หน้าแรก
สมาชิก
พ.ญ. อัจฉรา เชา...
สมุด
กายใจไม่ใช่ตัวตน ...
ธรรมะที่sport club
พ.ญ. อัจฉรา เชาวะวณิช
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ธรรมะที่sport club
23-2-54
ดิฉันมีโอกาสไปทานข้าวกลางวันกับเพื่อนหมอผู้หญิงที่เป็นไฮโซบ้างไฮซ้อบ้าง กลุ่มหนึ่งที่ sport club เป็นครั้งแรกค่ะ เป็นการเลี้ยงเพื่อนที่กลับจากอเมริกาค่ะ
เราคุยกันตามประสาผู้สูงอายุ เพื่อนที่เป็นรองปลัดสธ.เล่าถึงการได้รับการชักชวนให้เข้ามาหัดดูกายใจฝึกสติจากหมอที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ดิฉันแนะนำให้เชิญลูกของเพื่อนร่วมรุ่นมาสอนเพราะน่าจะได้โสดาบันแล้ว
มีคนถามต่อว่ารู้ได้อย่างไร ขอตอบเท่าที่ทราบค่ะว่าเดาเอา แต่ตำราท่านอธิบายดังนี้ค่ะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อริยบุคคล
แปลว่า
บุคคลผู้ประเสริฐ
, ผู้ไกลจากข้าศึก, ผู้หักกำล้อ
สังสารวัฏ
ได้แล้ว
แบ่งได้หลายประเภทคือแบ่งอย่างใหญ่ได้เป็น พระเสขะและพระอเสขะ แบ่งตามประเภทบุคคลมี 4 ประเภทคือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ และยังแบ่งย่อยเป็น 8 ประเภท จัดเป็น 4 คู่ได้อีก
อริยบุคคลแบ่งตามประเภทใหญ่
เสขะ และ อเสขะ
เสขะ
แปลว่า ผู้ยังต้องศึกษาอยู่ คือยังต้องศึกษา
ไตรสิกขา
คือ
อธิศีล
อธิสมาธิ
อธิปัญญา
เพื่อบรรลุ
มรรค
ผลที่สูงขึ้นไปอีก เรียกเต็มว่า
พระเสขะ
หรือ
เสขบุคคล
เสขะ
คือพระ
อริยบุคคล
ที่ยังไม่ได้บรรลุ
อรหันตผล
หรือยังไม่ได้เป็นพระ
อรหันต์
ได้แก่ พระ
โสดาบัน
พระ
สกทาคามี
และพระ
อนาคามี
เสขะ
หากได้บรรลุอรหันตผลเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นอันพ้นจากความเป็นเสขะ และได้ชื่อว่าใหม่ว่า
อเสขะ
อเสขะ
แปลว่า ผู้ไม่ต้องศึกษาอีก คือไม่ต้องศึกษา
ไตรสิกขา
คือ
อธิศีล
อธิสมาธิ
อธิปัญญา
อีกต่อไป เพราะได้ศึกษาจบโดยได้บรรลุ
อรหันตผล
แล้ว เรียกเต็มว่า
พระอเสขะ
หรือ
อเสขบุคคล
อเสขะ
ได้แก่
พระอริยบุคคล
ระดับสูงสุดคือ
พระอรหันต์
ผู้เสร็จกิจการศึกษาไตรสิกขาแล้ว ผู้ไม่มีกิจที่จะต้อง
บำเพ็ญ
เพื่อละ
กิเลส
อีก
อริยบุคคลแบ่งตามประเภทบุคคล
โสดาบัน
โสดาบัน
แปลว่า
ผู้เข้าถึงกระแสธรรม ผู้แรกถึงกระแสธรรม
(คืออริยมรรค) เป็นชื่อเรียกพระ
อริยบุคคล
ประเภทแรกใน ๔ ประเภท คือ โสดาบัน
สกทาคามี
อนาคามี
อรหันต์
ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วด้วยการละ
สังโยชน์
เบื้องต่ำ ๓ ประการได้คือ
สักกายทิฏฐิ
คือ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตน เช่นเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวตนของเรา
วิจิกิจฉา
คือ ความลังเลสงสัย เช่นสังสัยในข้อปฏิบัติของตนว่าถูกต้องหรือไม่ สงสัยในพระรัตนตรัยหรือในอริยสัจ ๔ ว่ามีจริงหรือไม่
สีลัพพตปรามาส
คือ ความเชื่อถือยึดมั่นว่าความศักดิ์สิทธิ์มีได้ด้วย
ศีล
และพรตอย่างนั้นอย่างนี้ ข้อนี้ขยายความได้ว่ารักษาศีลแต่เพียงทางกาย ทางวาจา แต่ใจยังไม่เป็นศีล หรืออย่างน้อยก็ยังไม่เป็นศีลตลอดเวลา
ความเป็นพระโสดาบันนี้ก็เช่นเดียวกับความเป็นพระอริยบุคคลประเภทอื่นๆ ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศบรรพชิต(นักบวช) เท่านั้น แม้
คฤหัสถ์
คือชายหรือหญิงผู้ครองเรือน ก็สามารถเป็นพระโสดาบันได้ เช่น ในสมัยพุทธกาลคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมากได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น
การเข้าถึงกระแสธรรมของพระโสดาบันนั้น เป็นการยกระดับจิตใจของท่านอย่างถาวร ทำให้ท่านไม่สามารถกลับมาเป็นปุถุชนได้อีก เป็นผู้ที่จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ (เช่น นรก หรือ เดียรฉาน) ทั้งยังเป็นผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานในเบื้องหน้าอย่างแน่นอน
ดิฉันขอเพิ่มเติมจากหนังสือพุทธธรรมค่ะที่คัดมาเฉพาะง่ายๆพอสังเกตได้ค่ะ
โสดาบัน นอกจากการละสังโยชน์ได้ 3อย่างแล้ว ดิฉันขอเพิ่มการ มี จากหนังสือพุทธรรมค่ะ
คุณสมบัติฝ่ายมี
1ด้านศรัทธา เลื่อมใสในพระรัตนตรัยแน่วแน่ไม่ผันแปร เกิดจากญาณ ความรู้ เข้าใจ
2ด้านศีละ มีศีล5บริบูรณ์ กาย วาจา ใจ ไม่เป็นทาสตัณหาเช่นหวังผลตอบแทน
3 ด้านสุตะ ได้เรียนรู้อริยธรรม
4 ด้านจาคะ ครองเรือนด้วยใจที่ปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการแบ่งปัน
5ด้านปัญญา มีปัญญาอย่างเสขะ รู้จักอริยสัจจ์4 มองเห็นปฏิจจสมุปบาท เข้าใจไตรลักษณ์ รู้โลกแท้จริง
6ด้านสังคม ปฏิบัติตามหลักธรรมสำหรับสร้างความสามัคคีและเอกภาพของหมู่ชน เรียกว่ามี สาราณียธรรมได้สมบูรณ์6ข้อ
เมตตากายกรรม ช่วยเหลือ
เมตตาจวีกรรม ตักเตือนด้วยความหวังดี สุภาพ
เมตตามโนกรรม คิดต่อกันด้วยเมตตา ยิ้มแย้มแจ่มใส
สาธารณโภคี แบ่งปันลาภอันชอบธรรม เฉลี่ยเจือจานให้ได้มีส่วนร่วม
สีลสามัญญตา ประพฤติสุจริตเสมอผู้อื่น ไม่ทำตัวให้เป็นที่น่ารังเกียจของหมู่
ทิฎฐิสามัญญตา มีความเห็นชอบร่วมกับเพื่อนร่วมหมู่ในอารยทฤษฎี ( ทิฎฐิที่เป็นอาริยะ ) ซึ่งนำไปสู่การกำจัดทุกข์ ( ต้องอาบัติละเมิดวินัยต้องเปิดเผย เอาใจใส่ช่วยเหลือหมู่คณะแต่ขณะเดียวกันก็ใฝ่ใจอย่างแรงกล้าในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา )
7 ด้านความสุข เริ่มรู้จักโลกุตรสุข ที่ประณีตลึกซึ้งโดยไม่อาศัยอามิส
ขอเพิ่มคุณสมบัติฝ่ายละจากหนังสือพุทธรรม ค่ะ
1
ละสังโยขน์3
2
ละมัจฉริยะ
ความตระหนี่ ใจแคบหวงแหน5อย่าง หวงถิ่น หวงตระกูล(เล่นพวก) หวงลาภ หวงคำสรรเสริญ(=ชมคนอื่นไม่ได้ ) หวงธรรม(ความรู้ กลัวคนเก่งเท่าตน)
3
ละอคติ4
ความลำเอียง4อย่าง ลำเอียงเพราะชอบ เพราะชัง เพราะหลง เพราะกลัว
4
ละราคะโทสะโมหะ
หรือโลภโกรธหลงขั้นหยาบรุนแรงที่จะไปอบาย ไม่ตกนรกแล้ว
5
ระงับภัยเวร โทมนัส และทุกข์ทางใจต่างๆที่จะพึงเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามศีล
เป็นผู้พ้นอบายสิ้นเชิง ความทุกข์เหลืออยู่บ้าง แต่น้อยข้อความที่เขียนอาจผิดพลาดบ้างเพราะยังอ่านและปฏิบัติน้อยค่ะ ตั้งใจเก็บไว้เพื่อให้เกิดความเพียรและรู้ตัวเองมากขึ้นค่ะ
เขียนใน
GotoKnow
โดย
พ.ญ. อัจฉรา เชาวะวณิช
ใน
กายใจไม่ใช่ตัวตน ประสบการณ์การดูกายดูจิต
คำสำคัญ (Tags):
#รุ้กาย
#รู้ใจ
#หลวงพ่อปราโมทย์
#โสดาบัน
#สวนสันติธรรม
หมายเลขบันทึก: 427997
เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2011 16:16 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:48 น. (
)
สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (1)
เตือนใจ
เขียนเมื่อ 13 กรกฎาคม 2011 20:35 น. (
)
ตามอ่านค่ะคุณหมอ
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
พ.ญ. อัจฉรา เชา...
สมุด
กายใจไม่ใช่ตัวตน ...
ธรรมะที่sport club
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท