บทความทางวิชาการเกี่ยวกับการจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ 3


ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา

                       คำว่า เทคโนโลยี เป็นคำที่ใช้ทับศัพท์คำว่า Technology ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาค้นพบทางด้านวิทยาศาสตร์แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้น  เทคโนโลยีการศึกษาจึงหมายถึง การนำเทคโนโลยีบางอย่างมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา  เพื่อสร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

        คำว่า นวัตกรรม และ เทคโนโลยี จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกัน แม้ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์และสิ่งประดิษฐ์มาประยุกต์  โดยมีกระบวนการกระทำหรือการจัดการทำให้เกิดนวัตกรรมขึ้นมาก็ตาม  แต่คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า เทคโนโลยี แทน   โดยเฉพาะในปัจจุบันได้มีการประยุกต์วิธีการโดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology) ซึ่งประกอบด้วยคอมพิวเตอร์และการสื่อสารทางไกลเป็นองค์ประกอบหลักเข้ามาใช้ในการศึกษา   จึงมักจะเรียกว่า การใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารการศึกษา  หรือเรียกย่อว่า การใช้ ICT ทางการศึกษา  แทนที่จะใช้คำว่า “นวัตกรรมทางการศึกษา”  และเพื่อให้สอดคล้องกับความนิยมในการใช้คำเช่นนี้     ในบทเรียนนี้จึงใช้คำว่า เทคโนโลยีการศึกษา แทน  โดยให้หมายถึง นวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารเป็นองค์ประกอบหลักที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางการ ศึกษา  ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในการศึกษาปัจจุบัน

ความหมายของระบบสารสนเทศ

        ระบบที่จะนำมาใช้ในการบริหารงานในที่นี้ ได้แก่  ระบบสารสนเทศ (Information system) ซึ่ง อนันต์ เกิดดำ (2548)   ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้

        ระบบสารสนเทศ คือ เซ็ตขององค์ประกอบที่สัมพันธ์กันซึ่งรวบรวม ประมวล จัดเก็บและเผยแพร่สารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจและการควบคุมในองค์กร

 

จากภาพที่ 8.1   จะเห็นได้ว่า โครงสร้างหลักของสารสนเทศประกอบด้วย ข้อมูลนำเข้า   การ

ประมวลผล   สารสนเทศ  โดยมีข้อมูลย้อนกลับเป็นตัวควบคุม

                  1.  ข้อมูลนำเข้า (Input) คือ ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อนำเข้าสู่ระบบเพื่อจะทำให้เกิดการประมวลผลขึ้น   ข้อมูลที่จำเป็นจะมาจากสภาพแวดล้อมของระบบ   ส่วนจะเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละระบบ เช่น ถ้าเป็นระบบบริหารในสถาบันการศึกษา ข้อมูลนำเข้าอาจประกอบด้วย อาจารย์ นักเรียน อาคารเรียน รายวิชาต่าง ๆ

2.    การประมวลผล (Processing)   คือ การเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลให้อยู่ในรูปที่มีความหมาย ซึ่งอาจจะได้แก่ การคำนวณ การสรุป หรือการจัดหมวดหมู่ของข้อมูล การประมวลผลประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย ดังนี้

                               2.1  บุคลากร   หมายถึง   บุคคลที่ทำงานในองค์กรในฝ่ายสารสนเทศ

                               2.2 กระบวนการ หมายถึง ขั้นตอนการทำงานซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อให้การทำงานได้ผลตามที่ต้องการ                      

                               2.3  ฮาร์ดแวร์   หมายถึง เครื่องมือทั้งหมดที่ใช้ในระบบสารสนเทศ

                               2.4  ซอฟต์แวร์ หมายถึง ซอฟต์แวร์ระบบ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ใช้ในระบบทั้งหมด

                              2.5 แฟ้มข้อมูล หมายถึง ข้อมูลที่เก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการประมวล ผลคราวต่อไป   ข้อมูลเหล่านั้นจะเก็บในหน่วยความจำสำรองขอ’คอมพิวเตอร์

                       3. ผลลัพธ์ (Output)  คือ สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลซึ่งจะปรากฏอยู่ในรูปรายงานต่าง ๆ   คุณลักษณะของสารสนเทศที่มีคุณภาพ ได้แก่

                              3.1 ตรงตามความต้องการ (Relevancy) หมายถึง ลักษณะที่สารสนเทศนั้นสามารถที่จะตอบคำถามในลักษณะที่เจาะจงได้ เช่น ในการขายเสื้อผ้าผู้ชาย ถ้าถามว่าเสื้อผ้าแบบไหน สีไหนขายได้ดีที่สุด

                              3.2 ความตรงต่อเวลา (Timeline) หมายถึง สารสนเทศที่ผลิตออกมานั้นจะผลิตออกมาทันกับความต้องการของผู้ใช้

                              3.3 ความเที่ยงตรง (Accuracy) หมายถึง สารสนเทศจะต้องไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและมีข้อผิดพลาด   ลักษณะที่บ่งบอกถึงความเที่ยงตรงได้แก่

3.3.1 ความสมบูรณ์ (Completeness) สารสนเทศที่จำเป็นจะต้องมีอย่าง

          ครบถ้วน                                        

                                      3.3.2   ความถูกต้อง (Correctness) สารสนเทศจะต้องมีความถูกต้อง

                                      3.3.3     ความปลอดภัย (Security) สารสนเทศจะต้องมีความปลอดภัย นั่นคือ                                                 ถ้าส่วนไหนจะให้ใครใช้ก็ใช้ได้เฉพาะคนนั้นเท่านั้น  

                              3.4 ประหยัด (Economy) หมายถึง การใช้ทรัพยากรที่จะผลิตสารสนเทศนี้ใช้ในการแก้ปัญหาจะต้องไม่แพงมาก

                              3.5 มีประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ศักยภาพในการพัฒนาสารสนเทศต่อหนึ่งหน่วยของทรัพยากรที่ใช้ เช่น ความตรงต่อเวลาต่อหนึ่งบาท เป็นต้น

                       4.    ส่วนย้อนกลับ (Feed back)   เป็นส่วนที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของการประมวลผลเพื่อให้การประมวลผลนั้นบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้      ผลจากการเปรียบเทียบจะนำ ไปสู่การปรับข้อมูลนำเข้าหรือกระบวนการประมวลผล

ประเภทของระบบสารสนเทศที่ใช้ในองค์กร

                       ปัจจุบัน   ระบบสารสนเทศเป็นที่นิยมใช้ในองค์การทุกประเภท    ไม่ว่าจะเป็นองค์การขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก   ระบบสารสนเทศที่ใช้กันอยู่ในองค์กรทั่ว ๆ ไปจำแนกได้ ดังนี้

                       1.4.1 ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing System:  TPS)                                                        ระบบประมวลผลรายการเป็นพื้นฐานของระบบธุรกิจ ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยผู้บริหารในระดับปฏิบัติการระบบจะใช้คอมพิวเตอร์ในการบันทึกรายการประจำวันในการทำธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ระบบการสั่งซื้อ ระบบการจองห้องพัก   ระบบเงินเดือนและค่าจ้าง   ระบบรับและสั่งสินค้าออก

                                  เนื่องจากการบริหารในระดับปฏิบัติการ   งานกฎเกณฑ์และเงื่อนไขได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแน่นอนแล้ว   ดังนั้น การตัดสินใจจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้แล้วเท่านั้น   ตัวอย่างเช่น  การตัดสินใจจะให้เครดิตแก่ลูกค้าของธนาคาร   สิ่งที่ผู้บริหารในระดับนี้จะตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่  เขาจะทำได้ก็เพียงแต่ตรวจว่าลูกค้ามีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้หรือไม่เท่านั้น

                       1.4.2 ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (Management Information System:  MIS)

