หนังสือ Why don't students like school? เขียนโดยศาสตราจารย์ Daniel T. Willingham ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการเรียนรู้แห่งมหาวิทยาลัย เวอร์จิเนีย บททึ่ ๗ เรื่อง How Should I Adjust My Teaching for Different Types of Learners? บอกเราว่า ศิษย์มีความแตกต่างกันหลากหลายด้านมาก เราต้องปรับการสอนให้เหมาะต่อความแตกต่างนั้น
ผมอ่านบทนี้จบแล้ว บอกตัวเองว่า ความแตกต่างระหว่างเด็กในสังคมไทยมีมากกว่าที่บอกไว้ในหนังสือเล่มนี้ เรามีเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่ครบองค์ประกอบ มีเด็กที่มีบาดแผลทางใจ มีเด็กที่ด้อยโอกาสทางสังคม ฯลฯ ที่เป็นความจริงของเรา แต่ไม่เป็นความจริงของสหรัฐอเมริกา ที่ผู้เขียนเน้น
ครูเพื่อศิษย์ไทยต้องเอาความเป็นจริงเกี่ยวกับความแตกต่างของศิษย์ในทุกด้าน มาเป็นข้อมูลประกอบการออกแบบการเรียนรู้ และในการพัฒนาความเป็น “ครูเพื่อศิษย์” ของตน
หนังสือเล่มนี้บอกว่านักเรียนมีความแตกต่าง ๓ แนว ได้แก่
๑. ความสามารถทั่วไปในการเรียนรู้ อาจเรียกว่าเด็กฉลาด เด็กหัวไว เด็กหัวช้า
๒. สไตล์การเรียน ตามทฤษฎี Visual, Auditory, and Kinesthetic Learners
๓. ความฉลาด ๘ ด้าน ตามทฤษฎี Multiple Intelligences
อ่านหนังสือบทนี้แล้ว ผมสรุปกับตัวเองว่า ศ. Willingham ต้องการบอกว่า ครูมักจะสับสนกับทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีอยู่มากมาย และมีการตีความผิดๆ ก่อความยุ่งยากให้แก่ครูโดยไม่จำเป็น ทำให้มีความซับซ้อนในการจัดการเรียนการสอน โดยที่เด็กอาจไม่ได้รับประโยชน์
ความสามารถ (ability) กับสไตล์ ของการเรียนรู้ (learning style) แตกต่างกัน เขายกตัวอย่างนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลล์ในตำแหน่งป้องกัน ที่เล่นเก่งพอๆ กัน คือความสามารถเท่าๆ กัน แต่เล่นด้วยสไตล์ที่ต่างกันสุดขั้ว คือคนหนึ่งเล่นเกมเสี่ยง อีกคนหนึ่งเล่นเกมรอบคอบ ผมเคยเห็นเพื่อนที่เรียนเก่งพอๆ กัน โดยที่คนหนึ่งเน้นท่องจำรายละเอียดเป็นข้อๆ แต่อีกคนหนึ่งเน้นทำความเข้าใจสาระหรือหัวใจของเรื่อง
สไตล์การเรียนที่เขายกมาเป็นตัวอย่างคือ เรียนแบบเน้นทำความเข้าใจเป็นลำดับขั้นตอน (sequential) กับเรียนแบบเน้นทำความเข้าใจภาพรวม (holistic)
สไตล์ที่แตกต่างกันด้านพฤติกรรมของคนมีมากมาย เช่น ตัดสินใจเร็ว - ตัดสินใจช้า เน้นความรอบคอบ คิดแล้วคิดอีก, มีมุมมองสิ่งต่างๆ อย่างซับซ้อน - เน้นความเรียบง่าย, คิดเป็นรูปธรรม - คิดเป็นนามธรรม, เป็นต้น นักจิตวิทยาได้รวบรวม cognitive style ไว้ ๑๒ คู่ ดังนี้
ระหว่างที่ผมแปลข้อความในตารางข้างบน ก็อดนึกไปด้วยมาได้ ว่า จริงๆ แล้วคนเราควรฝึกคิดหลากหลายสไตล์ ฝึกคิดทุกแบบที่เป็นขั้วตรงกันข้าม ตามข้างบน ผมเองมีบุคคลที่เป็นแบบอย่างให้ผมจดจำเอามาใช้ในเรื่องวิธีคิดบางสไตล์ เช่นสไตล์มองภาพรวม (holistic) สไตล์คิดอย่างซับซ้อน เป็นต้น
หนังสือบอกว่าข้อพึงตระหนักในเรื่อง cognitive style ก็คือ (๑) เป็นคุณลักษณะประจำตัวตลอดชีวิต (๒) คนที่มี cognitive style ต่างกัน มีกระบวนการคิดและกระบวนการเรียนแตกต่างกัน. (๓) ไม่ใช่เรื่องความสามารถ
ผมเองมองต่าง (อาจผิด) โดยเชื่อว่าเราสามารถฝึกฝนตนเองให้คิดตามหลากหลายสไตล์ที่เป็นขั้วตรงกันข้ามได้ และผมหมั่นฝึกตนเองมาตลอดชีวิต ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง
ทฤษฎีผู้เรียนแบบเน้นจักษุประสาท แบบเน้นโสตประสาท และแบบเน้นการเคลื่อนไหว
มีข้อสังเกตว่า คนบางคนเรียนได้ดีหากได้เห็นรูป (visual learner) ในขณะที่บางคนจะเรียนได้ดีต้องได้ฟังเสียง (auditory learner) และบางคนต้องเคลื่อนไหว เช่นได้จับต้องสิ่งของ หรือกระโดดโลดเต้นไปด้วย (kinesthetic learner)
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ kinesthetic learner ชนิดรุนแรงสุดกู่ ที่ตอนเป็นเด็กพ่อแม่กลุ้มใจมากที่ลูกเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อพาลูกสาวไปปรึกษานักจิตวิทยา นักจิตวิทยาสังเกตเห็นลักษณะพิเศษบางอย่างของเด็ก ที่นั่งนิ่งๆ ไม่ได้ จึงแนะนำให้ไปเรียนบัลเล่ต์ และกลายเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ที่มีชื่อเสียงก้องโลก
ศ. Willingham ให้ข้อมูล ผลการวิจัย และข้อสรุปว่า ทฤษฎีนี้ไม่เป็นความจริง ผลการรวบรวมข้อมูลที่ให้ผลบวกเป็นอคติ ในความเป็นจริงแล้ว เด็กต้องเรียนรู้ความหมายของสิ่งที่เห็น ได้ยิน หรือลูบคลำ ไม่ใช่จำภาพหรือเสียงโดยตรง คำแนะนำคือ อย่าหลงใช้ทฤษฎีนี้กับตัวเด็กเป็นรายคน แต่ให้ใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ เพื่อใช้การกระตุ้นประสาททั้ง ๓ แบบ นำไปสู่ความเข้าใจที่ลึก ในระดับคุณค่าหรือตวามหมาย และเกิดการจดจำประทับฝังใจในสมองเด็ก
ความเข้าใจผิดเรื่อง visual learner ที่เข้าใจผิดกันแพร่หลายมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากความสับสน คิดว่า visual memory กับ visual learner เป็นสิ่งเดียวกัน จริงๆ แล้วเป็นคนละเรื่อง
ทฤษฎีความถนัด ๘ ด้าน (Multiple Intelligences)
ความถนัด ๘ ด้านที่เสนอโดย ศ. Howard Gardner มีดังตาราง
จากทฤษฎีดังกล่าว นำไปสู่การตีความเชิงประยุกต์ ๓ ข้อ ได้แก่
๑. รายการตามในตาราง เป็นความฉลาด (intelligence) ไม่ใช่ความสามารถ (ability) ไม่ใช่ความถนัด (talent)
๒. โรงเรียนควรสอนความฉลาดให้ครบทั้ง ๘ ด้าน
๓. เมื่อสอนความรู้ใหม่ ควรใช้หลายๆ ความฉลาด หรือทุกความฉลาด เป็นท่อต่อการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนได้เลือกใช้สำหรับทำให้การเรียนรู้ของตนบรรลุผลอย่างสูงสุด
ที่น่าแปลกใจก็คือ ศ. Willingham บอกว่า ศ. Howard Gardner เจ้าของทฤษฎี Multiple Intelligence ไม่เห็นด้วยกับการตีความข้อ ๒ เพราะท่านบอกว่า เป้าหมายของการศึกษาต้องไม่ใช่เอาตัวบุคคลเป็นเป้าหมายหลัก แต่ต้องยึดถือผลประโยชน์ของสังคมเป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งก็ตีความต่อได้ว่า การใช้ทฤษฎีนี้ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงความแตกต่างของเด็ก เป็นเรื่องที่ครูเพื่อศิษย์ต้องตระหนัก ต้องฝึกฝน และเรียนรู้ ท่านที่อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างละเอียด จะเห็นว่า การวิจัยด้าน learning psychology ให้ความรู้ที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อตามๆ กันมามากมาย ช่วยให้ครูจัดการเรียนรู้แก่ศิษย์ได้อย่างมีหลักการมากขึ้น
คำแนะนำ สำหรับนำความรู้เรื่องความฉลาด ๘ แบบ ไปใช้ในห้องเรียนคือ (๑) ให้นำไปใช้ในการออกแบบหรือเลือกเนื้อหาสำหรับการเรียนรู้ ไม่ใช่นำไปใช้แยกแยะเด็ก (๒) เปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้เป็นครั้งคราว เพื่อลดความจำเจน่าเบื่อหน่าย (๓) เด็กทุกคนมีคุณค่า แม้บางคนจะเรียนช้า (๔) อย่าหลงเสียเงินค่าใช้จ่ายกับเรื่องการเรียนรู้ cognitive styles และ multiple intelligences
ผมตีความต่อว่า เรื่องการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะต่อความแตกต่างของศิษย์นี้ สามารถทำวิจัยจากปฏิบัติการจริงได้อีกมาก เป็นโอกาสที่ครูเพื่อศิษย์จะฝึกฝนทักษะด้านการวิจัยปฏิบัติการของตน ทั้งเพื่อประยุกต์ใช้ในการทำงาน และเพื่อเป็นผลงานเพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง
วิจารณ์ พานิช
๑ ก.พ. ๕๔
น่าสนใจนะครับ