พระสมเด็จผิวมุก ปลายเกศพริ้วไหว อ่อนช้อยงดงาม
ที่พบน้อย ทั้งความละเอียดของพิมพ์ และผิว (ที่ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นมุกขาวด้านๆแบบเปลือกไข่)
ถ้าสังเกตที่ฐานพระ จะมีทั้งผิวมุกเดิมและบ่อน้ำตาใหม่จากรอยแยก ที่แสดงว่า พระองค์นี้มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี ขึ้นไป และควรจะถึงอายุ ๑๔๐ ปี ที่บันทึกไว้ในตำนานพระสมเด็จ
หลังจากผมมีโอกาสพิจารณาผิวของพระสมเด็จที่มีอายุต่างๆกัน เชิงวิเคราะห์เชิงลึกแบบเปรียบเทียบจากหลายวัด และหลายยุค ผมได้พบประเด็นที่พอจะหาความสัมพันธ์กับอายุได้โดยง่าย ก็คือ
- จำนวนบ่อน้ำตา
- ขนาดและความเก่าของบ่อน้ำตา
- ความยาวไกลของสายธารน้ำตา
- ความหลากหลายรูปแบบของบ่อน้ำตา และ
- การครอบคลุมของธารน้ำตาบนองค์พระ
- จนเกิดเป็น "ผิวมุก" ของเนื้อปูนงอก คลุมพระทั้งองค์
โดยเฉพาะ
- พระสมเด็จที่มีเนื้อแก่ปูนเปลือกหอยอย่างถูกต้อง
- ส่วนผสมแก่ปูน และ มีผิวปิดแน่นจากเนื้อปูนซึมออกมาปิดที่ผิว และหรือใต้ผิว
- จึงทำให้ปิดกั้นกันการระเหยของน้ำปูนตามผิวทั่วไป
- การระเหยของความชื้นที่มีอยู่ในองค์พระ จึงเกิด "รูน้ำตา" หรือ รูน้ำปูน และธารน้ำตา หรือ ธารน้ำปูนใส (แคลเซี่ยมไฮดร็อกไซด์)
- แล้วออกมา ทำปฏิกริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ เป็นแคลเซียมคาร์บอนเนต "ตกผลึก" แบบผิวหินอ่อน หรือผิวมุก
- มีลักษณะเป็นเกล็ดๆเล็กๆแบบคราบแป้งก่อน แล้วต่อมาจึงรวมตัวเป็น แผ่นผิวหินอ่อน หรือผิวมุก หรือ แบบผิวเปลือกหอยด้านใน ที่มีลักษณะหลากหลายแบบ
- จึงควรเรียกว่า ผิวองค์พระสมเด็จว่า "ผิวหินอ่อน" หรือ "ผิวมุก" ก็แล้วแต่ใครจะมองเห็นเป็นอะไร
- ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจาก พระโรงงาน
- ที่ทำใหม่ๆเป็นเนื้อปูนดิบๆ หรือ
- ใช้สารเคมี "โปะ" หลอกตามือใหม่ หรือใช้เรซินหรือพลาสติกหล่อขึ้นมาเป็น "ผิวหินอ่อน"
- หรือ ทำมานานจนเกิด "รูน้ำตา" เล็กๆ น้อยๆ หรือใช้แป้งโปะได้เช่นกัน
แต่โดยหลักการแล้ว พระสมเด็จนั้น สร้างจากปูนเปลือกหอยเป็นหลัก ก็ควรเรียกว่าผิวเปลือกหอย หรือ ผิวหินอ่อน น่าจะใกล้เคียงมากกว่า
และน่าจะดีกว่า เพราะ
- ทำให้เข้าใจหรือพิจารณาดูพระสมเด็จสวยๆ รุ่นเนื้อแก่ปูน ได้ง่าย
- จะได้ไม่หลงทางไปหยิบพระโรงงาน (ที่ยังไม่พบว่าสามารถทำผิวเปลือกหอย หรือผิวมุกได้ อย่างมากก็อาจมีรูน้ำตาเล็กๆน้อยๆ) ให้เสียความรู้สึก
การเกิดการเตลือบของน้ำปูนจนคลุมพระทั้งองค์ เป็น "ผิวมุก" ที่ว่านั้น ตามการประเมินจากอายุพระสมเด็จ น่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี
กล่าวคือ
- พระสมเด็จอายุประมาณ ๓๐ ปี จะเริ่มมีรูน้ำตาแบบรุ่นแรก กลมๆ เล็กๆ ๒-๓ รู และมีธารน้ำตาสั้นๆ ไม่เกิน ๒ มม.
- พระสมเด็จที่อายุ ๕๐ -๘๐ ปี บางองค์จะเริ่มมีผิวมุกประปราย และมีธารน้ำตายาวประมาณ ๕ มม.
- พระสมเด็จที่มีอายุ กว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป มักมีผิวมุกทั่วองค์ แต่ธารน้ำตาที่เกิดใหม่ประมาณ ๑๐ มม. ขึ้นไป
สำหรับจำนวนธารน้ำตานั้นขึ้นอยู่กับความแน่นของเนื้อพระ
- ถ้าละเอียดและแน่นมาก ก็จะเกิดมาก
- ถ้าเนื้อหยาบๆ มีผงมาก เนื้อร่วนๆจะเกิดน้อย
สำหรับขนาดบ่อจะขึ้นอยู่กับ
- การใช้ และ
- ระดับความแปรปรวนของความชื้นในองค์พระ
- พระที่เก็บไว้บนหิ้ง แห้งๆ ร้อนๆ อาจไม่พบบ่อน้ำตา มักมีแค่ผิวมุก
โดยยังพบว่า
- "บ่อ" ธารน้ำตายุคแรกจะเป็นรู กลวง ลึก กลมๆ หรือมนๆ ออกมาจากผิวเดิมๆ หรือผืวมุกของพระ
- ในขณะที่ "รู" ใหม่ๆ จะเกิดมาจากรอยแยก และรูระแหงของผิวมุก หรือผิวหินอ่อน
- ที่ทำให้เกิดการรักษาแผลรอยแยกขององค์พระอย่างต่อเนื่อง
- ทำให้พระมีความแกร่ง แน่น
- ขอบรู ขอบระแหงมีความมน ไม่มีมุมแหลมคม
- ที่ดูเป็นพระเนื้อ "นุ่ม" หรืออ่อนนุ่ม แม้จะมีอายุยาวนาน กว่า ๑๔๐ ปี
ที่ทำให้พระสมเด็จที่แก่ปูน ไม่ว่าจะเป็นวัดระฆัง หรือบางขุนพรหม มีความแกร่ง และแน่นแข็งมาก
สำหรับพระสมเด็จที่แก่ผงอย่างวัดเกศไชโย หรือวัดระฆังบางชุดจะเกิดการขาดปูน
- แตกระแหงมาก
- มีรูน้ำตาน้อย
- มีธารน้ำตาน้อย
- มีผิวในกร่อน
- รักษาแผล หรือพอกผิวตัวเองได้น้อย หรือช้า
- มีความเปราะ แตกหัก หรือ กร่อนได้ง่าย
ดังนั้นพระสมเด็จที่แก่ผงจึงอาจต้องพิจารณาตามรอยแยกของอาการ "ขาดปูน" หรือ "แรงปูนไม่พอ" หรือ "หมดแรงปูน"
ถ้าหมดแรงปูนแตกระแหงแล้วก็ถิอว่า "อายุมาก"
ที่อาจจะไม่จริงทั้งหมด เพราะ
พระที่แก่ปูน
- แม้จะอายุมากก็ยังมีธารน้ำตาไหลต่อเนื่อง และ
- ไม่แตกระแหง
- มักจะเรียกแบบเข้าใจผิดว่า "พระเนื้ออ่อน"
ที่น่าจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของการพิจารณาอายุพระโดยดูจาก "แรงปูน" เพียงอย่างเดียว
ที่พระแก่ผง (อ่อนปูน) ย่อมหมดแรงปูนเร็วกว่า แมัจะอายุเท่ากัน
แต่พระเนื้ออ่อน หรือเนื้อไม่จัด น่าจะใช้ในกรณีของ
- บ่อน้ำตาน้อย
- ผิวเคลือบน้ำปูนมีน้อย ค่อนข้างบาง หรือ
- แม้กระทั่งแตกระแหง
แต่ในประเด็นแตกระแหงของผิวปูน ผิวมุก หรือผิวหินอ่อนเคลือบ เซียนพระทั่วไปกลับมองว่าเป็นพระเนื้อจัด
ทั้งๆที่ตามความเป็นจริงนั้น การแตกระแหงของผิวพระสมเด็จ เกิดจาก "แก่ผง" หรือ "อ่อนปูน"
- ที่ควรจะเรียกว่า "พระเนื้อเปราะ" ที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ
- เพราะ เมื่อเป็นพระเนื้อปูนเปลือกหอย เมื่ออ่อนปูน ก็ต้องกำหนดว่า พระเนื้ออ่อน (ปูน) แต่แก่ผง
- ไม่ควรเรียกว่า "พระเนื้อจัด"
จึงเสนอมาเพื่อพิจารณาพัฒนาการการเรียนรู้ ความโปร่งใส ชัดเจน ให้ใครดูก็ได้ ไม่ต้องรอ "เซียนใหญ่"
เพื่อความเข้าใจตามหลักการ หลักวิทยาศาสตร์ และความเป็นจริงที่ตรงกัน
โดยการพึ่งตนเองได้ ครับ