                                  ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารหรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า ระบบ MIS คือ ระบบที่ผลิตสารสนเทศที่ผู้บริหารต้องการเพื่อใช้ในการบริหารงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ   ระบบจะผลิตรายงานเพื่อผู้บริหาร   บางกรณีผู้บริหารอาจจะเรียกใช้ด้วยระบบออนไลน์    โดยทั่วไปแล้วระบบ MIS จะเป็นข้อมูลภายในองค์กร   ไม่เกี่ยวกับข้อมูลภายนอกหรือข้อมูลสภาพแวดล้อม   ในเบื้องต้น MIS จะผลิตสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร โดยเฉพาะในด้านการวางแผน การควบคุม และการตัดสินใจ

                       1.4.3 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System:  DSS)  

                                  ระบบสนับสนุนการตัดสินใจส่วนมากเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้การตัดสินใจของผู้บริหารเป็นไปได้อย่างสะดวก   ระบบจะสามารถสรุปหรือเปรียบเทียบข้อมูลจากทุกแหล่งไม่ว่าจะเป็นข้อมูลภายในหรือข้อมูลภายนอกองค์กร    แหล่งข้อมูลภายใน ได้แก่  ข้อมูลในแฟ้มข้อมูลในองค์กรที่มีอยู่แล้ว  เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการขาย  ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิต  ข้อมูลทางด้านการเงิน  ข้อมูลจากแหล่งภายนอก  ได้แก่ ข้อมูลด้านอัตราดอกเบี้ย   ข้อมูลแนวโน้มของประชากร  หรือข้อมูลด้านความต้องการของตลาดโลก   ระบบการตัดสินใจส่วนมากเป็นระบบที่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์  และจะมีความสามารถในการวิเคราะห์ค่าทางสถิติ   มีตารางการทำงาน   มีกราฟแบบ ต่าง ๆ  ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ประเมิน

                                  ข้อมูลในการตัดสินใจในระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่ก้าวหน้ามาก  ผู้ใช้อาจจะสร้างแบบจำลองของปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจ   ลักษณะของระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่ดีอาจสรุปได้ ดังนี้

1.         ระบบจะต้องใช้ช่วยผู้บริหารในกระบวนการตัดสินใจ

2.         ระบบจะต้องสามารถสนับสนุนการตัดสินใจได้ทุกระดับ    แต่จะเน้นที่ระดับวาง แผนบริหารและวางแผนกลยุทธ์

3.         ระบบมีความสามารถในการจำลองสถานการณ์  และมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์สำหรับช่วยเหลือผู้ตัดสินใจ

4.         ระบบจะต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้

5.         ระบบจะต้องเป็นระบบที่ตอบโต้กับผู้ใช้ได้  สามารถใช้งานได้ง่าย  ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยพึ่งความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุด

                       1.4.4 ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (Executive Support System:  ESS)

                                  ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูงเป็นระบบที่ช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงติดตามผลการปฏิบัติงานขององค์การ   ติดตามกิจกรรมของคู่แข่ง   ชี้ให้เห็นปัญหา  มองหาโอกาส และคาดคะเนแนวโน้มต่าง ๆ ในอนาคต   ในการนำ ESS มาใช้นั้น จะต้องออกแบบให้ระบบใช้ทั้งข้อมูลภายในและข้อมูลภายนอกองค์กร   นอกจากนี้ ยังต้องรวมเอาเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการจำลอง การวิเคราะห์   ตัวอย่างเช่น LOTUS1-2-3, EXCEL หรือโปรแกรมตารางการทำงานอื่น ๆ

                       1.4.5 ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) 

                                             ระบบผู้เชี่ยวชาญมีส่วนคล้ายคลึงกับระบบอื่น ๆ  คือเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแก้ไขปัญหาหรือทำการตัดสินใจได้ดีขึ้น   อย่างไรก็ดี ระบบผู้เชี่ยวชาญจะแตกต่างกับระบบอื่นอยู่มาก  เนื่องจากระบบผู้เชี่ยวชาญจะเกี่ยวข้องกับ  การจัดการความรู้ (Knowledge management)

หมายเลขบันทึก: 428214เขียนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2011 18:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 21:09 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท