน้อยกว่าภิกษุเมื่อนั่งในหัตถบาตแล้วไม่น้อยกว่า ๒๑ รูป ทั้งนี้ใหญ่หรือเล็กนั้นขึ้นอยู่กับขนาดและความสำคัญของสังฆกรรมนั้น ๆ อาจจะทั้งจังหวัด, ทั้งอำเภอ, ทั้งตำบล, ทั้งวัด หรือแม้กระทั้งกลุ่มเล็ก ๆ ๔ รูปขึ้นไปกระทำสังฆกรรมโดยอาศัยพื้นที่ทำภายในสีมา หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่าอุโบสถก็ได้แล้ว
กฎเกณฑ์ในเรื่องดินแดนนี้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากนัก ยิ่งอาณาจักรในยุคโบราณที่ปกครองด้วยระบบนครรัฐด้วยแล้วยิ่งมีความสำคัญน้อยลง แต่ความสำคัญไปเน้นที่กำลังคน หรือจำนวนคน แม้ในโบราณเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่แล้วเช่น สมัยอยุธยาเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ทัพพม่าก็เข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ อยุธยาก็ให้กวาดต้อนผู้คนเข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองเสียทั้งหมด แต่เมื่อพม่าชนะก็ต้อนคนไปเสียเกือบหมดเมือง [4] โดยไม่ได้สนใจเรื่องดินแดนของกรุงศรีอยุธยาแต่อย่างใดเลย จึงทำให้มองว่าพุทธจักรในสมัยนั้นน่าจะเน้นที่จำนวนคนหรือจำนวนพระภิกษุมากกว่าคำว่าดินแดน
ข. ประชากรหรือพลเมือง (Population) คือจำนวนของพระภิกษุในสมัยพุทธกาล
ที่มีไม่มากนัก จึงเป็นองค์กรขนาดเล็กซึ่งสามารถรวมตัวกันเฉพาะกิจนั้น ๆ ได้โดยไม่จำกัดเฉพาะในเมืองใดเมืองหนึ่ง หรืออารามใดอารามหนึ่ง แต่มีหลักกว้าง ๆ เอาไว้ว่า ภิกษุเมื่อรวมตัวกันแล้วย่อมทำสังฆกรรมได้ เช่น พิธีกฐิน, พิธีอุปสมบท, พิธีกำหนดสีมา หรือแม้แต่สงฆ์แต่งตั้งตัวแทนเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ , ภิกษุเป็นตัวแทนของสงฆ์รับสังฆทาน เป็นต้น
ดังนั้นพลเมืองของสงฆ์ในที่นี้หมายรวมเอา สามเณร สามเณรี เข้าไปด้วย เพราะอย่างน้อยสามเณรหรือสามเณรีก็คือเหล่าก่อแห่งสมณะแม้ไม่สามารถเข้าร่วมสังฆกรรมได้ แต่เมื่อเรียกรวมโดยองค์กรแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรสงฆ์เช่นกัน
ค.รัฐบาล (Government) พระพุทธเจ้าคือผู้นำที่มีหลายพระนาม เช่น ทรงเป็นประมุขสงฆ์, สังฆบิดร, สังฆราชา, พระธรรมราชา เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่หมายถึงผู้นำซึ่งเป็นผู้นำที่มีธรรมบารมี พระองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้งพระศาสนา ย่อมทรงมีความชอบธรรมอย่างยิ่งในการดูแลปกครองเหล่าภิกษุสงฆ์ เป็นผู้นำที่ทรงกำหนดทิศทางคณะสงฆ์ ทรงวางนโยบาย ทางกำหนดวิสัยทัศน์ ทรงจัดการบริหารองค์กร ถึงแม้ว่าพุทธจักรจะไม่ใช่รัฐหรือองค์กรทางการปกครองที่เป็นทางการอย่างเช่นรัฐทั่ว ๆ ไป แต่ก็ย่อมมีหน่วยสังคมหรือองค์กรอื่น เช่น กลุ่มเครือญาติอาวุโสในสังคม (เผ่าชนบางแห่ง) ทำหน้าที่ปกครองสมาชิกสังคมคล้ายคลึงกับหน้าที่ของรัฐบาลในสังคมสมัยใหม่ [5] อยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกว่าสังคมสงฆ์ในสมัยพุทธกาลก็มีความคล้ายคลึงกลับรัฐสักกะของพระราชบิดาของพระองค์เอง
ง.อำนาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นพระราชอำนาจที่บริสุทธิ์ทั้งผู้ปกครองและผู้อยู่ภายใต้การปกครองที่โดยมากล้วนแล้วแต่เป็นพระอริยเจ้า แม้พระพุทธเจ้าจะมีพระราชอำนาจเต็มที่แต่พระองค์ก็ไม่เคยกดขี่ หรือแสดงถึงพระราชอำนาจนั้น ๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อยู่ภายใต้การปกครอง
แต่หากมองสังฆาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองในมิติทางรัฐศาสตร์แล้วย่อมจะทำให้ทัศนคติของผู้เข้ามาศึกษากว้างขึ้นและเป็นไปด้วยความสมเหตุสมผลในการศึกษาเพื่อประยุกต์ใช้ในสังคมต่าง ๆ ตามโอกาสที่จะกระทำได้
หนังสือ สังฆาธิปไตย เล่มนี้ ต้องการที่จะพัฒนาให้เป็นองค์ความรู้ใหม่ ๆ และกว้างขึ้น เนื่องจากการวิเคราะห์ของนักวิชาการยุคหลัง ๆ มักจะพยายามชี้นำสังคมไปในเรื่องของธรรมาธิปไตย ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ธรรมาธิปไตย มิใช่ระบอบการปกครอง เพียงแต่เป็นธรรมรัฐหรือกรอบแนวความคิดอันเป็นหลักธรรมาภิบาล ในการบริหารจัดการบ้านเมืองให้อยู่อย่างร่มเย็น เป็นธรรม และชอบธรรมเท่านั้น
ในมุมมองของผู้เขียนเองต้องการที่จะพัฒนารัฐศาสตร์ ความรู้ทางการเมืองการปกครองมาประยุกต์เข้ากับพุทธศาสตร์ ความรู้หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยได้ศึกษาค้นคว้าและเขียนศาสตร์ทั้ง ๒ ออกมาเป็นเอกสารเผยแผ่ รวม ๕ แนวทาง ดังนี้
แนวทางแรก ; มุมมองรัฐศาสตร์ในแง่ทฤษฎี
มุมมองนี้ได้พยายามศึกษาค้นคว้ารัฐศาสตร์ในแง่ของทฤษฎีในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระไตรปิฎกเพื่อให้เห็นภาพรวมถึงประวัติศาสตร์ แนวคิด พัฒนาการ รูปแบบของการจัดองค์กร โดยได้พยายมหยิบยกประเด็นทางการเมืองการปกครองในสมัยพุทธกาลมานำเสนอ และได้ยกตัวอย่างพระสูตรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง เช่น อัคคัญสูตร พระสูตรว่าด้วยการกำเนิดรัฐ, จักกวัตติสูตร พระสูตรว่าด้วยอุดมรัฐ, กูฏทันตสูตร พระสูตรว่าด้วยเศรษฐศาสตร์การเมือง, มหาสีหนาทสูตร พระสูตรว่าด้วยการจัดองค์กร, มหาปรินิพพานสูตร พระสูตรว่าด้วยแนวคิดทางการเมืองการปกครอง เป็นต้น ตลอดรวมไปถึงนักคิดนักเขียนที่พยายามนำประเด็นทางพระพุทธศาสนาในแง่มุมต่าง ๆ มาวิเคราะห์ เช่น การตีความคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวประชาธิปไตย, เป็นแนวสังคมนิยม, เป็นแนวธรรมิกสังคมนิยม, เป็นแนวปรัชญาการเมือง, เป็นแนวธรรมาธิปไตย, เป็นแนวนิติรัฐ, เป็นแนวมโนทัศน์ เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้อยู่ในหนังสือเรื่อง ทฤษฎีรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก อันเป็นหนังสืออันดับที่ ๘ ของผู้เขียน
แนวทางที่สอง ; มุมมองรัฐศาสตร์ในแง่ของโครงสร้างหน้าที่
มุมมองนี้ได้พยายามศึกษาค้นคว้าถึงรูปแบบทางการปกครองที่ปรากฏในพระพุทธศาสนา ตลอดถึงความเป็นมา การจัดรูปแบบ โดยยกเป็นเด็นเรื่องของสังฆะ ความหมาย, ความเป็นมา, เรื่องของอธิปไตย อำนาจในการจัดการ โดยยกตัวอย่างการโหวตลงคะแนนเสียง, การเป็นตัวแทนสงฆ์ เป็นต้น , เรื่องของสังฆาธิปไตย อำนาจของสงฆ์ ทั้งหมดนี้อยู่ในหนังสือเรื่อง สังฆาธิปไตย ; ระบอบการปกครองสงฆ์ เล่มที่ท่านกำลังถืออยู่นี้ อันเป็นหนังสืออันดับที่ ๑๑ ของผู้เขียน
แนวทางที่สาม ; มุมมองรัฐศาสตร์ในแง่ของจริยธรรมของผู้นำ
