บทสัมภาษณ์คุณภิรตา จิรวัชราธิกุล


มะเร็งเปลี่ยนชีวิต

ภิรตา  จิรวัชราธิกุล ... มะเร็งเปลี่ยนชีวิต จากคนไข้กลายมาเป็นหมอ 

 

            เธอเป็นผู้หญิงตาโต เคยมีรูปร่างผอมเพรียวสมส่วน ผิวพรรณดี อารมณ์แจ่มใส อดีตเคยเป็นนักขายมือทอง ลุยงานเพียง ๘ เดือนก็ได้กำเงินล้าน หยิบจับงานไหนไม่มีคำว่าล้มเหลว แต่ใครจะรับรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของเธอนั้นกลับต้องแลกมาด้วยอาการป่วยจากโรคมะเร็งเต้านมที่ลุกลามไปถึงลำไส้ใหญ่ เธอไม่ยอมทนทุกข์กับความเจ็บปวด แต่กลับฮึดสู้ดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่กับเนื้อร้ายด้วยวิถีแห่งภูมิปัญญาไทยจนได้ก้าวขึ้นแท่นแพทย์แผนไทยมีใบประกอบโรคศิลป์และโบราณเภสัชกรรม เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ เธอคือ ภิรตา จิรวัชราธิกุล

...ชีวิตก่อนป่วย...

          พฤติกรรมก่อโรคไงคะ ถึงเวลากินก็ไม่กิน ตอนที่กินอาหารก็สักแต่ว่ากิน กินข้างถนน อาหารนอกบ้านกินบ่อย ช่วงที่ทำงานหนักก็เครียดนะ จากนั้นก็ป่วย แล้วก็แพ้ยาเยอะมาก ชอบเป็นหวัด เจ็บคอบ่อยๆ พอมากินยาปฏิชีวนะก็เลยมีผลกับไต ปวดหลัง ไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช คุณหมอให้เจาะไต ตรวจอย่างละเอียด ก็ปรากฏว่าไตเสียไปประมาณ ๓๐% ก็เป็นผลมาจากการกินยาปฏิชีวนะนี่แหละ ได้รับคำแนะนำจากหมอว่า ต้องคอยหมั่นดูแลไม่ให้น้ำหนักตัวขึ้น คือควบคุมให้น้ำหนักคงที่ ก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ แต่งานที่ทำอยู่ทั้งงานประจำ งานเสริมก็ทำเรื่อยมา จนมารู้ว่าเป็นมะเร็ง อาจเป็นเพราะว่าแม่ก็เป็น แม่ป่วยเป็นมะเร็งแล้วก็เสียชีวิตไปตอนอายุ ๔๗ เรามาเป็นเมื่อปลายอายุ ๔๖ ปี

 

...ทำงานจนลืมตาย...

          เรื่องของเรื่องทำไดเร็ค เซลส์ ฉันจะทำได้มั้ยหนอ ชอบคิดยังงี้ ทำอะไรแล้วกัดไม่ปล่อยถอยไม่เป็น เอาตาย ถ้ารู้อะไรต้องรู้ให้จริง มันก็ทำได้ ถึงบอกไงว่าคนเราทุกคนเลยนะ เกิดมาแล้วไม่มีอะไรที่มนุษย์อยากทำแล้วทำไมไม่ได้ เขาให้เราตั้งใจ ตั้งเป้าหมายไว้มันได้ทั้งนั้น ขอให้ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง แต่หนทางที่จะไปนั้นเป้าหมายมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันก็ต้องมีอุปสรรคขวากหนาม เราคิดว่าอุปสรรคขวากหนามเป็นเสมือนหิน  แล้วเราเป็นมีดมาลับเรา ถ้ามีมีดมันไม่มีหิน มันไม่คมฉันใดฉันนั้น เราก็ต้องอดทนแล้ว ก็ฟันฝ่าไปให้ได้ พอได้แล้วความรู้สึกอันนั้น เงินล้านซื้อไม่ได้

 

...ได้ทุกอย่างตามเป้าหมาย...

          อยากรู้ว่าเขาทำยังไง เรามีเป้าหมายแล้วก็ไปเลยตามฝัน ใช้เวลา ๘ เดือน แต่มันเครียด มันเหนื่อยจัด ความเหนื่อยมากทำให้เกิดความเครียด เราต้องไปต่างจังหวัด ต้องไปพูดๆๆๆกินนอนในรถ พักผ่อนน้อย พักผ่อนสำคัญ เราไม่ดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ไม่สูบอยู่แล้ว แต่เรื่องกินไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา ถึงเวลานอนไม่ดีพ สลีพ (Deep Sleep) นอนหลับไม่ลึก สะสมมาร่วม ๑๐ ปี ตอนนี้เราอายุ ๕๐ แล้ว  ตอนช่วงอายุ ๓๖ ปี เราได้มาเป็นตัวเงิน เราได้ทุกอย่างที่เราอยากได้ ๘ เดือน ทำเงินประมาณ ๒ ล้านบาท เป็นงานไซด์ไลน์  (Side Line)  งานประจำก็ทำอยู่ รับผิดชอบสูง เราทำตรงนั้นไม่พอ มาทำตรงนี้อีก มาขายพวกอาหารเสริม ขายพวกเครื่องเพชร ตอนทำงานมีความสุข เราไม่ใช่นักพูด เวลาทำงานหนักจนนอนป่วยก็ยังซ้อม พูดๆๆหลานเรียกเราว่า วันเดอร์วูแมน  (Wonder Women)  ก็มาฉุกคิดตอนนอนป่วย นึกถึงคำพูดของหลานทำให้เราคิด เอ้อ...เราไม่ใช่วันเดอร์วูแมนจริงหรอก ถ้าเราวันเดอร์วูแมนจริงนะ เราต้องรู้จักรักถนอมสังขารของเรา แสดงว่าเราอกตัญญูต่อสังขารเรา เราใช้เขามากเกินไป มันไม่มีความว่าพอดี มันถึงป่วย ร่างกายมันเป็นสัญญาณเตือนว่า เอ้ย ใช้ชั้นเยอะแล้วนะ เริ่มบกพร่องแล้วนะ

 

...สัญญาณก่อนป่วย...

          ระหว่างที่อาบน้ำก็เอามือคลำๆดูที่เนินหน้าอกข้างซ้ายเป็นก้อน ก็รีบไปตรวจ พอตรวจเสร็จ เขายืนยันว่ามันเป็นมะเร็ง เราก็ไม่วางใจ ก็เลยไปตรวจอีกทีกับคุณหมอกฤช (นพ.กริช อินทามาระ) ที่ ร.พ.บำรุงราษฎร์ ผลออกมาอันเดียวกันว่าเป็น (มะเร็งที่เต้านมข้างซ้าย) ก็เลยตัดสินใจว่า รักษากับหมอกฤชนี่แหละ ช่วงที่รักษาวางแผนไว้ ๓ ช่วง คือ ให้คีโม (เคมีบำบัด) ๖ เข็ม ผ่าตัด และฉายรังสี ๓๐ ครั้ง ช่วงนั้นสภาพร่างกายสะบักสะบอม แย่มาก ทรุดโทรม เพราะมันแพ้จากอาการข้างเคียงซึ่งต้องมีอยู่แล้ว ก็มีทั้งอาเจียน ปากแตกเป็นแผล ไปหาหมอ ก็อยากได้ยาฉีดหรือยากินมาช่วยทุเลาอาการแพ้ ทางคุณหมอก็ว่าอย่าว่าแต่ยาฉีดเลย ยากินผมก็ไม่เสี่ยงให้คุณ เพราะว่าเราเองมีประวัติการแพ้ยาเยอะมาก ก็เลยต้องกลับมาทรมานมากถึงกับนอนน้ำตาตก คิดว่าเราจะทำยังไงดีหนอ?...

 

...ทุกข์สาหัส...

          เราพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย ทำไมต้องทรมานอย่างนี้ ก็เลยคิดต่อไปอีกว่า เออ...สมุนไพรเราน่าจะดีนะ สมุนไพรไทยถ้าไม่ดีทำไมฝรั่งต่างชาติมาเอาไปตั้งเยอะ ครั้นจะไปซื้อมากินเอง ก็ไม่รู้ว่าใครปรุง ใครทำ ถ้ากินไปก็กลัวว่าเขาจะใส่สารอะไรต่อมิอะไร แทนที่จะดีขึ้น กลัวจะแย่ลง บังเอิญมีคนมาบอกว่าที่กระทรวงสาธารณสุข สถาบันแพทย์แผนไทย เขากำลังเปิดรับสมัครให้ลองไปสอบดู

 

...สมัครเรียนแพทย์ทั้งๆที่ยังป่วย...

          เราลองไปสอบเข้า ก็สอบได้ ช่วงนั้นมีเรียนจันทร์ถึงศุกร์ ห้าโมงเย็นถึงสองทุ่ม และเสาร์-อาทิตย์ เก้าโมงถึงห้าโมงเย็น แต่ช่วงนั้นสุขภาพไม่ดี นั่งนานไม่ได้ ก็เลยเลือกเรียนจันทร์-ศุกร์ แค่ห้าโมงถึงสองทุ่ม เรียน ๓ ปี แล้วตั้งแต่นั้นมาก็ดูแลสุขภาพด้วยวิถีไทยอย่างเดียวเลย อย่างอื่นไม่เกี่ยว สมุนไพรอย่างเดียว ส่วนคุณหมอกฤชก็ยังนัดอยู่เป็นประจำ คุณหมอก็ว่า คุณไปกินยาอะไรหรือเปล่า ดูเราสดใส ก็บอกว่าไม่ได้กินค่ะ กินแต่สมุนไพร หมอก็หัวเราะ ในที่สุดก็ต้องเล่าให้หมอฟังว่าเราไปเรียนอย่างงี้มา ท่านว่าเออก็ดี  เราก็กินของเราดูแลสุขภาพของเราเรื่อยมา

 

...เรียนเพื่อรักษาชีวิตตนเอง...

          บุญมาส่งตอนที่บาปเจอมะเร็ง ถ้าไม่เจอมะเร็ง ก็ไม่เจอสิ่งที่ดีๆที่เราได้เรียนรู้ เราประเภทดิ้นรนจะเอาชีวิตรอด เรารู้แล้วว่าคนที่รักเราที่สุดยังช่วยอะไรเราไม่ได้ แค่อย่างมากก็มาชะโงกหน้ามองเรา เราเจ็บคนเดียว ใครจะมาดูเรา อย่างน้อยเรียนเพื่อให้รู้จริงแล้วมาดูแลตนเอง เราต้องการรักษาชีวิตของเราเอง อยากอยู่อย่างสง่า ตายอย่างสงบ คนเราต้องเข้าใจนะว่า ตอนแก่เราก็แก่อย่างสง่า เวลาตายไม่ทุรนทุราย ถ้าจะไปก็ขอให้ไปอย่างสงบ กลับมาตรงที่ว่าจะอยู่ได้อย่างไร  ขณะที่เรายังป่วย คือเป็นคนที่แบบว่าอยากรู้อะไรก็จะเรียนรู้อยู่กับมันจริงๆ อย่างเช่นที่ได้เรียนมาก็ทำให้รู้ว่า ยาที่ต้องกินเลยคือบำรุงโลหิต ทุกคนต้องกิน เพราะว่าของเหลวในร่างกายเรา คือโลหิตตังหรือเลือดของเรา นี่มันสำคัญ เพราะมันจะนำพาสารอาหาร นำพาออกซิเจนไปเลี้ยงตามเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย โลหิตเราต้องดี แล้วคำว่าบำรุงโลหิต มันไม่ใช่อยู่ๆปุ๊บบำรุงเลย มันจะต้องมีตัวที่ดูแลธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เลือดลมเราไหลเวียนดี ให้เลือดลมเราสะอาดสมบูรณ์แข็งแรง ได้ใช้ช่วยเพื่อนที่เป็นมะเร็งมาหลายราย ร่างกายไม่ทรุดโทรม แล้วก็ตัวเขาเองด้วย ร่างกายไม่ทรุดโทรม ดีวันดีคืนขึ้นมา แล้วก็มีตัวบำรุงหัวใจ ตับ ปอด ตอนนี้ก็ดีมากเลย

 

...จากคนไข้กลายเป็นหมอ...

          การเรียนแพทย์แผนไทยไม่ได้เอาวุฒิปริญญาตรี เขาให้เรากรอกใบสมัครว่าเราจบอะไร พื้นของเราปริญญาตรีภาษาอังกฤษ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) แต่เขาจะมีให้เราเตรียมพื้นฐานความรู้เป็นหนังสือ ๑ เล่มของกองประกอบโรคศิลป์ เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติของแพทย์แผนไทย บิดาแพทย์-แผนไทยรู้จักสมุนไพรต่างๆ ตอนนั้นไม่สบายอยู่ ก็เอาเวลานอนป่วยมาอ่านไปเรื่อย อ่านแล้วก็เอาความรู้ที่ได้ไปสอบภาคทฤษฎี เพื่อเอ็นฯเข้าไป ปีนั้นมีคนสมัคร ๒,๐๐๐ คน สถานที่เรียนจำกัด รับได้แค่ ๒๕๐ คน กรรมการแพทย์แผนไทยมาสัมภาษณ์ว่า เรียนทำไม เราก็เล่าเรื่องของเราให้ฟังเลยว่าเราเป็นอย่างนี้ ป่วยเป็นมะเร็งแบบนี้ๆ เราจะเอาวิชานี้แหละมาดูแลรักษาชีวิตของเรา ทางกรรมการสอบท่านก็มองหน้าเรา แล้วเขาก็คงไม่อยากจะเชื่อว่าเราเป็น (มะเร็ง) นะ เขาก็ย้ำเลยนะว่า คุณเป็น (มะเร็ง) นะ แน่นะ ช่วงนั้นสุขภาพร่างกายก็ยังโทรม มันยังเหนื่อย ยังเพลียมาก ยังรักษาตัวอยู่ไป-กลับโรงพยาบาลตลอด เราบอกเขาว่า เราต้องการวิชาสมุนไพร เพราะเราแพ้ยาอะไรต่ออะไร ก็เล่าให้เขาฟังจนหมด เขาก็ให้โอกาสเราเรียน ได้เข้ามาปีแรก ได้เรียนวิชาเภสัชกรรมไทย ต้องรู้เกี่ยวกับสมุนไพร สมุนไพรมันไม่ใช่มีพืชอย่างเดียว มันมีธาตุวัตถุ พวกพิมเสน การบูร สัตว์วัตถุ เช่น หัวเต่านา เอามาเข้ายารักษาโรคตับ เมื่อก่อนเราไม่เรียนก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่ายังมีงู มีหอย เข้ายาได้ เขาบอกว่า ถ้าเรากินพวกนี้ เราต้องไปฆ่าสัตว์ แต่สำหรับเรา ยาส่วนใหญ่จะใช้พืชวัตถุกับธาตุวัตถุ ส่วนสัตว์วัตถุไม่ได้ใช้ (ก็รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้) อยู่แล้ว ยาก็ดี

          ปีที่ ๒ กับปีที่ ๓ เรียนคัมภีร์เวชกรรมไทยทั้งหมด ๒๕ คัมภีร์ มีหนังสือของกองการประกอบโรคศิลป์ ๓ เล่ม พยายามแตะไปแต่ละคัมภีร์ว่าเกี่ยวกับอะไร ถ้าจะค้นคว้าไปหาอ่านเอาในรายละเอียดอีกเยอะ แต่สอบจริงๆ ๒๓ คัมภีร์ ยกตัวอย่าง เช่น คัมภีร์ธาตุบรรจบ เกี่ยวกับโรคอุจจาระธาตุ มีไข้เรื้อรังมา ๓๐ วัน แล้วอุจจาระเราออกมาเป็นไง กินอาหารผิดแปลกเป็นไง มันก็จะมียา หรือคัมภีร์มหาโชตรัตน์ ว่าด้วยเรื่องของโลหิต-ระดู คัมภีร์ปฐมจินดาว่าด้วยเรื่องการกำเนิดเด็ก พวกเรานี่แหละต้องเตรียมเด็กให้มีคุณภาพตั้งแต่เกิด ก็เอาวิชาในนี้แหละไปจัดขึ้นมาทำอาหาร ดูแลยาตอนนี้ก็ทำอยู่คนหนึ่ง ซึ่งอาเจียนแพ้มาก แต่ก็ดีขึ้นกว่า ๒ ท้องแรก ก็โดยใช้สมุนไพรนี่แหละ หรือคัมภีร์ฉันทศาสตร์ว่าด้วยไข้ทั้งหลาย คัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย คัมภีร์นี้สำคัญทุกคนต้องรู้ทั้งหมด เป็นการวินิจฉัยโรคทั้งหมด เนื่องด้วยเราไม่มีอุปกรณ์ทันสมัย เราก็ต้องดูพฤติกรรมของคนไข้ เราต้องคุยการก่อโรค แล้วก็ภูมิประเทศที่เขาอยู่อาศัย เราต้องดูด้วยอายุ ด้วยเพศ หาข้อมูลมาประกอบการวิเคราะห์สอบต้องผ่านทฤษฎีก่อน แล้วจึงสอบภาคปฏิบัติ ตอนปีนี้เขาเปลี่ยนใหม่เลย เป็นโจทย์ให้เราวิเคราะห์ออกมา เขาเอาสมุนไพรมา ๒๐ ตัว ให้เราดูว่าตัวนี้คืออะไร สรรพคุณคืออะไร แล้วเอาเคสคนไข้มาให้เรา ๓ เคส อย่างน้อยเอาสมุนไพรมา ๓-๔ ตัวแล้วต่อให้จบ

 

...เรียนไป รักษาตัวเองไป...

          ตั้งแต่ปี ๑ เทอมแรกปรึกษาอาจารย์เลย อาจารย์ก็ให้ยาดีมา ก็ทำกินเป็นยาบำรุงโลหิต ทำเองเลย ซื้อเครื่องอบเล็กๆ ได้รู้วิธีว่าจะเก็บวัตถุที่เป็นชิ้นอย่างไร หรือถ้าบดแล้วมีอายุการใช้งานต่างกันอย่างไร แหล่งที่มาของวัตถุดิบต่างๆต้องสะอาด เราต้องตระเวนเดินป่าเพื่อหาแหล่งเรียนรู้สมุนไพรที่เป็นยา ซึ่งยาบางตัวก็หาซื้อไม่ได้ มีอาจารย์พาเดินแนะนำให้ความรู้ ไปลพบุรี จะมีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้เขาสมโภช-ป่าซับลังกา ก็พาเดินป่า ห้ามนำของทุกอย่างออกจากป่า เราไปเรียนรู้สมุนไพรในป่า มีอาจารย์บางท่านเป็นหมอพื้นบ้าน ท่านไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ไม่ได้หมายความว่า ท่านไม่มีภูมิปัญญา ภูมิปัญญาท่านมี เราก็ไปขอคำปรึกษาจากท่าน ส่วนเรื่องไสยศาสตร์มีผลกับจิตใจ คนไข้จิตตก ยิ่งคนไข้มะเร็งตาย เพราะรู้ปุ๊บก็จะตาย เพราะจิตตก เศร้าหมองวิตก จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน คิดว่าฉันต้องตายแน่นอน จิตมั่นสั่งตาย ก็ตายเลยนะ แต่สำหรับเราถ้ามีผู้ป่วยมาก็จะคุยกัน เราเอาพุทธศาสนาเข้ามา เพราะเราเคยเข้ากรรมฐานหลายครั้ง เราได้ยินฟังครูบาอาจารย์ท่านสอน เราก็จำเอามาให้คู่กัน พูดให้เขามีความหวังอยู่กับปัจจุบันว่าเขายังไม่ตาย เราต้องอยู่อย่างคนเป็น เราต้องสู้จนกว่าจะถึงที่สุด เพราะที่สุดของความอดทนคือความตาย เป็นคำสอนที่ได้จากหลวงปู่สิมแห่งถ้ำผาบ่อง จ.เชียงใหม่ เคยไปกราบนมัสการท่านตอนที่ยังไม่สิ้น ท่านเคยเทศน์สอนไว้ว่า ที่สุดของความอดทนคือความตาย ตราบใดยังมีลมหายใจอยู่ แสดงว่ายังอยู่ในวิสัยที่อดทนได้ให้ทนต่อไป

...ผลจากการที่เรียนรู้แพทย์แผนไทย...

          เราชอบมากเลยที่อาจารย์ท่านสอนเรื่องกายานคร ในร่างกายของเราเปรียบเสมือนมหานครแห่งหนึ่ง เราเป็นพญาจิตราช ผู้ครองนคร เรามีเสนาบดีอยู่ 4 กระทรวง ที่ต้องดูแลเขาก็คือ กระทรวงดิน กระทรวงน้ำ กระทรวงลม กระทรวงไฟ ถ้ากระทรวงไหนบกพร่องไปเขาส่งสัญญาณเตือนแล้วนะ ยังไม่ดูแลอีกนะ ล้มหมอนนอนเสื่อเอาตายแล้วเพราะหน้าที่ของเรา ดูแลกายกับจิตไม่ต้องซัดส่ายไปหาผู้ใด ดูแล ๒ อย่างนี้ก็งานหนักแล้วที่เราต้องดูแลมหานครของเรา ไม่ต้องไปยุ่งกับคนอื่น ไม่ต้องแส่เลยนะ พอเราได้ตรงนี้เอามาเชื่อมกับที่หลวงปู่สิมท่านเทศน์ จริงเลยเราเชื่อเลย เราให้คนอื่นมีอิทธิพลน้อยๆกับตัวเราหน่อย อย่ามาเพิ่มเลย แค่นี้ก็ทุกข์เราแล้ว เธออย่ามาเพิ่มเลย เราดูเสนาบดีเรา ให้เราอยู่เป็นคนแก่ที่สง่า ตายอย่างสงบ ไม่ใช่แก่แล้วไปเป็นภาระให้ใคร

          ทุกวันนี้ที่สุขภาพร่างกายฟื้นขึ้นมาได้ก็ด้วยธรรมะโอสถของพุทธองค์ แล้วก็บุญของเราด้วยที่ได้วิชานี้ เรียนอย่างชนิดเอาจริง กัดไม่ปล่อยถอยไม่เป็น ๓ ปีเต็มๆตอนนั้นสภาพไม่เหมือนตอนนี้ ตอนเรียนร่างกายบอบช้ำจากการรักษา (โรคมะเร็ง) มีผลข้างเคียงนั่งนานก็ไม่ไหว เดินป่าก็จะแย่ สมองก็มีปัญหาเหมือนกัน เพราะบางทีเจอการวางยามาก บางทีการเชื่อมกระแสประสาทไม่ดี แต่เราก็เพียร เราต้องอดทนเอาให้ได้ ก็ละเมอ ต้องเอาให้ได้ บางทีฝันว่าเดินป่า ต้นไม้นั้น ต้นไม้นี้ เราต้องดูทั้งของสดของแห้ง ไปซื้อที่อาจารย์เขาทำมีเปลือกไม้ ทั้งแก่น ทั้งดอก ราก ต้น ใบ ดอก ผล ต้องรู้ตาดูไม่รู้...ดม...ดมไม่รู้ชิม ชิมซะจนไอ ถ้าเราชิมรับรองว่าต้นไม้ ลูกไม้ หน้าตาภายนอกมันเหมือนกันอย่างไรก็ตาม แต่รสชาติไม่เหมือนกันเลย แต่บางต้นก็ไม่ควรไปชิมนะ เพราะมันเป็นพิษ มีเพื่อนไปชิมดองดึง ปากบวม ตอนนั้นเรายังไม่รู้กันไง อาจารย์บอกไม่ทัน (หัวเราะลั่น)

          อย่าลืมว่า ตัวเราเองมาจากศูนย์ แต่ก่อนไม่เคยรู้จักต้นไม้เลยสักต้น แถมคัมภีร์ต่างๆที่เรียนก็เป็นภาษาบาลีอีก ต้องทำความเข้าใจ ต้อง่อง ต้องจดจำอย่างแม่นยำ ต้องรู้ว่าคัมภีร์ธาตุวิภังค์ว่าด้วยธาตุดินทั้งหลาย ธาตุดินพิการมีอาการอย่างไร หะทะยัง คือ หัวใจ ยะกะนัง ตับ กิโลมากังพังผืด ปิหากังไต บัผผาสังปอด อันตังไส้ใหญ่ อตคุนังไส้น้อย ต้องจำได้ ตอนที่เรียน ๒๕๐ คน เหลือเข้ามาเวชกรรม ๕๐ คน แต่สอบผ่านข้อเขียนเวชได้มา ๑๐ กว่าคนไม่ง่าย ต้องมีความศรัทธา บุญวาสนาบางคนจับคัมภีร์แล้ว เขาก็ไม่เรียนแล้วแหละ เพราะเราประกบอาจารย์เลย อาจารย์หมอน้อย (บุญยืน ผ่องแพ้ว) พาเดินป่า อาจารย์นันทาสอนในห้อง อาจารย์คงศักดิ์ โกมุท ก็สอน ท่านนี้ยังไปที่ ม.รังสิตด้วย

         

...ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียน...

          เวลาเรียนค่าเรียนแค่ ๓,๐๐๐ บา แต่ค่าตำรา ๓๐,๐๐๐ บาท เพราะถือว่ามันไม่แพงหรอก ถ้าเราจะได้วิชาขึ้นมาแล้วดูแลชีวิตเรา ทุกวันนี้สอบได้ใบประกอบโรคศิลป์และเภสัชแล้ว ส่วนที่กำลังหมายมั่นก็คือรอฟังผลสอบเวชกรรมไทย ถ้าสอบผ่านเท่ากับจบเป็นหมอ (แพทย์แผนไทย) แต่เราก็จะไม่หยุดอ่าน ไม่หยุดค้นคว้าหาตำรับยาต่างๆต่อไป ค้นคว้าหาตำรับดีๆมาทำ (ยา) ดูแลตัวเราได้ ดูแลครอบครัวเราได้แล้วเรายังมีญาติ เรามีเพื่อน เราก็ดูแลเขาได้

          ที่เรียนมาเนี่ย เราดีใจมากเลยที่แผ่นดินของเรานี่นะเป็นแผ่นดินทองจริงๆนะ แผ่นดินสุวรรณภูมิ ในโลกของเราธรรมชาติได้สร้างสวนสมุนไพรไว้ทุกหย่อมย่าน โดยเฉพาะเมืองไทยอุดมสมบูรณ์เต็มที่ โอสถสารดีมาก แต่เราก็มองข้าม นี่เราไม่แพ้ยา เราก็คงไม่ได้เจอ พอเราเรียนเราก็รู้แล้วตอนที่เราป่วยเราก็ต้องกิน ธาตุดิน ๒๐ ประการ มีอาหารที่บำรุงรสอะไรบ้าง ถ้าเป็นยาเราจะสรรพคุณของรสเป็นหลัก รสไหนไปไหน ถ้ารสมันก็ดูข้อ ถ้ารสหอมเย็นก็บำรุงหัวใจ ถ้ารสเผ็ดร้อน ก็ดูแลลม ถ้าจุกเสียดก็เอาใบแก้วมาต้มน้ำกิน ใบแก้วมีน้ำหอมระเหย หรือตะไคร้ทุบๆก็ได้ อะไรที่มันมีน้ำหอมระเหยใช้ได้ เรามีของใกล้ตัว เอามากิน เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทั้งเป็นยาเป็นอาหาร ต้องรู้จักกิน

         

...รักษาตัวเอง...

          เช้ามา อันดับแรกก็ต้องเตรียมเรื่องอาหารการกิน เรื่องหยูกยา ทำเองตั้งแต่เก็บวัตถุดิบ นำมาฝาก ตากแห้งบด ปรุงผสมให้ได้สรรพคุณที่เราต้องการ ทุกขั้นตอนต้องมีความสะอาด เราเน้นมาก อาหารการกินจะดูเรื่องรสเป็นหลัก ธาตุดิน ต้องฝาด หวาน มัน เค็ม ๔ รส ธาตุน้ำ ก็รสเปรี้ยว ธาตุลม เผ็ดร้อน ถ้าเป็นยาก็ต้องมี สุขุม ด้วย ธาตุไฟ ขม เย็น จืด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่า ธาตุลมต้องกินแต่เผ็ดร้อน ก็กินให้หลากหลาย เพราะอาหารไทยไม่พ้นเครื่องเทศ เครื่องแกง ถ้าไม่มีอะไรเลยก็โรยพริกไทย สำหรับเราเองกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เนื้อไม่กินมานานแล้ว หมู ไก่ ก็เลิก ส่วนใหญ่กินแต่ปลา หนักผักและผลไม้ พักผ่อน ห้ามเครียด แต่ก่อนเป็นคนที่อะไรกระทบไม่ได้เลย จะต้องไม่ยอม แต่เดี๋ยวนี้ต้องหรี่หูหรี่ตาเป็น อะไรที่มากระทบเรานะ บางทีก็ต้องคิด ต้องเข้าใจว่าคนเราเกิดมาแล้วมีชีวิต ประสบการณ์ในชีวิตมันไม่เท่ากันหรอก มันไม่เหมือนกัน จะให้เขาเป็นอย่างเราหรือเราจะไปเป็นอย่างเขามันก็ไม่ได้

          ระงับโกรธ ต้องธรรมะโอสถไปเข้ากรรมฐาน กรรมก็คือการกระทำ ฐานคือที่มั่นให้จิตไปเกาะ ให้เกิดเป็นสมาธิ พอสมาธิแน่วแน่แล้วปัญญาก็จะเกิด มันจะลดละได้ ความเป็นตัวเราเกิดมา บางคนก็เฉื่อย บางคนก็ไว บางคนก็เจ้าโทสะ แต่เราก็มาปรับได้ อะไรมากระทบเรา เราต้องเจริญเมตตา คนเราจะไปโกรธ ไปเกลียดอะไร เราคิดอย่างนี้ว่านะ คนเราอยู่ในโลกนี้ไม่กี่ปี เราก็ตาย อะไรนักหนาอย่างเราเป็นโรคร้ายแรง เราคิดเสมอว่าอยู่ไม่กี่ปีก็ตาย จะอะไรนักหนา ทำจิตให้มันสดชื่น คิดถึงว่าเรากินอหารจานหนึ่ง เราได้อาหารมา ถ้าเราเจอขี้แมลงสาบหรือเม็ดกรวด เราไม่ตักใส่ปากฉันใด เราเขี่ยทิ้ง อารมณ์ก็เหมือนกัน เราเลือกเราจะเอาแต่สดชื่น อะไรดีๆอะไรไม่ดีก็เขี่ยทิ้งไป ไม่เอามา เราอยู่ดีๆไม่มีคน แค่สภาวะแวดล้อมก็ยังมีกระทบกระทั่งเราได้ อย่างอากาศมากระทบทำให้หงุดหงิด ก็คือไฟในตัว เราอย่าไปยึดมั่นว่าอะไรต้องอย่างนั้น อย่างนี้ เวลานี้เราถนอมจิตของเราที่สุด อะไรที่จะมากระทบให้ทุกข์เขี่ยทิ้งไป ไม่ยุ่ง เราเลือกได้แม้กระทั่งกิน เราก็เลือกได้ทั้งนั้น แล้วก็สวดมนต์เป็นนิตย์ อธิษฐานจิตเป็นประจำ ขอให้เจอคนดีด้วยนะ อย่าแวดล้อมด้วยคนชั่ว อะไรก็แล้วแต่ที่มันพาลๆไม่ดี ให้มันห่างไกลเราเป็นเส้นขนาน เราทำความดีมีบุญกุศล ขอเราแวดล้อมแต่คนดี ก็ถือว่าเป็นบุญที่ได้เจอสิ่งนี้ และมันมีอยู่แล้วใกล้ตัวเรา

 

...ไม่เคยยอมแพ้ต่อโรคภัย...

          เราคิดว่าทุกคนเกิดมามีสันฐานร่างกายแล้วเนี่ย เมื่อเกิดมาแล้วมันต้องแก่ มันต้องเจ็บ มันต้องตาย ทีนี้ความตายที่มันมาไม่ใช่เพราะเป็นมะเร็งแล้วมันตาย โรคอื่นมันก็ตายทั้งนั้นแหละ แต่ทีนี้เราทำอย่างไรเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ เราจะอยู่อย่างมีความสุขเราไม่อยากอยู่อย่างคนผีดิบๆ อยู่อย่างซอมบี้ ยังไม่ตายแต่อยู่แบบตายแล้ว เราถือซะว่าไอนั่นเป็นขี้แมลงสาบ เป็นเม็ดกรวด ก็ทิ้งๆมันไป แล้วก็หาที่มีอยู่สบายๆ มองเห็นนกร้อง มีพื้นที่สีเขียว อากาศบริสุทธิ์ ขาดอาหารทนได้ แต่ขาดอากาศแป๊บเดียวตาย เราก็มาสร้างสวนที่นี่

         

...สร้างสวนสมุนไพรไว้เป็นวัตถุดิบ...

          เมืองไทยเรามีสมุนไพรอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญที่ได้เจอสิ่งนี้ และมันมีอยู่ใกล้ตัวเรา อีกหลายอย่างเปรียบเทียบกับที่ไปเห็นมา ยุโรปก็ไปมา ๒ รอบ อเมริกาก็ ๓ รอบ ยังไงสมุนไพรของเราดีเยี่ยม อยากทำชีวิตที่เหลือทำสมุนไพรไทยให้ดี เพราะสมุนไพรทุกชนิดให้โอสถสารเราดีอยู่แล้ว กินทุกอย่างแล้วมันฟีดแบ็ค (Feed Back) เราเริ่มที่ตัวเราก่อน ซึ่งที่ผ่านมาสมุนไพรหลายชนิดได้ทะนุถนอมสังขารเราได้ดี พอสมควร แม้แต่หมอแผนปัจจุบันที่รักษาเรา เขายังว่าเออเราไปกินยาอะไรหรือเปล่า หมอไม่ห่วงคนไข้อ้วน หมอห่วงคนไข้ผอม เท่านั้นแหละ เรากินตายเลย น้ำหนักไม่ลด พอผ่านมาเอาของดีๆเข้าไปในร่างกาย มันปรับดูแลเสนาบดีเราทั้ง ๔ กระทรวง ฟื้นฟูขึ้นมา ออกกำลังกายอีกหน่อยทีนี้มันก็จะยิ่งดี เลยตั้งใจแล้วว่าจะทำสวนสมุนไพร ‘งามวิจิตร’ นี่แหละ เป็นแหล่งวัตถุดิบตามธรรมชาติ ไร้มลพิษเพื่อนำมาปรุงยารักษาชีวิตเรา ตัวเราดีขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว อย่างน้อยถ้าคนรอบข้างเจ็บป่วย เราก็ชวยดูแลเขาได้ จากความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา ชื่อของสวนก็มาจากชื่อตัวเอง ภิรตา แปลว่า งาม บวกกับสามีชื่อ วิจิตร เป็นชื่อ ‘สวนงามวิจิตร’ เราก็สวดมนต์ไหว้พระว่าต้องการสร้างสวนแห่งนี้ให้เป็นที่รื่นรมย์สำหรับมนุษย์ และเทวดาบอกเจ้าที่เจ้าทางเขา แล้วอยู่ร่วมกัน อะไรที่ทำแล้วเกื้อกูลกันได้ ทำแล้วเกิดประโยชน์สู่ตัวเราก่อน ครอบครัวเราแล้วก็ญาติมิตรของเรา เราทำเพราะเราถือว่าเวลาไม่ใช่มีเยอะ เรามีวัตถุดิที่ดีแล้ว เรามีขบวนการที่ต้องเตรียมก็จะทำโรงงานผลิตออกมาเป็นยาสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน อย.ก่อนออกเผยแพร่ต่อไป ซึ่งที่จริงในเรื่องของสมุนไพรอยู่ใกล้ๆ ตัวเราแทบทั้งนั้น เราทั้งกิน ทั้งใช้ทุกคนจึงควรจะได้เรียนรู้ เพราะเป็นของดีที่มีอยู่คู่กับแผ่นดินของเรา ปู่ย่า ตายายเรามีภูมิปัญญาส่งมรดกตกทอดมาให้พวกเรา เป็นของที่มีค่ามาก ถ้าหากเราได้เรียนรู้ เราก็จะรู้จักเลือกในการกินในการอยู่ให้เหมาะสมกับตัวของเรา ดูแลชีวิตของเราเองให้ดี เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อไปช่วยดูแลคนอื่น ทำประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ ต่อ ๆ กันไป

          ทุกวันนี้ ภิรตา สมรสกับ วิจิตร จิรวัชราธิกุล  นักวิทยาศาสตร์ด้านเคมีชีววิทยา ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว ไม่มีบุตรด้วยกัน ทั้ง 2 อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับการศึกษาด้านภูมิปัญญาไทย ทำสวนพืชสมุนไพร ปรุงตำรับยาตามคัมภีร์แพทย์แผนไทย เพื่อรักษาชีวิตตนเองจากอาการป่วยด้วยมะเร็ง ให้มีชีวิตอยู่อย่างสง่า และไปอย่างสงบ เมื่อวันนั้นมาถึง...

 

ภิรตา  จิรวัชราธิกุล

พท.ว.  บภ.  บผ. ศศบ.

โทร. 01-835-1112/02-719-8125/ Email: [email protected]        

หมายเลขบันทึก: 418553เขียนเมื่อ 6 มกราคม 2011 12:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:42 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีหมอติ่ง

ยินดีด้วยที่เข้ามาเป็นสมาชิกโกทูโนและเริ่มบันทึกเผยแพร่เรื่องแพทย์แผนไทยซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์มาก

ขอต้อนรับสมาชิกใหม่นะจ๊ะ โกทูโนเป็นเครือข่ายสังคมที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยผู้ที่มีความปรารถนาดีเผยแพร่ความรู้ของตนที่มีให้ผู้อื่นได้เรียนรู้

มั่นใจว่าบันทึกหมอติ่งจะได้รับการต้อนรับและสนใจ

สำหรับเทคนิคการนำเสนอในบล๊อค ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป บันทึกอย่างไรให้น่าสนใจและน่าอ่านซึ่งมีคำแนะนำอยู่มากมายและหากมีข้อสงสัยก็โพสต์ถามได้ ผู้รู้จะมาตอบให้จ๊ะ

หากอยากอ่านรายละเอีดย ให้ไปที่เมนูข้างท้ายบันทึก "คู่มือการใช้งาน" ก็จะกระจ่างจ๊ะ

ขอให้โชคดีจ๊ะหมอติ่ง

สวัสดีค่ะ คุณหมอติ่ง

อ่านแล้วชอบใจจังเลย ได้แรงบันดาลใจในการดูแลตัวเอง ทุกวันนี้ก็พยายามรักษาด้วยแพทย์แผนไทย โชคดีที่แถว ม.อ.หาดใหญ่ เปิดเป็น รพ.แพทย์แผนไทยแล้ว ก็ได้ไปใช้บริการค่ะ ได้คุยกับคุณหมอ แกอายุ 70 กว่าแล้ว ชอบถามแกเรื่องดูแลสุขภาพแบบไทยๆ ด้วยค่ะ

ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ค่ะ ^^

อยากทราบวิธีต้มยา ยาต้มล้างพิษ-1 ว่าต้มอย่างไร กรุณาแจ้งลงในเว็บด้วย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท