ครูที่ศิษย์เกลียดมากที่สุด ตอนที่ 1


จากคำพูดที่ลูกศิษย์บอกว่า "สมัยเรียนผมและเพื่อนๆเกลียดอาจารย์มากที่สุด" เพราะอาจารย์มักดุพวกผมอยู่เสมอ

คุณรู้สึกอย่างไร? ถ้าลูกศิษย์บอกเกลียดคุณมากที่สุด...

จากคำพูดที่ลูกศิษย์บอกว่า  "สมัยเรียนผมและเพื่อนๆเกลียดอาจารย์มากที่สุด"  เพราะอาจารย์มักดุพวกผมอยู่เสมอ บ่นร่ำไร ทำให้พวกผมเบื่อและเกลียดอาจารย์มากที่สุด และในบรรดาอาจารย์ที่มาสอน รวมทั้งที่ชอบดุด่าพวกผมประจำ มีอาจารย์คนเดียวที่ดุด่านักเรียนแล้วไม่มีใครกล้าเถียง ไม่ใช่ไม่อยากเถียง แต่คำดุด่าของอาจารย์มันแทงใจดำพวกผมทุกคน เพราะคิดที่จะโต้แย้ง แต่คำพูดเหล่านั้นมันออกจากปากอาจารย์เสียก่อน พวกเราจึงทำได้แค่เพียง ตั้งใจฟังคำดูด่าของอาจารย์  เมื่อจบการศึกษา ม. 6 ไปแล้วพวกผมคิดว่าจะไม่มาพบกับอาจารย์ ตามที่อาจารย์ บอกว่า พวกเราทุกคนจะต้องมาพบกันในวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี แต่แล้วความจริงของชีวิตก็ปรากฏ  เมื่อไปพบกับสภาพสังคมใหม่  ทั้งการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น และการทำงาน พวกเราทุกคนติดต่อหากัน แล้วพูดว่า คิดถึงอาจารย์มากที่สุด คิดถึงเป็นคนแรก คิดถึงคำสอนและคำดุด่าต่างๆ ของอาจารย์  คำพูดเหล่านั้นของอาจารย์ เป็นเสมือนเข็มทิศชี้ทางให้พวกเราฝ่าฝันปัญหาและอุปสรรคที่พบ รู้ว่าเมื่อพบปัญหาแบบนี้ เราจะต้องแก้ไขอย่างนี้นะ ผมคิดถึงคำพูดของอาจารย์ในชั่วโมงโฮมรูมก่อนเรียนชั่วโมงแรก และชั่วโมงสุดท้าย ซึ่งในวัยนั้น ชั่วโมงสุดท้ายพวกผมอยากหนีกลับบ้านมาก แต่กลับไม่ได้ เพราะต้องรอพบอาจารย์ก่อน ทั้งบ่น ทั้งเบื่อ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว และรักอาจารย์มากขึ้น ไม่ว่าผมจะโตมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยังเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ แม้ว่าผมจะได้บรรจุรับราชการครูก่อนอาจารย์ก็ตาม ผมก็ยังคงเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์อยู่เสมอและตลอดไป ผมรักและเคารพอาจารย์ และผมเองเป็นคนประสานกับเพื่อนๆ แล้วพากันมาพบกับอาจารย์ทุกปี ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะไม่กลับมาหาอาจารย์อีก นอกจากนี้เพื่อนๆ ในรุ่นหนึ่งของเรา ไม่ทอดทิ้งกัน ต่างช่วยเหลือกัน ตามที่อาจารย์สอน 

นี่เป็นคำพูดของลูกศิษย์ ที่บอกความในใจให้อาจารย์ทราบ ทั้งที่เกรงว่าอาจารย์จะเสียกับคำว่า "เกลียด" ของตนเอง และขอโทษแต่อยากบอกว่าตอนนั้น ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

สำหรับผม บอกกับลูกศิษย์ตอนปีใหม่ที่มาพบกันว่า "ครูรู้ว่า พวกเธอเกลียด แต่ครูต้องทำเพราะไม่อยากให้พวกเธอพบกับความผิดพลาด เสียใจเหมือนครู อยากให้เธอก้าวหน้าตามวิถีทาง ตามวัยของการเรียนรู้ เพราะว่าครูได้เดินหลงทางไปนานหลายปี เมื่อกลับเข้ามาสู่เส้นทางนี้ได้ ก็ไม่อยากให้พวกเธอเดินทางผิดพลาดเหมือนครู และครูก็ขอโทษที่สร้างสถานการณ์กดดันพวกเธอมาก ทำให้พวกเธอต้องรู้สึกอึดอัดในความรักความห่วงใยของครู ครูบอกไม่ได้ว่าเพราะ แต่ความรู้สึกของครูบอกว่าต้องจำลองสถานการณ์ หรือเล่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้พวกเธอได้ฟัง ฝึกฝนและทดสอบ แล้วพวกเธอก็ผ่านมันไปได้ หากพบเรื่องใดที่หนักหนาสาหัส ก็จงบ่นกับตัวเองว่า หนักกว่านี้ก็ผ่านมาได้แล้ว เรื่องแค่นี้เล็กน้อย ที่สำคัญต้องขอบคุณพวกเธอเช่นกัน ที่ได้สอนให้ครูรู้ว่า การเป็นครูที่ดีนั้นเป็นอย่างไร? ถ้าไม่มีพวกเธอ ก็ไม่มีครูในวันนี้เช่นกัน.

นี่เป็นคำบอกเล่าของลูกศิษย์และพวกเขามักจะพูดเสมอเมื่อพบกัน  ถ้าพูดว่าไปหาครูที่เกลียดที่สุดและรักมากที่สุด พวกเขาจะรู้ว่ากำลังพูถึงใคร

วันหลังจะมาเขียนต่อ  ตอนที่ 2 นะครับ

คำสำคัญ (Tags): #บุรีรัมย์7
หมายเลขบันทึก: 424879เขียนเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2011 15:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สิ่งที่ครูของคุณครูพูดนั้น คือ สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในทุก ๆ วัน ของการเป็นครู

ขอบคุณมากครับ ;)

ขอบคุณครับ ผมเองก็เช่นกันครับ

เรียน ท่านอาจารย์สมภพ ครับ ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะครับ

หากมีความเกลียดที่สุดขั้วเกิดขึ้น ก็จะมีโอกาสพลิกกลับมาอีกขั้วที่ตรงข้ามกันได้ตามปัจจัยที่เหมาะสมครับ ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของผมเอง ในอดีตที่ผมโกรธไม่พอใจคุณครูด้วยอารมณ์ที่หยาบ แต่พอมาวันนี้ผมมาทำหน้าที่เป็นคุณครูบ้าง ได้พบเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับอดีตของผม ผู้เข้ารับการฝึกอบรมดูเหมือนเขาจะไม่พึงพอใจเราด้วยความที่ผมพูดตรงและแทงใจดำพวกเขาแทบไม่มีโอกาสโต้แย้ง จิตเหนือสำนึกทำให้ผมหยั่งรู้ถึงความผิดพลาดของผมในอดีตครั้งนั้นได้ทันทีเลยครับ ซึ่งผมก็รู้ว่าผู้เข้าอบรมเขาคงอึดอัดไม่พึงพอใจผม แต่ผมก็ถือคติในการทำงานว่า "ครูต้องขายความจริง ไม่ขายความเชื่อให้ศิษย์" ความจริงคือสัจจะ ความจริงก็คือความจริง มันมีเหตุมีผลในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ใช่ความเชื่อที่ไม่มีที่มาและไร้ซึ่งเหตุผล

ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมได้แบ่งปันความรู้สึกนี้ออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

เรียน ท่านอาจารย์ธนากรณ์ครับ

        ขอบคุณครับมาอาจารย์ที่ช่วยเสนอแนะ และที่ผมประทับใจคำพูดของอาจารย์ครับ คือ "ครูต้องขายความจริง ไม่ขายความเชื่อให้ศิษย์"  คำพูดนี้เข้าถึงใจผมจริงๆ ครับ

