การเสวนาครั้งนี้ทีมวิจัยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพนักวิจัยใหม่และนักวิจัยที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะฯ
กิจกรรม KM Forum ของฝ่ายวิจัยจัดในวันพุธที่ 12 มกราคม เวลา 12.00-14.00 น. ณ ห้องประชุมศิษย์เก่า ผู้ร่วมวงเสวนาเป็นคณาจารย์จากภาควิชาทางปรีคลินิก
รศ.โสพิศ วงศ์คำ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นผู้นำการเสวนาครั้งนี้โดยเริ่มจากการแสดงให้เห็นทิศทางการบริหารการวิจัยของคณะแพทย์ที่จัดทำสอดรับกับนโยบายด้านวิจัยของคณะแพทยศาสตร์
ประเด็นพูดคุยส่วนใหญ่เป็นเรื่องของ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การวิจัยและพัฒนาที่สร้างองค์ความรู้ให้เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ถูกนำมาแสดงพร้อมแผนส่งเสริมงานวิจัยสหสาขาเพื่อสนองนโยบายสุขภาพของชาติและท้องถิ่น(SO)
คำถามว่า “นักวิจัยต้องการอะไร?” >>> 91.8% ต้องการเวลาที่สามารถทำงานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง
มีการสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยมากขึ้นโดยสนับสนุนทั้งงบประมาณ ครุภัณฑ์วิจัย เงินทุน บุคลากรผู้ป่วยและห้องวิจัย ได้จัดสรรอาคารปรีคลินิกชั้น 3 และชั้นสำหรับการวิจัยทางปรีคลินิก
มีโจทย์ที่เกิดการ sharing บางประเด็นในปัญหาอุปสรรคการทำวิจัย
อ.โสพิศ กล่าวว่า ข้อมูลปัญหาต่างๆของนักวิจัยที่ได้รับทราบได้ถูกนำมาแก้ไขทางนโยบายแล้วมากมาย แต่สิ่งที่น่าคิดคือ “อะไรที่ทำให้งานวิจัยไม่ออก?”
ศ.สมบูรณ์ เทียนทอง รองคณบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้ให้คำแนะนำเรื่องของการเตรียมทำผลงานวิจัยเพื่อปรับตำแหน่งทางวิชาการและอาจารย์ได้ร่วมแสดงข้อคิดเห็นเรื่องของการจัดสรรเวลาว่า อีกวิธีหนึ่งที่มีความเป็นไปได้นั่นคือ การพูดคุยตกลงทำความเข้าใจกันภายในภาควิชาฯของตน แต่โดยส่วนใหญ่นักวิจัยมักสละเวลาส่วนตัวในการทำวิจัยกัน
................
วันพุธที่ 13 มกราคม เป็นการจัดสำหรับคณาจารย์จากภาควิชาทางคลินิก ณ ห้องประชุมหนองแวง เวลา 12.00-14.00 น.
การนำเสนอของ รศ.โสพิศ วงศ์คำ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ คล้ายเดิมแต่กระชับและโยนประเด็นสู่ผู้ฟังเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์มากขึ้น
ประเด็นเพิ่มเติมมีในเรื่อง
มีการยกประเด็น Best Practice ของภาควิชาสูติ-นรีเวชศาสตร์ เกี่ยวกับเทคนิคการสร้างงานวิจัยโดยมีความร่วมมือของอาจารย์, resident และ พชท./พจบ จนมีผลงานตีพิมพ์ระดับชาติ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเทคนิคนี้เป็นสิ่งที่ดีมากน่าจะได้ถูกนำมาถ่ายทอดสู่ภาควิชาฯอื่นๆและนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอีก
อีกปัญหาของอาจารย์ทางคลินิกคือ ไม่มีผู้ช่วยอาจารย์ทางคลินิกในการทำวิจัยเพราะงานทางคลินิกเป็นความเฉพาะ
ฝ่ายวิจัยโดยอ.เจศฎา ถิ่นคำรพได้จัดทำ Clinical Research Center แต่พบว่างานบางอย่างฝ่ายวิจัยไม่สามารถเข้าไปช่วยทำแทนผู้วิจัยได้หมด อย่างไรเสีย การทำงานวิจัยให้เสร็จสมบูรณ์ก็ต้องเป็นนักวิจัยเจ้าของผลงานอยู่ดี
Best Practice ที่ผู้เขียนได้เห็นคือ การเล่าประสบการณ์ตรงของ อาจารย์ท่านที่ประสบความสำเร็จในการทำวิจัยเช่น ศ.สมบูรณ์ เทียนทองและ ศ.เจศฎา ถิ่นคำรพ ซึ่งนักวิจัยหน้าใหม่อาจเก็บประเด็นในการดำเนินการทำวิจัยของตนให้สำเร็จได้เช่นกัน ได้แก่ การสละเวลาส่วนตัวในการทำวิจัย, การทำงานวิจัยเป็นทีม หรือแม้แต่อาจารย์ต้องช่วย dent /พชท./พจบ.ในการเป็นพี่เลี้ยงทำให้งานวิจัยนั้นสำเร็จลงได้
และโดยสรุป ผู้เขียนมองการจัดKM Forum ของฝ่ายวิจัยในทั้งสองครั้งนี้ว่าเป็นการจุดประกายไฟให้นักวิจัย ซึ่งหากได้จัดทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆติดๆกัน ไฟนี้จะลุกโชติช่วง คงได้เห็นการนำผลลัพธ์การทำวิจัยมาใช้งานสู่บุคคล ชุมชน(ตาม KPI)ได้สำเร็จ
และที่สุดแล้ว การดึงประเด็นเพื่อถอดบทเรียนของความสำเร็จในการทำวิจัยของนักวิจัยรุ่นเก่าสู่นักวิจัยรุ่นใหม่ คงต้องดำเนินการต่อเนื่องเพื่อช่วยให้เกิดผลลัพธ์ต่อนักวิจัยหน้าใหม่จริงๆ ซึ่งผู้ถอดและผู้เก็บประเด็นความรู้คงต้องเป็นผู้อยู่ในพื้นที่ ในทีมฝ่ายวิจัยนั่นเอง...
...
มีบางประเด็นที่เคยสกัดจากประสบการณ์ของท่านผู้ร่วมKMในคราวก่อนๆ
ประเด็นสำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน KM Forum
4. ประเด็นเกี่ยวกับพันธกิจด้านวิจัย
1) การใช้ประโยชน์จากการวิจัย
2) การจัดการกลุ่มวิจัย
3) การวิจัยและตีพิมพ์ผลงาน
4) การแลกเปลี่ยนการจัดการ R2R
5) RRU
เรียน ท่านพี่ติ๋ว เกณฑ์ ของ สกอ ๒๕๕๓ ตัวบ่งชี้ที่ ๔.๒ คือ การนำงานวิจัยดีดีมาแปลเป็นเรื่องราวที่คนธรรมดาเข้าใจได้ครับ
เรียน ท่านอ.JJ ค่ะ
ยังไม่พบกิจกรรมดังอาจารย์ว่าในการประชุมครั้งแรกนี้ค่ะ น่าปรับกลยุทธิ์หรือเจาะกิจกรรมให้ด้วยเลย
อีกวิธีหนึ่งนั้นติ๋วคิดว่า เจ้าตัวคงบอกได้ว่างานวิจัยเรื่องใดของตนที่ถูกนำเอาไปใช้...เจ้าของงานน่าจะรู้ดี ติ๋วว่าข้อมูลน่าจะมีอยู่แล้วในงาน เพียงแต่เราอาจจะต้องทำแบบฟอร์มให้เขาตอบให้ ดูจะดีและตรงกว่าให้เขาคิดเอง เพราะผลงานน่ะมีแล้วแต่เล่าตามที่เราต้องการไม่เป็นน่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะอาจารย์