วิเคราะห์นโยบายการศึกษารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๑. ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการ ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และระดมทรัพยากรเพื่อการปรับปรุงการบริหารจัดการศึกษา ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับอุดมศึกษา พัฒนาครู พัฒนาระบบการคัดเลือกเข้าสู่มหาวิทยาลัย พัฒนาหลักสูตร รวมทั้งปรับหลักสูตรวิชาแกนหลักรวมถึงวิชาประวัติศาสตร์ ปรับปรุงสื่อการเรียนการสอน พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ ปรับบทบาทการศึกษานอกโรงเรียนเป็นสำนักงานการศึกษาตลอดชีวิต และจัดให้มีศูนย์การศึกษาตลอดชีวิต เพื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ตลอดถึงการส่งเสริมการกระจายอำนาจให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นคุณธรรมนำ ความรู้อย่างแท้จริง
การดำเนินการ
ศธ. กำหนดกรอบในการปฏิรูปไว้ ๙ กรอบ ได้แก่
1. การพัฒนาคุณภาพการศึกษา/ผู้เรียน,
2. การผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์,
3. การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการศึกษาและการมีส่วนร่วม,
4. การเพิ่มโอกาสทางการศึกษา,
5. การผลิตและพัฒนากำลังคน,
6. การเงินเพื่อการศึกษา,
7. เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา,
8. กฎหมายเพื่อการศึกษา,
9. การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
การวิเคราะห์
จุดเด่น เป็นนโยบายที่มีความชัดเจนด้านโครงสร้างการบริหารงาน มีกฎหมายรองรับ ผู้บริหารใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง มีการระดมทุน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา เช่นกองทุนครู มีการปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย O-net A- net gat-pat เน้นผลิตสื่อและกระบวนการพัฒนาความที่คิดที่หลากหลาย มีการกระจายอำนาจให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะบทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษา เน้นคุณธรรมนำความรู้ โดยวางกรอบนโยบาย กลยุทธ์ด้านการพัฒนาคุณธรรมอย่างชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติได้
จุดด้อย เป็นนโยบายที่เน้นปฏิรูปโครงสร้างมากเกินไป แต่ไม่เน้นปฏิรูปกระบวนการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน แนวทางของการปฏิรูปการศึกษาที่ถูกต้อง คือการพัฒนาจากฐาน ไม่ใช่พัฒนาจากยอด อย่างที่ทำกันมา ส่งผลให้ผลการศึกษาเสื่อมลง การพัฒนาจากฐานคือพัฒนาที่โรงเรียน ครู ที่จัดการเรียนรู้ได้ผลดี โดยส่งเสริมให้ขยายเครือข่ายวิธีจัดการศึกษาที่มีคุณภาพออกไป การปฏิรูปการศึกษาไม่ควรเน้นที่ปริมาณของผู้ที่สำเร็จการศึกษา แต่ควรเน้นที่คุณภาพให้มากที่สุด เด็กคนไหนที่มีความตั้งใจใฝ่เรียนรัฐต้องส่งเสริมให้เรียนจนจบการศึกษาชั้น สูงสุดตามที่อยากเรียน ควรยกเลิก พรบ.การศึกษาภาคบังคับ เพราะการบังคับให้เด็กที่ไม่อยากเรียนมาเรียนหนังสือทำให้เป็นการฝืนใจ และไม่มีความตั้งใจและอยากที่จะเรียนอยู่แล้ว ต้องเข้ามาเรียน และสร้างปัญหาให้เด็กที่มีความตั้งใจในการเรียน
๒. ส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ โดยมุ่งเน้นในระดับอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา เพื่อให้สนองตอบความต้องการด้านบุคลากรของภาคเศรษฐกิจ
การดำเนินการ
1. การวางนโยบาย และกลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของเอกชน
2. การเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยเอกชนสามารถผลิตมหาบัณฑิตได้
3. สนับสนุนด้านงบประมาณ และวางแนวทางในการดำเนินงานอย่างชัดเจน
การวิเคราะห์
จุดเด่น ภาคเอกชนเป็นภาคที่มีความสำคัญมากในการรองรับผลผลิตที่เกิดจากกระบวนการ ศึกษาไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยอาจเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนในการจัดการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับการ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันและในอนาคต จะเห็นได้ว่าโรงเรียนเอกชนเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างกว้างขวาง สามารถเปิดการเรียนการสอนระดับปริญญาโท อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ทำให้คุณภาพคน มีคุณภาพขึ้น
จุดด้อย คุณภาพของบัณฑิตอาจจะไม่เทียบเท่า มหาวิทยาลัยของรัฐ เช่น มีนักวิชาการบางคน ให้คำกล่าวไว้ว่า มหาวิทยาลัยเอกชน จ่ายครบ จบแน่ ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพของบัณฑิตมีคุณภาพไม่เทียบเท่าบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยของรัฐ และอาจจะไม่ได้รับการยอมรับในบางสาขาวิชา
๓. พัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อ ให้ได้ครูดี ครูเก่ง มีคุณธรรม มีคุณภาพ และมีวิทยฐานะสูงขึ้น ลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนตามโครงการคืนครูให้นักเรียน มีการดูแลคุณภาพชีวิตของครูด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ และจัดตั้งกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตครู ควบคู่ไปกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เน้นการพัฒนาเนื้อหาสาระและบุคลากร ให้พร้อมรองรับและใช้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างคุ้มค่า
การดำเนินการ
- โครงการคืนครูให้กับนักเรียน จัดทำขึ้นเพื่อจัดระบบให้ครูมีจำนวนเพียงพอต่อการเรียนการสอน โดยเปิดรับสมัครผู้จบปริญญาตรีในทุกสาขาวิชา เพื่อคัดเลือกให้ไปปฏิบัติงานในโรงเรียนสังกัด สพฐ. มีผู้ผ่านการคัดเลือก ๑๔,๕๓๒ คน ซึ่งจะได้รับการอบรม ๒๐ วัน เพื่อไปทำงานในสถานศึกษา และฝึกงาน ๓ เดือน ก่อนบรรจุให้เป็นลูกจ้าง โครงการนี้จะทำให้ครูผู้สอน มีเวลาสอนอย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องรับผิดชอบงานธุรการ
- พัฒนาหลักสูตรการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับครูก่อนประจำการ ได้ยกร่างหลักสูตรและอยู่ระหว่างการทดลองใช้หลักสูตร
- พัฒนาหลักสูตรมาตรฐานและสื่อสำหรับการอบรมครู โดยจัดทำสื่อทางไกล เรื่อง การออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์ และจัดทำวีดิทัศน์อบรมครูทางไกล เผยแพร่เทปโทรทัศน์ทางสถานี ETV และสถานีวังไกลกังวล ๒ รายการ คือ รายการเรียนรู้วิทย์ ๘ ชั่วโมง และรายการอบรมครู หลักสูตร ๓๖ ชั่วโมง
- โทรทัศน์ครู
- การพัฒนาครูทั้งระบบ การเรียนทางไกลระบบอีเรินนิ่ง จากเว็บไซต์ UTQ
การวิเคราะห์
จุดเด่น ครูมีเวลาสอนนักเรียนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีพนักงานธุรการเข้ามาช่วยในด้านงานพิเศษ การพัฒนาบุคลากรให้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเรื่องที่ดีและก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในหน่วยงานและเรื่องการนำมาใช้ใน กิจกรรมการเรียนการสอน โดยต้องมีการอบรมโปรแกรมประยุกต์ใหม่ๆ ที่นำมาใช้ในโรงเรียนและผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม มีการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู เช่นโครงการ ชพค. ในโครงการต่างๆอันสุดท้ายโครงการ 5 ให้กู้ 1,200,000 บาท ที่เป็นการรวมหนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายจากหนี้รายส่วน ช่วยให้มีเงินเดือนเหลือใช้มากยิ่งขึ้น ไม่เดือดร้อนต่อการที่มีเงินเดือน แต่ไม่พอกิน ต้องนำมาหักใช้หนี้สินหมด
จุดด้อย การพัฒนาครูในทุกสาขาที่มีการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน เช่น เกษตร ศิลปะ คหกรรม ดนตรี ยังมีน้อย ซึ่งที่ผ่านมาในรอบหนึ่งปีแทบจะไม่มีการอบรมพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในสาระที่กล่าวมา ส่วนมากจะมีเฉพาะ ภาษาไทย คณิต วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ การลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนตามโครงการคืนครูให้นักเรียน (ครูธุรการ) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกลายเป็นว่า “รับใครก็ได้” ที่ไม่เกี่ยวข้องการปฏิบัติงานในสายงาน (ทำไมไม่รับให้ตรงสาขาวิชาไปเลย) ยกตัวอย่างที่โรงเรียน ก ได้รับครูธุรการมาหนึ่งคนวิชาเอกอุตสาหกรรม (เกี่ยวกับธุรการตรงไหน) แต่ในขณะเดียวกันครูคนนี้ต้องทำงาน 2 โรงเรียนคือ โรงเรียน ข วันจันทร์ อังคาร พุธ ทำงานที่โรงเรียน ก วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ทำงานที่โรงเรียน ข สุดท้ายครูที่อยู่ในโรงเรียนก็เป็นผู้ที่ทำงานธุรการเหมือนเดิมการส่งเสริมให้ ครูมีวิทยฐานะที่สูงขึ้นโดยหลักการเป็นเรื่องที่ดี แต่ในกระบวนการไม่มีความโปร่งใส (บางคนจ้างทำผลงาน) และการทำผลงานเพื่อเสนอขอวิทยฐานะเน้นที่ตัวเอกสารมากเกินไปซึ่งแทนที่จะ เน้นที่ตัวนักเรียน ตัวอย่างเช่น โรงเรียน ค เป็นมีครู 12 คน มีครูที่มีวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ 6 คน (ซึ่งถือว่ามาก) มองตามบริบทพื้นฐานแล้วน่าจะดี แต่กลับไม่ผ่านการประเมินของ สมศ.
๔. จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี ๑๕ ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้เกิดความเสมอภาคและความเป็น ธรรม ในโอกาสทางการศึกษาแก่ประชากรในกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ทั้งผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ผู้บกพร่องทางร่างกายและสติปัญญา และชนต่างวัฒนธรรม รวมทั้งยกระดับการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชน
การดำเนินการ
กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณโครงการเรียนฟรี ๑๕ ปีอย่างมีคุณภาพ ปีงบประมาณ ๒๕๕๒ เป็นจำนวน ๑๘,๒๕๘ ล้านบาท โดยกำหนดรายการการจัดสรรตามนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปี อย่างมีคุณภาพ ไว้ ๕ หมวด ได้แก่ ๑. หมวดค่าเล่าเรียน จัดสรรให้ผู้เรียนตามเกณฑ์ค่าใช้จ่ายรายหัว
๒. หมวดหนังสือเรียน จัดสรรให้สถานศึกษาบริหารจัดการเอง
๓. หมวดอุปกรณ์การเรียนการสอน จัดสรรให้สถานศึกษา แล้วส่งต่อให้ผู้ปกครองจัดซื้อเอง
๔. หมวดเครื่องแบบชุดนักเรียน จัดสรรให้สถานศึกษา แล้วส่งต่อให้ผู้ปกครองจัดซื้อเอง
๕. หมวดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จัดสรรให้สถานศึกษาบริหารจัดการเอง
โดยให้ต้นสังกัดของสถานศึกษาแต่ละแห่งจัดสรรงบประมาณไปให้สถานศึกษาโดยตรง และให้สถานศึกษาจัดซื้อหนังสือเรียน และจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพนักเรียน ส่วนเครื่องแบบนักเรียนและอุปกรณ์การเรียน ได้มอบเป็นเงินสดให้นักเรียนและผู้ปกครอง เป็นผู้ไปดำเนินการจัดซื้อด้วยตนเองแล้ว
รมว.ศธ. ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ๒ เรื่อง คือ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการ ทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๕๒ และเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โดยกำหนดประเภทของคนพิการเป็น ๙ ประเภท ได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น, การได้ยิน, ทางสติปัญญา, ทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ, ทางการเรียนรู้, ทางการพูดและภาษา, ทางพฤติกรรมหรืออารมณ์, ออทิสติกและพิการซ้อน ซึ่ง ศธ. ได้จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยสถานศึกษาจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลสำหรับผู้เรียนแต่ละคน โดยมีกรรมการไม่น้อยกว่า ๓ คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา, บิดามารดาหรือผู้ปกครองหรือผู้ดูแลคนพิการ, และครูประจำชั้นหรือครูแนะแนวหรือครูการศึกษาพิเศษหรือครู ที่รับผิดชอบงานด้านการศึกษาพิเศษ เพื่อจัดทำแผนไปสู่การปฏิบัติ พร้อมทั้งจัดทำ รายงานผล ปีละ ๒ ครั้ง
การวิเคราะห์
จุดเด่น เป็นแนวคิดรัฐบาลในการผลักดันให้เด็กเรียนฟรีเป็นระยะเวลา ๑๕ ปี ครูส่วนใหญ่เห็นด้วยเพราะจะเกิดผลดีกับเยาวชน และผู้ปกครองเองก็สามารถเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพให้กับบุตรหลาน โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะว่ารัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่ผู้ปกครองนิยมส่งบุตรหลานไปเรียนที่โรงเรียนสอนศาสนา ส่วนใหญ่ประสบปัญหาความยากจน หากมีนโยบายเรียนฟรีจะทำให้ผู้ปกครองสามารถเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพให้ กับบุตรหลานได้ นอกจากนี้ หากมีนโยบายเรียนฟรีจะทำให้โรงเรียนต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับโรงเรียนอื่น ในละแวกใกล้เคียง หรือว่าในตำบลเดียวกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ปกครอง และถือว่าเป็นการยกระดับโรงเรียนให้มีคุณภาพมากขึ้น
การที่รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณให้กระทรวงการศึกษาธิการ นับหมื่นล้านบาท และสานต่อนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปี โดยมีงบประมาณอุดหนุนเพื่อลดค่าใช้จ่ายระหว่างการศึกษานั้น นับว่าเป็นโอกาสดีของเด็กทั่วประเทศที่จะได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในระดับ พื้นฐาน เพื่อต่อยอดสู่ระดับที่สูงขึ้น แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด รัฐบาลควรเร่งดำเนินการพัฒนาบุคลากร หลักสูตรการสอนและสื่อการเรียนการสอนควบคู่ เพื่อให้ผลลัพธ์ทางการศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุดโดยเร็วด้วย
จุดด้อย แนวคิดรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดีมากที่ช่วยเหลือสำหรับผู้ด้อยโอกาส แต่ในความแตกต่างของแต่ละบุคคล และแต่ละพื้นที่ ทำให้เกิดจุดอ่อน คือ การไม่เห็นคุณค่า และรู้จักคุณค่าของ หารแจกฟรี เช่น ไม่รักษาหนังสือเรียน ท้ายปี ขาดรุ่งริ่ง ใช้การในปีต่อไปไม่ได้ อุปกรณ์แจกไปก็ทำหาย ทิ้งขว้าง บางครั้งของฟรี ใครๆ ก็ชอบ แต่จะขาดความทรงคุณค่าไป ทำให้นิสัยคนไทยเสีย รู้จักแต่รับ ไม่รู้จักการให้ และการห่วงแหนสิ่งที่ตนรัก
๕. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศ โดยการจัดกลุ่มสถาบันการศึกษาตามศักยภาพ ปรับเงินเดือนค่าตอบแทนของผู้สำเร็จอาชีวศึกษาให้สูงขึ้น โดยภาครัฐเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างของการใช้ทักษะอาชีวศึกษาเป็นเกณฑ์กำหนด ค่าตอบแทนและความก้าวหน้าในงาน ควบคู่กับการพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา
การวิเคราะห์
จุดเด่น เป็นการรองรับ ผู้ที่สำเร็จอาชีวศึกษา ว่าจบมาแล้วมีเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีการส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ มีการสนับสนุนให้มีการค้นคว้าวิจัยและการพัฒนา และการสร้างองค์ความรู้ทำให้เกิดความก้าวหน้าในงานด้านต่างๆ
จุดด้อย ควรมีการกำหนดแผนกลยุทธ์ในระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษาให้มีความสอด คล้องกับมาตรฐานการศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กำหนดค่าตอบแทนให้มีความสอดคล้องกับความรู้ความสามารถและความก้าวหน้าในงาน ที่ปฏิบัติ รัฐต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้การศึกษาระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของท้องถิ่นมีการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการสร้างนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ที่มีความสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ ของชุมชนและท้องถิ่น
๖. ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ให้ มีการประนอมและไกล่เกลี่ยหนี้ รวมทั้งขยายกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอาชีวศึกษาและปริญญาตรีเพิ่ม ขึ้น
การดำเนินการ
- รัฐบาลได้เพิ่มวงเงินอีก ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา ตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย อาชีวะ จนถึงอุดมศึกษาทุกชั้นปี สามารถกู้ได้ ในปีการศึกษา ๒๕๕๒ เป็นจำนวน ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท จากเดิมที่ปล่อยกู้เพียง ๒๖,๐๐๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๑ รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่อยู่ชั้นปีที่ ๒-๔ มีสิทธิ์กู้ได้ด้วย ทั้งนี้เด็กที่ยื่นกู้ สามารถขอรับเงินได้ภายใน ๙๐ วัน รวมทั้งหากใครกู้เรียนในสายอาชีพ โดยเฉพาะสาขาวิชาวิชาชีพที่ขาดแคลนกว่า ๔๐๐ สาขา ก็จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
- คณะรัฐมนตรีมีมติให้แก้ไข พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืม เพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อให้ผู้มีรายได้ครอบครัวเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท สามารถกู้ กยศ. ได้ ในปีการศึกษา ๒๕๕๓ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเลือกเรียนสาขาที่ขาดแคลนเท่านั้น
การวิเคราะห์
จุดเด่น รัฐต้องวางแผนการบริหารจัดการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรองรับกับความต้องการโดยขยายกองทุนและวงเงิน กู้ เพื่อให้ผู้ที่มีความตั้งใจในการศึกษาหาความรู้ทั้งในระดับอาชีวศึกษาและใน ระดับมหาวิทยาลัย มีการบริหารจัดการหนี้เสีย การประนอมและไกล่เกลี่ยหนี้ที่ผูกพันกับ กยศ. โดยใช้หลักคุณธรรมและหลักนิติธรรม
จุดด้อย ประชาชนที่กู้เงินยืมเรียน จะได้รับการปลูกฝั่งให้รู้จักการเป็นหนี้ สิ่งที่ได้มาต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นหนี้ ซึ่งขัดต่อวิถีเศรษฐกิจพอเพียง คือ มีกินมีใช้ ตามฐานะ รู้จักเก็บออม
๗. ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์ อย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้
การดำเนินการ
ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์ โดยดำเนินการ ดังนี้
- พัฒนาสื่อดิจิตอล เพื่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยร่างและทดลองใช้ Learning Object สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา, จัดทำ Mini Learning Object เรื่อง โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ, จัดทำร่าง e-book วิชาฟิสิกส์ เรื่อง ไฟฟ้าสถิต
- พัฒนาและส่งเสริมการบูรณาการ ICT ไปใช้ในการจัด การเรียนรู้ ได้ลงนาม MOU กับโรงเรียนนำร่องในโครงการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนสถิติ โดยใช้โปรแกรม Fathom & Tinker Plots
- การพัฒนาและเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยนำข้อมูลลง Homepage 1 เรื่อง คือ แรงดันอากาศ และสื่อ PowerPoint 1 ชิ้น เรื่อง เกมบิงโกตารางธาตุ
การวิเคราะห์
จุดเด่น เป็นการส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์ โดยรัฐบาลได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ติดตั้งคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (หลายโรงเรียนกำลังดำเนินการ ตามงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ SP2.) เพื่อเปิดโลกกว้างในการศึกษาหาความรู้ ซึ่งสอดคล้องกับคำว่าการศึกษาตลอดชีวิต
จุดด้อย อย่างไรก็ตามการใช้ระบบอินเทอร์เน็ต ต้องมีการควบคุมดูแลการใช้สำหรับนักเรียนอย่างใกล้ชิดเพราะอาจตกเป็นเหยื่อ ในการถูกล่อลวงของมิจฉาชีพ การติดเกม หรือการหมกมุ่นกับการใช้เวลาในการท่องอินเทอร์เน็ตมากเกินไป
๘. เร่งรัดการลงทุนด้านการศึกษาและเรียนรู้อย่างมีบูรณาการในทุกระดับการศึกษาและในชุมชน โดยใช้พื้นที่และโรงเรียนเป็นฐานบูรณาการทุกมิติ และยึดเกณฑ์การประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เป็นหลัก ในการยกระดับคุณภาพโรงเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และส่งเสริมความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัยไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา และวิจัยพัฒนาในภูมิภาค รวมทั้งเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตในชุมชน โดยเชื่อมโยงบทบาทสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถาบันทางศาสนา
การวิเคราะห์ ในการจัดสรรงบประมาณในด้านการศึกษาควรมีการมองในหลายๆด้าน หลายๆมิติ โดยยึดเพียงแค่เกณฑ์การประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการ ศึกษาแต่ไม่ใช่การยึดผลการประเมิน รัฐควรจัดสรรงบประมาณที่มีความจำเป็นในการจัดการศึกษาในปัจจัยพื้นฐานของ โรงเรียนให้เหมือนกันทั่วประเทศ ยกตัวอย่างเช่น โรงเรียน ก เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีจำนวนนักเรียน 1,000 คน มีจำนวนครู 35 คน งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมีจำนวนมาก ขณะที่โรงเรียน ข เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียน 150 คน มีจำนวนครู 8 คน ถ้าจัดสรรงบประมาณตามคือคิดตามรายหัวนักเรียน ซึ่งโรงเรียนขนาดเล็กจะได้รับงบประมาณในการบริหารจัดการน้อยมาก (แม้ปัจจุบันรัฐจะอุดหนุนให้มากขึ้น) เพื่อแก้ไขปัญหาที่กล่าวมารัฐควรมีการลงทุนด้านการศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียน ขนาดเล็กให้มากขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานให้เป็นไปตามมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)
ส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาของภูมิภาคโดยรัฐต้องจัดสรรงบประมาณและ ทุนเพื่อให้เกิดการวิจัยและนำผลมาพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น และประเทศ ต้องมีการประสานงานกันระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียนในการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
จากการวิเคราะห์นโยบายของรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายที่สามารถนำไปใช้และมีความสอดคล้องกับโรงเรียนมากที่สุดคือ นโยบายข้อ 4 คือ จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี เพราะเป็นโอกาสดีของเด็กทั่วประเทศที่จะได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในระดับ พื้นฐาน เพื่อต่อยอดสู่ระดับที่สูงขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นจุดที่มุ่งเน้นในการปฏิรูปในรอบที่ 2 (พ.ศ.2552-2561) คือ ในด้านโอกาส ให้คนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกประเภท ได้เข้าถึงการศึกษาการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ
นโยบายการพัฒนาการศึกษา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ)
.......................................................
๑. การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ขอให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญในเรื่องการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ขอให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญในเรื่อง คุณภาพ โอกาส และการมีส่วนร่วมทางการศึกษา และร่วมขับเคลื่อนโดยพร้อมเพรียงกัน
๒. โครงการเรียนฟรี ๑๕ ปี อย่างมีคุณภาพ ขอ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปเตรียมการให้เสร็จก่อนเปิดภาคเรียน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้คุณภาพดีกว่าเดิม โดยยึดหลักภาคี ๔ ฝ่าย ได้แก่ ครู กรรมการนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้แทนชุมชนที่ต้องเข้ามาดูแล
๓. จัดตั้ง “โรงเรียนดีประจำตำบล” จะนำร่องเขตพื้นที่การศึกษาละ ๑ โรงเรียน ๑ ตำบล โดยคัดโรงเรียนในกำกับของชุมชน ให้มีภาคีระหว่างชุมชน อบต. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หลังจากนั้นจัดทำ MOU ร่วม กันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับกระทรวงมหาดไทย และนายกเทศมนตรี โดยขอให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อร่วมกันจัดการศึกษา ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก และยุทธศาสตร์ในการลดภาระความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง
๔. พัฒนาการศึกษา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง เป็นเรื่องสำคัญจะทำงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงภาคใต้ โดยการพัฒนาปอเนาะให้เข้มแข็ง ปรับปรุงหลักสูตรการสอนศาสนาในโรงเรียน เพื่อจะใช้การศึกษาสร้างสันติสุขและสมานฉันท์
๕. สร้างแหล่งเรียนรู้ราคาถูก คือ กศน.ตำบล โดยร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยและ อบต. จะทำให้ครบทุกตำบลภายในปี ๒๕๕๓
๖. จัดทำโครงการ Teacher channel เพื่อการพัฒนาคุณภาพครู ให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่วนโครงการ Tutor channel ให้ทำต่อไปและให้นำไปไว้ในเว็บไซต์ด้วย
๗. สร้างขวัญและกำลังใจครู จะดำเนินการผลักดันพระราชบัญญัติเงินวิทยฐานะ ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ ขวัญกำลังใจให้เพี่อนครู จะจัดตั้งองค์การมหาชนเพื่อดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตครู
๘. สนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เพื่อให้สนองตอบต่อการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูคณิตศาสตร์-วิทยา ศาสตร์ โดยส่งเสริมให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา เป็นหน่วยงานหลักที่จะบูรณาการองค์ความรู้
ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาการศึกษาของ รมว.ศธ. (นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ) ทั้ง 8 ด้าน
ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการร่วมกันสร้างคนไทยที่มีคุณภาพ
บนพื้นฐานของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม
โดยมีการศึกษาเป็นธงนำในการพัฒนาคนในชาติ เพื่อ
“คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิต” รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551
มุ่งเน้นให้มีการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ
โดยมีการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561)
มีเป้าหมายหลักสามประการ คือ
พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและเรียนรู้ของคนไทย
เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทางสังคมในการบริหารจัดการศึกษา
และมีกรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษา 4 ประการ คือ
การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่
พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่
และพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการใหม่
การก้าวสู่ทศวรรษที่สองของการปฏิรูปการศึกษา โดยการนำของ นายชินวรณ์
บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานภายใต้นโยบายการพัฒนาการศึกษา 8 ประการ
ประกอบด้วย
1)
การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
2) โครงการเรียนฟรี เรียนดี 15
ปีอย่างมีคุณภาพ
3) จัดตั้งโรงเรียนดีประจำตำบล
4) พัฒนาการศึกษา 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้
5) การสร้างแหล่งเรียนรู้ราคาถูก :
กศน.ตำบล
6) จัดทำโครงการ Student Channel และ
Teacher TV
7) สร้างขวัญและกำลังใจครู และ
8)
สนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี
1.
การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
การก้าวสู่ทศวรรษที่สองแห่งการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาให้ประสบความ
สำเร็จ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างแรงขับเคลื่อนต่อสังคมในวงกว้าง
เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้สามารถเดินไปสู่เป้าหมายได้ตรงกัน
คือ มุ่งพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนเก่ง คนดี มีความสุข
ในการดำเนินงานจึงต้องอาศัยการระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้ง
หน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ได้มีการเร่งรัดดำเนินงานในหลายเรื่อง ดังนี้
1.
จัดกิจกรรมขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา
1)
จัดประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา 2 คณะ
และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 5 คณะ
เพื่อจัดทำข้อเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาใน
ทศวรรษที่สอง
2) จัดสัมมนา
และ Focus group เพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ กระตุ้น
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำข้อเสนอนโยบาย
ยุทธศาสตร์
และแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
3)
จัดประชุมสมัชชาขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง :
คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ
เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประชาชนทั่วไป
หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทุกระดับทุกประเภท
รวมทั้งการประกาศปฏิญญาสมัชชาเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่
สอง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2553 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ร่วมกับผู้บริหาร 5 องค์กรหลักและหน่วยงานในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ
2.
ดำเนินโครงการสำคัญเพื่อสนองตอบต่อการปฏิรูปการศึกษา อาทิ
1)
ส่งเสริมการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง (Civic Education)
และเสริมสร้างทักษะชีวิต คุณธรรม
จริยธรรมของนักเรียนโดยใช้กระบวนการลูกเสือ
เพื่อเสริมสร้างความตระหนักในการเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม
มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ รู้บทบาทหน้าที่ตามวิถีประชาธิปไตย
2)
ขับเคลื่อนหลักสูตรการเรียนการสอน
การวัดและประเมินผลโดยมีการปรับจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนแต่ละระดับ
ปรับโครงสร้างเวลาเรียนร
น่าสนใจนะ...ผ่านมาแล้วเจอด้วยความบังเอิญ...แต่อ่านแล้วก็ได้แนวคิดเพิ่มขึั้นอีกขั้นหนึ่งต่อการศึกษาไทยในปัจจุบันนี้
อยากทราบว่า ตัวแบบอะไรหรอคะ ในการกำฟนดนโยบายด้านการศึกษา