วิถีคิดแบบไทย ในน้ำพริกปลาทู


ไม่มีสะเต๊กสตู "ปลาทูน้ำพริก" ยังมี

       วันนี้ผมอยากเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารที่คนไทยทุกคนรู้จักและเคยกินกันทุกคน เป็นอาหารที่อยู่คู่ครัวไทยมานานแสนนาน ส่วนประกอบพื้นฐานของอาหารชนิดนี้ คือ พริก น้ำปลา มะนาว กระเทียม และกะปิ คงจะเดาออกแล้วนะครับว่าอาหารชนิดนี้ คือ น้ำพริกนั่นเอง สำหรับผมนั้นการกินน้ำพริกให้อร่อยต้องกินกับปลาทู ผมจึงออกไปตลาดใกล้บ้านเพื่อไปหาปลาทูสด ขนาดพอดี เนื้อแน่น มาทอดกินคู่กับน้ำพริกแสนอร่อย

      สำหรับสังคมไทยในปัจจุบันที่นิยมบริโภคความสะดวกรวดเร็ว การกินน้ำพริกคู่กับเครื่องจิ้ม เช่น ปลาทู ผักสด ผักทอดต่างๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป อย่างน้อยก็ในแง่ของราคาและวัสดุที่ใส่น้ำพริก หากเราซื้อน้ำพริกปรุงสำเร็จมาจากตลาด ราคาถุงหนึ่งประมาณ 15-20 บาท (ราคาในต่างจังหวัดทั่วไป)และซื้อเครื่องจิ้มอีกประมาณ 20 บาท สนนราคาอาหารมื้อนั้นก็เกือบครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว และหากพูดถึงเรื่องการกินน้ำพริกนั้นก็เป็นปัญหาสำคัญสำหรับคนทำงานประจำอย่างผม เพราะต้องใช้ภาชนะหลายชนิดเพื่อใส่เครื่องแกล้มต่างๆ แทนที่จะใส่กินในจานข้าวอย่างเดียว แต่ปัญหาใหญ่ไปกว่านั้น คือ หลังจากกินน้ำพริกแล้ว กลิ่นหอมยั่วยวนใจของกะปิและเครื่องปรุงต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ในปากเรากลับกลายเป็นกลิ่นเหม็นเมื่อต้องติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน ถ้าทุกคนกินน้ำพริกก็ถือว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าหากเราไปกินมาคนเดียวนั้นกลิ่นของมันจะรบกวนการทำงานของคนอื่นและสร้างความไม่มั่นใจให้กับตัวเราเองด้วย  

     ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมก็ยังชอบกินน้ำพริกกับปลาทูและเครื่องจิ้มต่างๆ ผู้ใหญ่บอกว่าเด็กสมัยนี้บางคนไม่ชอบกินน้ำพริก อาจจะเป็นเพราะเหตุผลข้างต้นก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะว่าการกินน้ำพริกแสดงนัยยะหรือภาพลักษณ์บางอย่างของคนนั้นๆ เช่น คนมีอันจะกินต้องกินเนื้อกินหมู ส่วนคนจนต้องกินน้ำพริก

       ผู้อ่านบางท่านที่อายุ 30 ปีขึ้นไป(ผู้เขียนอายุไม่ถึงนะครับ แต่เคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง) อาจจะเคยได้ยินหรือได้ฟังเพลง น้ำพริกปลาทู ของคุณสามารถ พยัคฆ์อรุณ ที่ร้องท่อนฮุกว่า

ดีใจได้เกิดมาชาติหนึ่ง ถึงเรามันไม่ดีเท่าไหร่
        รอดตัวไม่เคยอดตาย ขอบใจข้าวแดงแกงร้อน
เงินทองก็ยังพอหาได้ น้อยไปก็ยังพอมีอยู่
ไม่มีสะเต๊กสตู "ปลาทูน้ำพริก" ยังมี 

      จังหวะและท่วงทำนองเพลงน้ำพริกปลาทูนั้นเป็นแบบสามช่า สนุกสนาน ครื้นเครง ฟังดูจริงใจและตรงไปตรงมาตามวิถีของคนไทย ผมคาดว่าเพลงนี้ในยุคนั้นคงจะดังมากและต้องถูกใจวัยรุ่น(ยุคนั้น) อย่างแน่นอน หากเราลองฟังต่อไปจนจบเพลง …..

แสนจะดีใจได้เกิดมาชาติหนึ่ง
ถึงเรามันไม่ดีเท่าไหร่ รอดตัวไม่เคยอดตาย
ขอบใจข้าวแดงแกงร้อน
แพงไม่แพงก็อิ่มท้องเท่ากัน..สำคัญที่ยังได้กิน
กินข้าวแกงก็มีวิตามิน ถูกลิ้นอร่อยเหมือนกัน
(
แพงไม่แพงก็อิ่มท้องเท่ากัน..สำคัญที่ยังได้กิน)
ของของเราไม่ต้องขอเขากิน เอ้ากิน"น้ำพริกปลาทู"

       ท่านผู้อ่านคงจะมองเห็นปรัชญาการดำรงชีวิตของคนไทยที่แฝงอยู่ในอาหารก้นตู้ คู่ครัวไทย อย่างน้ำพริกปลาทู บางท่านอาจจะไม่มีเงินซื้อ สะเต๊กสตู มาลิ้มลองรสชาติอันทันสมัยแบบฝรั่งตะวันตก แต่ผมเชื่อว่าอาหารไทยและวิถีการกินแบบไทยโบราณ จะช่วยให้ร่างกายของเรามีความสมดุลโดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพายาบำรุงต่างๆ

       ในยุคสมัยที่อาหารจานด่วน อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋องทั้งหลาย เสนอหน้าอยู่ตามห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อให้พวกเราเลือกบริโภคกันมากมาย น้ำพริกปลาทูยังเป็นอาหารไทยที่รอให้พวกเราทุกคนกลับไปลิ้มลองรสชาติของมันอีกครั้ง

ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=DPS01AR3qWE

ปล. ผมโพสยูทูปใน gotoknow ไม่เป็น ขอคำแนะนำจากผู้รู้ด้วยครับ

 

หมายเลขบันทึก: 422182เขียนเมื่อ 23 มกราคม 2011 23:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 13:58 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ได้กินข้าวร่วมกัน มิตรภาพตรึงใจในรสชาด น้ำพริกปลาทู บรรยากาศที่เหลือน้อยลงในยุคปัจจุบัน เสียดาย

- ขอบคุณอาจารย์หยุย ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนและเป็นกำลังใจให้ครับ

- รุ่นน้องครุศาสตร์ นับถือรุ่นพี่คนนี้ด้วยความจริงใจครับ

นับว่าเป็นความคิดคนรุ่นใหม่ ที่ียังคำนึงถึงวิถีชีวิตไทยในอดีต และสำคัญต่อชีวิตคนไทยในปัจจุบัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท