อยากให้เรียนรู้และรับทราบกันให้ทั่วไปว่า ปัญหาหนึ่งที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเรา กำลังประสบนั่นคือ การทำงานในวันศุกร์ ซึ่งขณะนี้ข้าราชการทุกหน่วยงานกำลังระแวดระวังตัวกันมากขึ้นกับการทำงานในวันศุกร์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รักษาความสงบสุขของบ้านของเมือง พอถึงวันศุกร์ก็จะเป็นการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษมากๆ ร้านค้าหลายแห่งงดขายของในวันศุกร์ โรงเรียนบางโรงให้เด็กใส่ชุดชุมชนแทนชุดนักเรียนในวันดังกล่าว ก็มี เรียนให้ทราบง่ายๆก็คือ ต่างก็กลัววันศุกร์กัน จึงอยากเรียนให้ทราบถึงความสำคัญของวันศุกร์ว่า ที่แท้จริงวันศุกร์ในอิสลามนั้นมีความสำคัญเช่นใด
วันศุกร์(วันญุมอะฮฺ) นั้นในอิสลามถือว่าเป็นระดับหัวหน้าวันเลยที่เดียวจากบรรดาวันทั้งหลาย ซึ่งเป็นวันที่อัลลอฮฺทรงกำหนดสำหรับบรรดามุสลิม(รายงานโดยอิบนิมาญะฮฺ) วันศุกร์เป็นวันที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภึร์อัล-กุรอาน เป็นวันที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมานับแต่การสร้างจักรวาล และเป็นวันที่มนุษย์คนแรกของโลกคือท่านนบีอาดัมถูกขับ(จากสวรรค์) และในวันศุกร์เช่นกัน ท่านได้รับการเตาบะฮฺ(อภัยโทษ) และถูกเก็บตัว(เสียชีวิต) และในวันศุกร์ปรภพจะอุบัติขึ้น
สำหรับมุสลิมทั่วไปได้ถูกกำหนดให้วันศุกร์เป็นวันสำคัญในรอบสัปดาห์ ซึ่งได้กำหนดให้มุสลิมทุกคนต้องไปละหมาดร่วมกัน ณ มัสยิดในหมู่บ้าน จำนวน 2 ร็อกอะฮฺ โดยเฉพาะผู้ชายนั้นจะหยุดพักการทำงานต่างๆเพื่อปฏิบัติละหมาดวันศุกรฺร่วมกัน หากเป็นประเทศมุสลิมก็จะถือเอาวันศุกร์เป็นวันหยุดงานประจำสัปดาห์ แต่ในประเทศไทยจะเห็นว่าเมื่อถึงวันศุกร์ตามมัสยิดต่างๆในชุมชนจะมีคนไปร่วมละหมาดกันทุกแห่ง การร่วมประกอบศาสนกิจรวมกันนั้น อิสลามมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความสำนึกในความเป็นพี่น้องกันตามอุดมการณ์ของอิสลาม การที่ได้มาพบปะกันทุกวันศุกร์ ได้สัมผัสมือและทักทายกัน ปฏิบัติศาสนกิจร่วมกัน ไม่มีคำว่า นาย บ่าว หัวหน้า ลูกน้อง ฯลฯ ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัยต่อพระผู้เป็นเจ้าและได้ฟังโอวาทถึงคำสั่งสอนจากหลักธรรมในศาสนาอิสลาม และหลังจากละหมาดแล้ว ก็จะได้ถือโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ด้วยประการฉะนี้ ผู้เขียนบันทึกเองก็ไม่อาจจะทราบได้ว่า ทำไมวันศุกร์ในบ้านเรา(ใต้)ขณะนี้จึงมีแต่ความกลัวกัน ช่วยหน่อย <p> </p>
"อัสลาม มูไลกูม "
คุณ น.เมืองสรวง
ผมว่าไว้ให้ผมหรือคุณ น. ได้เป็นนาย..ก ก่อนแล้วเราค่อยว่ากัน จะช้าไปมั้ย
ผมฝึกงานและทำงานกับพี่น้องมุสลิมมาระยะหนึ่ง เขารักและเอ็นดูผมมาก มาวันหนึ่งแม่เสียชีวิตลง พ่อต้องอยู่คนเดียว ผมจึงขอย้ายกลับบ้าน ทุกวันนี้ผมยังกลับเข้าไปเยี่ยมเยียนพื้นที่บ่อย ๆ ผมชอบที่จะเสวนาที่ร้านน้ำชากับเขา ได้คุยกัน หยอกกัน มีความสุขมาก
ในช่วงที่ผมทำงาน ผมปรับการทำงานตามปฏิทินชุมชนใหม่หมด โดยตกลงกับชุมชนก่อน โดยไม่สนใจว่าเวลาราชการเป็นอย่างไร เสาร์-อาทิตย์ผมก็ทำงานได้ วันศุกร์เป็นวันที่ผมงดภารกิจชุมชน แล้วมาสรุปงานที่ สอ.แทน
คนในชุมชนสอนให้ผมนุ่งโสร่งแทนกางเกงเวลาไปสนทนากัน และอีกมากมาย เด็กวัยรุ่นตอนต้น ๆ (เพิ่งขึ้น) เห็นผมเหมือนพี่ชาย และเกรงกลัวผมหากไปพบเจอเขาทำผิดกัน คนในชุมชนจึงมองว่าผมเป็นหูเป็นตาให้เขาได้
ผมจึงยังเชื่อลึก ๆ เสมอว่าที่เขารักและเอ็นดูผมเพราะผมไม่ได้แปลกแยกกับเขาเลย และเขาก็เข้าใจในวิถีของผม เช่นวันทำบุญของไทยพุทธ ผมกลับบ้านได้เลย เขาจะประกาศทางหอกระจายข่าวให้ เป็นต้น