มุมมองนี้ได้พยามยามศึกษาค้นคว้าถึง หลักธรรมคำสอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจริยธรรม-คุณธรรมของผู้บริหาร ตลอดถึงหลักการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นเรื่องของธรรมาภิบาล เช่น หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการวางกรอบบริหารบ้านเมือง, หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการเป็นผู้นำ, หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการพัฒนาประเทศ, หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการสงเคราะห์คนในสังคม, หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการวินิจฉัยสั่งการ, หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการพัฒนาองค์กร, หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการวงแผนนโยบาย, หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการฝึกฝนตนเอง เป็นต้นทั้งหมดนี้อยู่ในหนังสือเรื่อง ธรรมรัฐ-ธรรมาธิปไตย-ธรรมาภิบาล อันเป็นหนังสืออันดับที่ ๑๓ ของผู้เขียน
แนวทางที่สี่ ; มุมมองรัฐศาสตร์ในแง่ของพฤติกรรมศาสตร์
มุมมองนี้ได้ศึกษาค้นคว้ารัฐศาสตร์ในแง่ของวรรณกรรมทางศาสนา ว่ามีรูปแบบการเขียนอย่างไร มีแง่คิดไหนบ้าง และที่สำคัญมีอิทธิพลต่อสังคมเป็นอย่างไร อันเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาทั้งอดีตและปัจจุบัน ทั้งหมดนี้อยู่ในหนังสือเรื่อง รัฐศาสตร์ในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา อันเป็นหนังสืออันดับที่ ๑๔ ของผู้เขียน
แนวทางที่ห้า : มุมมองรัฐศาสตร์ในแง่ประวัติศาสตร์
มุมมองนี้ได้พยายามศึกษาค้นคว้าถึงรัฐศาสตร์ในแง่ของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยหยิบยกประวัติศาสตร์เมืองพะเยามาเป็นตัวอย่าง ซึ่งมุมมองนี้ได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาทางด้านวิธีคิด วิธีการจัดการ ตลอดไปจนถึงกฎหมายบ้านเมือง, แนวคิดการสร้างบ้านแปลงเมือง ทั้งนี้อยู่ในหนังสือเรื่อง สังคมทางการเมืองการปกครองในอาณาจักรภูกามยาว (รัฐพะเยาในอดีต) อันเป็นหนังสืออันดับที่ ๙ ของผู้เขียน
สังฆาธิปไตย เป็นการพยายามประยุกต์หลักการเพื่อให้เกิดการปกครองใหม่ ๆ ทั้งนี้เกิดความไม่แน่ใจว่าระบอบการปกครองที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอย่างประชาธิปไตยนี้จะดีที่สุด อาจเป็นเพราะพระพุทธศาสนาสอนในเรื่องของกฎไตรลักษณ์คือทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ระบอบการปกครองที่ว่าดีที่สุดในปัจจุบันอาจจะไม่ดีที่สุดสำหรับในอนาคตก็ได้ ในอดีตระบอบประชาธิปไตย นักปราชญ์ชื่อก้องโลกอย่างเช่น อริสโตเติล ก็ว่าเป็นระบอบที่เลว จึงมีคำถามว่าแล้วในอนาคตละจะดีแค่ไหน? ระบอบการเมืองระบอบใดระบอบหนึ่งจะเกิดขึ้นต้องมีองค์ประกอบ มีสภาพสังคมและภูมิหลังที่มีความแตกต่างกัน เช่น
ระบอบประชาธิปไตย เกิดเพราะคนตะวันตกโหยหาอิสรภาพ
ระบอบคอมมิวนิสต์ เกิดเพราะเห็นนายทุนเอาเปรียบคนผู้ใช้แรงงาน
ระบอบสังฆาธิปไตยเกิดเพราะต้องการความพร้อมเพียงของหมู่คณะหรือความสามัคคี
[1] ที.ปา. (ไทย) ๑๑ / ๓๐๕ / ๒๗๔.
[2] ชุมพร สังขปรีชา. ปรัชญาและทฤษฎีการเมืองว่าด้วยธรรมชาติมนุษย์. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๑), หน้า ๑๖.
[3] วิรัช ถิรพันธุ์เมธี. พุทธปรัชญา การปกครอง. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมิก จำกัด, ๒๕--), หน้า ๑๒.
[4] โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. ภูมิรัฐศาสตร์ . (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมและฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ, ๒๕๔๕), หน้า ๑๐.
[5] จำนง อดิวัฒนสิทธิ์ และคณะ. สังคมวิทยา. พิมพ์ครั้งที่ ๖. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๗), หน้า ๑๐๔.