เรียนท่านอาจารย์หมอที่เคารพ

    ปัญหามากมายก็แก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่ ที่ว่าใหม่คือแค่ในเชิงเทคนิคหรือวิธีการที่พัฒนาในเชิงปริมาณ แต่เชิงคุณภาพก็ไม่ชัดเจน เป็นกระบวนทัศน์ที่เหมือนเดิม "คิดใหม่แต่ทำเหมือนเดิม" กระบวนทัศน์ที่อยู่ขอบเขตแสนจะธรรมดา แต่ทิฐิมานะสูงลิ่ว ผลแห่งกรรมจึงไปตกกับนักศึกษา เสียเงินเรียนมากมาย ทักษะต่างๆที่จะมีตนเป็นพึ่งกลับตกต่ำมากจนน่าใจหาย เสียเวลาก็มาก เสียเงินก็มาก บางคนเงินเรียนจบไปหลายปีก็ยังมีหนี้มากมาย ทั้งนอกและในระบบ บางครอบครัวถึงกับต้องขายที่ ขายนา ขายวัว ขายควายเรียน เช่นกระผมก็มี ที่กระผมยังโชคดีที่เจอครู เจอปราชญ์ เจอของจริง ที่บูรณาการความรู้มาใช้ได้ก่อนที่จะขายนาผืนสุดท้ายไป  เพราะรอดทันหวุดหวิด หากเจอ  “ตัณหาและความบ้าที่มากมาย จากขยะทางวิชาการที่เอาแต่ท่องจำสุดโต่ง” เอาความรู้จากตะวันตกมาแบบทั้งดุ้น ยิงสายตรงมาเลย ไม่เข้าใจบริบทตัวเอง จากวงการศึกษาที่ทำๆกันอยู่แบบปัจจุบัน อันแสนจะแห้งแล้งผาก ไร้ชีวิตชีวา สงสัยป่านนี้ ที่นาดอนคงต้องขาย บ้านแตกสาแหรกขาดเป็นแน่ เพราะหมดที่ หมดทรัพย์ที่พอทำกินไม่มากมาย จากการเล่าเรียนที่แสนแพง เสียเงินเรียนเพื่อแสวงหาปัญญาจากใบปริญญาเพื่อรับรองตัวเอง ว่าคือ “ผู้มีปัญญา” ตอนนี้ผมตอบตัวเองได้แล้วว่า ภาพรวมมันมีแต่วิชาการแห้งๆ วิชาแห่งมายา (ฝันนั้น ฝันนี่ คิดไปเอง วาดวิมานในอากาศ จะเอาความรู้ ข้อแนะนำจริงๆไปใช้ก็ไม่ค่อยได้)  และชอบเอาความรู้ ข่าวสารแบบแยกส่วน มาท่องจำอันแสนจะมึนงงอยู่มาก (ในความรู้สึกผมเรียกได้ว่าเกินครึ่งของปลอมทั้งนั้น) ตกลงทำแล้วได้อะไรเพื่ออะไร ไม่เคยชัด สอบเสร็จจบแล้วก็ลืม  “เลิกสร้างสัญญาปลอมได้ไหมครับผม”  วิงวอนท่านที่เกี่ยวข้อง ท่านผู้ทรงภูมิ ทรงคุณวุฒิ นักการเมืองและผู้เกี่ยวข้อง โปรดพิจารณาถึงผลการกระทำด้วย เปิดจิต เปิดใจ สู่การสร้างเส้นทางแห่งการสร้างสรรค์ดีกว่าไหมครับ สรุปบทเรียนที่ผ่านมาว่าที่ท่านกำลังทำอยู่ เป็นการสร้าง “professional diploma” หรือ “dummy diploma”  ผมเชื่อว่าคนเราอยากทำดี อยากเป็นคนดี มีคนยอมรับความสามารถ อยากพัฒนาสิ่งที่ดี สังคมเรามีผู้รู้มากมายในสังคมและในระดับสังคมโลก มีปราชญ์หลายท่านจะช่วยท่านได้ ยิ่งผู้หลักผู้ใหญ่ท่านยิ่งมีเครือข่ายมาก บารมีมาก ที่จะช่วยทำงานได้ หาคนทำงานจริงในแต่ละเรื่องครับผม เอาของจริงเลยครับผม ผมเชื่อมั่นว่าผลงานเกิดแน่นอน ท่านเสาะแสวงหาดีๆครับผม หากท่าน "คิดใหม่แต่ทำเหมือนเดิม" จะได้ผลแบบเดิมครับผม มันก็มีทางออกอยู่ครับผมเปิดจิต  เปิดใจ ดับทิฐิมานะในใจท่าน สู่การสร้างเส้นทางแห่งการสร้างสรรค์  ขอเรียนว่าท่านที่เกี่ยวข้องโปรดเห็นใจ เด็กนักเรียน นักศึกษา และสังคมที่กำลังเสื่อมโทรมด้วยวิธีการสร้าง “บัณฑิตไร้ปัญญา” ด้วยเถิดครับผม อย่าเอาข่าวสารแบบแยกส่วน มาท่องจำ สร้างสัญญาปลอมให้นักศึกษาเลยมันจะจนท่วมท้นกับการวาดวิมานในอากาศ ยุคต่อไปเขาต้องเจอสิ่งที่หลากหลายในโลกแห่งความสับสน ยุ่งเหยิง ที่ทั้งข่าวสารและการแข่งขันที่สูงมากเป็นเงาตามตัว ตามเศรษฐกิจ สังคม ข่าวสาร ตลอดจนศิลปะและวัฒนธรรม ความไม่ตระหนักรู้ในบางเรื่องแม้ไม่มาก บางอย่างอาจจะทำให้เกิดผลเสียหายสูง เพราะขาดทักษะที่จะมีตนเป็นที่พึ่ง ทั้งตัวเขาเอง ครอบครัว สังคมก็จะตกทุกข์ไปด้วย ตอนนี้มันสุดโต่งมากไปทางเสื่อมมากแล้ว สังคมเราเสื่อมลงมากแล้วในหลายมิติและหนักลงทุกวันครับผม  ช่วยเปลี่ยนกระบวนทัศน์เข้าสู่ทางแห่งการสร้างสรรค์ด้วยเถิด ท่านผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ช่วยกันคนละไม้คนละมือครับผม ก่อนที่จะเสียหายหนักกว่านี้ ขอให้กำลังใจในความพยายามในการทำหน้าที่โดยธรรมทุกท่านครับผม

 

ด้วยความเคารพครับผม

   นิสิต                                                                                                                                     

เรียน  คุณสมภพ  ตรีกูล  ดิฉันขอแสดงความคิดเห็นค่ะ

   คำพูดของคุณครูเปรียบเสมือนเข็มทิศคอยชี้ทางแก้ปัญหาและอุปสรรคจริง ๆ ค่ะ         ดิฉันขอขอบคุณมากที่ให้ความรู้

สวัสดีครับคุณเมตตา

   ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท