แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการ
นักทฤษฎียุคต้น มีมุมมองง่ายๆ ว่า การจัดการ หมายถึง ความสามารถในการทำงานโดยอาศัยผู้อื่นช่วยตามที่ต้องการ แต่แนวคิดด้านการจัดการร่วมสมัยกลับมองว่า การจัดการคือ การทำงานกับเครื่องไม้เครื่องมือและทรัพยากรต่างๆ จำนวนมากเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
นิยามของการจัดการในปัจจุบัน หมายถึง กระบวนการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การโดยอาศัยขั้นตอน
โดยการใช้ทรัพยากรทางการบริหารต่างๆ ได้แก่
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายองค์การตามที่ตั้งไว้
ไม่มีผู้บริหารคนใดสามารถดำเนินงานให้สำเร็จเพียงลำพัง เพราะธรรมชาติของการจัดการนั้นเป็นการทำงานที่เกี่ยวข้องและใช้คนเป็นกลไกสำคัญ
ผู้จัดการไม่ว่าองค์การประเภทใด มีภาระหน้าที่ด้านการจัดการและนำเอาเทคนิคการบริหารต่างๆ มาใช้อย่างเต็มที่เพื่อมุ่งสู่จุดมุ่งหมายขององค์การเป็นสำคัญ
แต่ผู้บริหารภาครัฐอาจจะมีภาระที่ยากกว่าของเอกชน เพราะเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนและต้องอยู่ภายใต้กฏระเบียบของราชการที่มากมาย
เรื่องที่ 1.1.2 หน้าที่และบทบาททางการจัดการ
ลักษณะของงานด้านการบริหาร
หน้าที่หลัก 4 ประการ คือ วางแผน จัดองค์การ นำพา และควบคุม
แต่ธรรมชาติที่แท้จริงหรือพฤติกรรมหรือกิจกรรมด้านการบริหาร จะมีเรื่องของการบริหารเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ลักษณะของงานบริหารจึงออกมาเป็น
บทบาทการบริหารตามแนวคิดของ เฮนรี่ มินทซ์เบิร์ก
ประเภท |
บทบาท |
กิจกรรม |
บทบาทระหว่างบุคคล |
สัญลักษณ์หรือหัวโขน ผู้นำ
ผู้ประสานงานหรือผู้แทน |
ประธานงานพิธี หน้าที่เชิงสัญลักษณ์ จัดคนเข้าทำงาน ฝึกอบรม ประสานงาน จูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา พัฒนาความสัมพันธ์กับบุคคลนอกองค์การ หรือบทบาทด้านมนุษย์สัมพันธ์ |
บทบาทด้านสารสนเทศ |
ผู้ตรวจสอบติดตาม
ผู้เผยแพร่ข่าวสาร การเป็นโฆษกขององค์การ |
รวบรวมสารสนเทศจากแหล่งต่างๆ เสาะหาข่าวสารข้อมูล เผยแพร่ข่าวสารสู่คนในองค์การ เผยแพร่ข่าวสารสู่สาธารณชน |
บทบาทด้านการตัดสินใจ |
ผู้ประกอบกิจการ
ผู้แก้ปัญหา จัดสรรทรัพยากร
นักเจรจาต่อรอง |
ริเริ่มสิ่งใหม่ หาโอกาสเพื่อเพิ่มศักยภาพขององค์การ แก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในองค์การ พิจารณาจัดสรรทรัพยากรการบริหารแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในองค์การ เจรจาต่อรองกับหน่วยงานภายนอกเพื่อประโยชน์สูงสุดขององค์การ ฯลฯ |
เรื่องที่ 1.1.3 ประเภทและทักษะของผู้บริหาร
ส่วนใหญ่ผู้บริหารจะใช้กระบวนการบริหารเป็นเครื่องมือนำพาพวกเขาไปสู่เป้าหมายขององค์การ แต่งานด้านการจัดการก็มีธรรมชาติเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป สามารถจัดประเภทได้ 2 อย่างดังนี้
ประเภทของผู้บริหารตามขอบเขตความรับผิดชอบ
เราอาจเรียกชื่อผู้บริหารได้เช่น
การแบ่งประเภทตามระดับการบริหาร
แบ่งออกได้ตามพื้นฐานของตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบในองค์การ ปกติในองค์การขนาดใหญ่ มักจะมีผู้บริหารหลายระดับชั้น ในสถานการณ์ปกติสามารถแบ่งผู้บริหารเป็น 3 ระดับ คือ
ทักษะของผู้บริหาร
เรื่องที่ 1.1.4 ทฤษฎีการจัดการ
ทฤษฎีองค์การที่สำคัญ ได้แก่
บริหารองค์การ
บริหารเชิงปฏิบัติ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ความต้องการด้านกายภาพ
ความปลอดภัย
สังคม
การยกย่อง
ประสบความสำเร็จในชีวิต
Douglas McGregor ได้พัฒนาทฤษฎี X และทฤษฎี Y
ทฤษฎี X มีข้อสมมติฐานมองว่าพนักงานเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น ไม่ชอบงานและพยายามหลีกเลี่ยงงาน
ทฤษฎี Y มีข้อสมมติฐานมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหาในการทำงานและไม่มีความเบื่อหน่ายในการทำงาน ซึ่ง McGregor พอใจทฤษฎี Y มากกว่า วิธีนี้จะมอบความไว้วางใจพนักงานและให้พนักงานมีส่วนร่วมในองค์การ
______________________________________________________________________________________
ตอนที่ 1.2 แนวคิดเกี่ยวกับองค์กร
เรื่องที่ 1.2.1 ความหมายและความสำคัญขององค์การ
ความหมายขององค์การ องค์การ หมายถึง กลุ่มคนจำนวนตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่มารวมกันเพื่อทำงานด้วยกันภายใต้โครงสร้างองค์การที่กำหนดไว้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งของกลุ่มที่ตั้งไว้
ความสำคัญขององค์กร
เรื่องที่ 1.2.2 ประเภทขององค์การ
ประเภทที่ 1 เกณฑ์จำแนกองค์การตามลักษณะของความสัมพันธ์ในองค์การ สมาชิกให้ความสัมพันธ์ในสมาชิกด้วยกัน แยกออกเป็น องค์การปฐมภูมิ (มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เช่น ครอบครัว ) และองค์การทุติยภูมิ (เช่น สมาคม สโมสร บริษัท มูลนิธิ ฯลฯ)
ประเภทที่ 2 เกณฑ์จำแนกองค์การตามลักษณะทางโครงสร้างขององค์การ มีโครงสร้างองค์การชัดเจน อาจกำเนิดขึ้นโดยสมาชิกในองค์การสมัครใจ มีองค์การที่เป็นทางการ (เช่น พรรคการเมือง หน่วยราชการ บริษัท ฯลฯ ) และองค์การที่ไม่เป็นทางการ (เช่น กลุ่มเพื่อน ชมรม ฯลฯ)
ประเภทที่ 3 เกณฑ์จำแนกองค์การตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การ แบ่งประเภทได้เป็น
(รายละเอียดการจำแนก ให้ดูที่ ตาราง 1.3 ประเภทขององค์การจำแนกตามเกณฑ์ต่าง หน้า 32 )
การแบ่งประเภทองค์การตามเกณฑ์ที่ 3 อาจแบ่งแยกได้อีกหลายรูปแบบ คือ
องค์การที่มุ่งแสวงหากำไรและองค์การที่ไม่มุ่งแสวงหากำไร
องค์กรที่มุ่งแสวงหากำไร มีจุดมุ่งหมายเพื่อการทำกำไรหรือผลประโยชน์แก่เจ้าของหนือผู้ถือหุ้น
องค์กรที่ไม่มุ่งแสวงหากำไร มีจุดมุ่งหมายดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของสังคม วัฒนธรรม หรือการเมือง เช่น สหภาพแรงงาน สวนสัตว์ สถาบันศาสนา องค์การสาธารณกุศล ซึ่งอาจมีการหารายได้แต่ไม่มีเป้าหมายเพื่อทำกำไร
องค์การด้านเศรษฐกิจการผลิตและการบริการ
องค์การด้านการผลิต จะมีการใช้วัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าประเภทที่จับต้องได้
องค์การประเภทบริการ หน้าที่หลักคือเป็นผู้ให้บริการ เช่น การให้บริการทางการเงินของสถาบันการเงิน การให้บริการทางการแพทย์ บริการทางกฎหมาย ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้
อย่างไรก็ตามหลายองค์การมักจะเป็นทั้งผู้ผลิตสินค้าและผู้ให้บริการควบคู่กันไป เพื่อความสะดวกและเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน เช่น ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์มักจะมีบริการด้านการเงินแก่ลูกค้าด้วย
องค์การบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน
เป็นการแบ่งตามความเป็นเจ้าของ เช่น โรงเรียนรัฐบาล ห้องสมุดประชาชน เป็นหน่วยงานภาครัฐ ขณะที่โรงงานผลิตหรือร้านจำหน่ายสินค้าทั่วไป เป็นของภาคเอกชน
เรื่องที่ 1.2.3 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารกับองค์การ
ลักษณะของความสัมพันธ์
ในแง่สิ่งแวดล้อมขององค์การเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการบริหาร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ชุมชน วัฒนธรรม เทคโนโลยี ต่างเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารองค์การ ดังนั้นผู้บริหารควรพิจารณาและวิเคราะห์ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานของตนอย่างละเอียด และควรปรับเปลี่ยนการบริหารงานให้รวดเร็วเพื่อสอดคล้องและทันต่อสภาพการณ์สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
ในแง่การบริหารขององค์การเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชื่อเสียงขององค์การ เช่น การก่อให้เกิดมลพิษ ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการบริหารงานที่ไม่ได้รับผิดชอบต่อสังคม
______________________________________________________________________________________
ตอนที่ 1.3 สภาพแวดล้อมขององค์การ
เรื่องที่ 1.3.1 สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ
องค์การที่จะได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างยั่งยืน จะต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การหรือสภาพแวดล้อมทั่วไป ประกอบด้วย
เรื่องที่ 1.3.2 สภาพแวดล้อมภายในองค์การ
เป็นการมุ่งหาแนวทางหรือกระบวนวิธีที่จะบริหารและจัดการองค์การให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ผู้บริหารคือผู้มีหน้าที่หลักในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ เพื่อให้ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรค อย่างไรก็ตามแนวทางในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การอาจต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
แนวทางในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การให้เห็นภาพอย่างชัดเจน อาจดำเนินตามหลักการวิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง, จุดอ่อน, โอกาส, อุปสรรค)
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้วยวิธีการเปรียบเทียบมาตรฐานกับคู่แข่ง หรือ Benchmarking หมายถึง วิธีหรือกระบวนการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศขององค์การ โดยการวิเคราะห์แนวปฏิบัติของคู่แข่งอย่างละเอียด แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับองค์การของตัวเอง ซึ่งอาจเริ่มด้วยแนวทางต่อไปนี้
เรื่องที่ 1.3.3 แนวคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
หมายถึง การบริหารและจัดการท่ามกลางกระแสเปลี่ยนแปลงไปของสภาพแวดล้อมด้านต่างๆ ของโลกยุคไร้พรมแดน ซึ่งน่าจะมีลักษณะการจัดการความหลากหลาย หรือ Managing Diversity
การจัดการความหลากหลาย หมายถึง กระบวนการในการวางแผนและการปฏิบัติตามระบบขององค์การและแนวปฏิบัติในอันที่จะจัดการผู้คนเพื่อก่อให้เกิดศักยภาพของความได้เปรียบที่แตกต่างหลากหลาย และเป็นโอกาสที่จะหาทางขจัดหนือลดศักยภาพที่เป็นความเสียเปรียบขององค์การให้เหลือน้อยที่สุด
รากฐานของสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
อุปสรรคในการจัดการกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่มีความหลากหลาย
แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการจัดการความหลากหลาย
หมายถึง ความพยายามที่จะดึงเอาศักยภาพซึ่งเป็นความได้เปรียบของความหลากหลายให้มากที่สุด หร้อมกับการหาทางลดอุปสรรคหรือปัญหาที่จะเป็นตัวบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานลง
พี่ให้คำตอบหนูกระจ่างมากเลยค่ะ ขอบคุณที่ทำประโยชน์ให้ทุกคนนะค่ะ หนูเข้าใจขึ้นเยอะเลยค่ะ =) THANK YOU. (_/\_)
ขอบคุณค่ะ