เทคนิคการเรียนรู้จากการอ่าน


การอ่านเป็นการสร้างองค์ความรู้ที่คงทน

เทคนิคการอ่านเพื่อช่วยให้เรียนได้เข้าใจมากขึ้น

เรามาย้อนเวลาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ท่านเคยสังเกตตัวเองหรือไม่ว่าทำไมเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ช่วงอายุ 2 – 4 ขวบ จึงช่างถาม ช่างสงสัย และตอบคำถามได้โดนใจผู้ใหญ่ ความจำของเด็กก็ดีจำได้แม่นยำเกือบทุกเรื่องและที่สำคัญความน่ารักของเด็กๆ บวกกับความไร้เดียงสา ทำให้เด็กได้รับการอบรมปลูกฝังทั้งค่านิยม สิ่งแวดล้อม ภูมิความรู้ จากผู้ใหญ่ จนกลายเป็นการเพาะบ่มอุปนิสัย พฤติกรรมการจัดการองค์ความรู้ที่ซึมซับโดยไม่รู้ตัวทั้งด้านบวกและด้านลบ

เราเคยสังเกตตัวเองไหมว่าทำไมเวลาเราเรียนในช่วงวัยเด็ก เรามีความจำดี ทั้ง ๆ ที่ เรียนและเล่น  ไม่มีงานหรือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากมาย  บางครั้งที่เรียนแล้วรู้สึกว่าทุกวิชามีความยาก ไม่เข้าใจ แต่พอเราอายุมากขึ้น เรียนในชั้นที่สูงขึ้น แล้วกลับมาย้อนดูความรู้ที่เคยเรียนในชั้นที่ต่ำกว่า เช่น เคยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แต่พอเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วกลับไปศึกษาเนื้อหาวิชาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่าสิ่งที่รู้สึกว่ายาก ไม่เข้าใจ  ทำข้อสอบไม่ได้แต่ในตอนนี้รู้สึกว่าอ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ยากอย่างที่เคยเรียนผ่านมา  ถ้าง่ายแบบนี้น่าจะมีเกรดเฉลี่ยสูงเป็นแน่ ท่านทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด 

จากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานจากเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ทำให้ค้นพบ เทคนิควิธีในการเรียนว่าทำอย่างไรจึงจะเรียนเก่งและเป็นคนดี  จึงขอเสนอแนะวิธีการอ่านซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังต่อไปนี้

                1. ขยันอ่านให้มาก ๆ  แต่ให้ถูกช่วงเวลา ที่เหมาะสมกับร่างกายของตนเอง เช่น ถ้าป่วยก็ไม่ควรอ่านมาก เพราะจำทำให้สมองทำงานหนัก เครียด ร่างกายไม่ได้พักผ่อน

                ช่วงเวลาที่อ่านแล้วจำได้ดี น่าจะเป็นช่วง 20 – 21.30 นาฬิกา อ่านแล้วเข้านอนไม่เกิน 22.00 นาฬิกา และตื่นนอนมาอ่านหนังสือช่วงเวลาประมาณ ตี 04.00 – 5.30 น.  ช่วงนี้ความจำดีที่สุดเพราะร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สมองยังไม่ได้รับข้อมูลอะไร ที่สำคัญคือเป็นช่วงที่มีสมาธิมากที่สุด ทำให้อ่านหนังสือแล้วจำได้รวดเร็ว เข้าใจง่าย และเป็นความรู้ที่ฝักลึก เป็นความรู้ที่คงทน

                ก่อนอ่านหนังสือ เช่น ช่วงตื่นนอนควรรีบอาบน้ำหรือล้างหน้าแปรงฟัน เพราะจะทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่ง่วงหรือเพลียอยากนอนต่อ  ควรอ่านหนังทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 – 3 หน้า หรือ 10 หน้า ถ้าทำได้ แล้ววันหลังกลับมาทบทวนอีกครั้งแล้วเพิ่มรอบในการอ่าน การอ่านหนังสือควรมีดังนี้ 1.อ่านก่อนเรียน 2.อ่านขณะเรียน 3.อ่านทบทวน 4.อ่านเพื่อสรุปจดบันทึกสาระสำคัญ 5.อ่านเพื่อสอบ 6. อ่านเสริมความรู้

                การนั่งอ่านหนังสือควรอ่านให้หนังสืออยู่ในระดับสายตา หนังสือห่างจากสายตาประมาณ 30 ซม. เพราะเป็นการรักษาสายตาให้ไม่สั้นหรือยาวเกินไป ไม่ควรนอนอ่านหนังสือเพราะจะทำให้หลับก่อน ควรอ่านในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ อากาศถ่ายเทสะดวก

                2. ฝึกสังเกตตนเองเองว่า อ่านอย่างไร รอบไหน จำและเข้าใจ นำไปใช้ได้ง่าย เทคนิควิธีใดที่อ่านแล้วจะเข้าใจวิชานั้น เช่น บางคนชอบอ่านแบบท่อง บางคนอ่านแบบจดบันทึกย่อ บางคนอ่านแล้วขีดเส้นใต้หรือทำสัญลักษณ์ ให้สังเกตวิธีที่ตนทำแล้วรู้สึกว่าได้ผลดี นำมาเปรียบเทียบกับการอ่านหนังสือในรอบต่อ ๆ ไป

3. อ่านหนังสืออย่างมีสติ ไม่ฟุ้งซ่าน และหมั่นทำการบ้าน แบบฝึกหัด หรืองานที่ครูให้ รักษาหนังสือให้สะอาด มีสภาพคงทน

4. อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ  แลฝึกหัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ต้องรู้จักวางแผนในการอ่านหนังสือ  มีเป้าหมายชัดเจน

5. อ่านหนังสืออย่างมีความสุข หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ ไม่ควรอ่านหนังสือหน้าโทรทัศน์เพราะจะทำให้ไม่มีสมาธิ

6. ประสบผลสำเร็จถ้าตั้งใจปฏิบัติให้ครบทุกข้อ ก็จะทำให้เราเรียนได้เข้าใจมากขึ้น และมีเกิดองค์ความรู้ ทั้งรู้รอบ รู้ลึก รู้กว้าง

ดังนั้น เทคนิคการอ่านเพื่อช่วยให้เรียนได้เข้าใจมากขึ้นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดก็คือการชนะใจเราแล้วหมั่นสังเกต จดบันทึก มีสติ อ่านอย่างสม่ำเสมอ มีความสุขในการอ่าน ความสำเร็จก็จะตามมา ปริญญาอยู่ไม่ไกลแค่เอื้อม แต่สิ่งสำคัญคือความรู้ที่ได้รับจากการอ่านมีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติ ความรู้ที่ได้รับไม่มีวันหมดไปมีแต่จะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยจนกลายเป็นประสบการณ์ องค์ความรู้ที่ฝังลึก และสามารถนำความรู้ที่ได้รับมาช่วยกันพัฒนาประเทศชาติต่อไป

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #บุรีรัมย์7
หมายเลขบันทึก: 425266เขียนเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2011 14:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤษภาคม 2012 03:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท