6. ปฏิเสธระบบชนชั้นวรรณะ
ระบอบอิสลามไม่มีระบบชนชั้นวรรณะ แม้ว่าความรวยความจนจะเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในทุกสังคม แต่ระบอบอิสลามก็ไม่ยอมรับระบบชนชั้นวรรณะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความร่ำรวยและความยากจน หากแต่ความประเสริฐของบุคคลขึ้นอยู่กับความยำเกรง และการประกอบความดีทั้งนี้หลักคำสอนของอิสลามได้กำหนดแนวทางในการขจัดระบอบชนชั้นวรรณะให้หมดไปจากจิตใจของผู้ศรัทธาด้วยการประกอบศาสนกิจในรูปต่าง ๆ ที่เน้นถึงความเสมอภาคและภราดรภาพ บรรดาผู้ปกครองในยุคต้นของอิสลามต่างก็ถือว่าบรรดาผู้ที่อ่อนแอต้องได้รับการเอาใจใส่และคำนึงถึงมากกว่าบรรดาผู้มีฐานะสูงส่งในสังคม ดังปรากฏว่า ในสมัยท่านอุมัรมีคำสั่งห้ามบุคคลสำคัญต่าง ๆ ของตระกูลกุรอยช์ออกไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในเขตแคว้นต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อมิให้พวกเขากลายเป็นชนชั้นที่มีอภิสิทธิเหนือผู้คนทั้งหลาย
7. สร้างความใกล้ชิดระหว่างคนรวยกับคนจน
ระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามยอมรับว่า ความรวยความจนเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในทุกสังคม ดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรฺอานว่า
ß`øtwU $oYôJ|¡s% NæhuZ÷t/ öNåktJt±Ïè¨B Îû Ío4quysø9$# $u÷R9$# 4 $uZ÷èsùuur öNåk|Õ÷èt/ s-öqsù <Ù÷èt/ ;M»y_uy xÏGuÏj9 NåkÝÕ÷èt/ $VÒ÷èt/ $wÌ÷ß 3 ...... ÇÌËÈ
ความว่า“เรา (อัลลอฮฺ) ได้จัดสรรปันส่วนการดำรงชีพในชีวิตแห่งโลกนี้ของพวกเขาระหว่างพวกเขาและเราได้ยกให้บางส่วนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางส่วนหลายขั้นนัก ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจักได้อำนวยความสะดวกซึ่งกันและกัน”
(สูเราะฮฺอัซ-ซุครุฟ อายะฮฺที่ 32)
ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพราะว่าผู้คนในสังคมย่อมมีความเหลื่อมล้ำกันในด้านศักยภาพทางความคิดและวัตถุตลอดจนมีความแตกต่างกันในเรื่องโอกาสและสถานภาพในการแสวงหาปัจจัยยังชีพ อิสลามได้พยายามในการเยียวยาปัญหาความยากจน ด้วยการขจัดปัญหาที่ต้นตอของมันเพื่อทำให้ระยะห่างระหว่างคนรวยกับคนจนแคบลงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยกำหนดลู่ทางหลายประการด้วยกัน เช่น ส่งเสริมให้แสวงหาปัจจัยยังชีพ การทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นสิ่งที่มีเกียรติในทัศนะของอิสลาม ปฏิเสธการกระจุกตัวของสินทรัพย์ในกลุ่มชนส่วนน้อย การกำหนดค่าปรับ และบทลงโทษในรูปการเลี้ยงอาหารแก่คนยากจน และบัญญัติเรื่องการจ่ายซะกาตและการบริจาคทาน เป็นต้น
8. ทรัพย์สินคือสื่อกลางมิใช่เป้าหมายสูงสุด
อิสลามถือว่าทรัพย์สินเป็นเครื่องประดับและเป็นเพียงปัจจัยของความสุขในโลกนี้ ซึ่งไม่จีรัง การใช้ทรัพย์สินเป็นสื่อกลางในการประกอบคุณงามความดี และแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ในโลกหน้าคือสิ่งที่อิสลามเรียกร้องผู้ศรัทธา ระบอบอื่น ๆ นอกจากอิสลามต่างก็มุ่งสู่การกำหนดให้ความร่ำรวย การมีชีวิตที่สุขสบายแบบวัตถุนิยมและการได้มาซึ่งทรัพย์สินเป็นเป้าหมายสูงสุดโดยไม่คำนึงถึงหลักคำสอนของศาสนาและหลักจริยธรรมอันดีงาม จนในที่สุดผู้คนในปัจจุบันได้ตกเป็นทาสของเงินตราและบูชาวัตถุเป็นจำนวนมาก
9. หลักแห่งความเป็นธรรม
ระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลามจะมุ่งให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นธรรมของราคาสินค้า ค่าจ้าง ผลกำไร ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ด้วยการปลอมแปลงสินค้า การผูกขาด และการแสวงหากำไรที่เกินจริง และเพื่อรักษาหลักการข้อนี้ อิสลามจึงอนุญาตให้ผู้มีอำนาจสามารถเข้าไปแทรกแซงการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบได้ กล่าวคือ รัฐอิสลามสามารถห้ามการผูกขาดสินค้าห้ามเพิ่มราคา ห้ามโกงตาชั่ง และปลอมปนสินค้า โดยมีระบบตรวจสอบ (اَلْحِسْبَةُ) เป็นกลไกลในการตรวจสอบและควบคุม
10. หลักมูลฐานทางศาสนบัญญัติ
ระบอบเศรษฐศาตร์อิสลามกำหนดเรื่องการอนุมัติ (حَلاَلٌ) และการไม่อนุมัติ (حَرَامٌ) ในการค้าขายและการทำธุรกรรมรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะของระบอบเศรษฐศาสตร์อิสลาม เช่น การห้ามในเรื่องดอกเบี้ยและการประกอบอาชีพที่ต้องห้ามตามหลักคำสอนของศาสนา เช่น อาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสุรา ธุรกิจการพนัน ธุรกิจสถานบันเทิงเริงรมย์ และการค้าประเวณี เป็นต้น
6.3 เศรษฐกิจพอเพียงกับหลักการอิสลาม
ความหมาย
คำว่า เศรษฐกิจ เป็นคำที่เกิดจากการนำเอาคำ 2 คำมาสนธิกัน คือ คำว่า เศรษฐ- (เสดถะ) ซึ่งเป็นคำวิเศษณ์ หมายถึง ดีเลิศ ดีที่สุด ยอดเยี่ยม ประเสริฐ กับคำว่า กิจ (กิด) หมายถึง ธุระ งาน ดังนั้นคำว่า “เศรษฐกิจ” จึงหมายถึง งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ของชุมชน ซึ่งหากพิจารณาความหมายตามรากศัพท์เดิมก็จะได้ความหมายแบบง่าย ๆ ว่า : งานที่ยอดเยี่ยม หรืองานที่ดีเลิศ ซึ่งมีความหมายและนัยกว้างโดยครอบคลุมถึงการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก การอุปโภคบริโภคและใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม
ส่วนคำว่า “พอเพียง” หรือ “เพียงพอ” เป็นคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน คือ หมายถึง ได้เท่าที่ต้องการ หรือได้เท่าที่กะไว้ หรือ เหมาะควรในระดับปานกลาง ดังนั้นความหมายโดยรวมของคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” จึงมีนัยบ่งชี้ที่อยู่ในกรอบหลักการของศาสนาอิสลาม ซึ่งยึดทางสายกลางเป็นหลัก ดังปรากฏในอัล-หะดีษว่า :
خَيْرُ الأُمُوْرِ أَوْسَطُهَا
ความว่า “ที่ดีที่สุดของกิจการทั้งหลายคือ ตรงกลางของมัน”
(รายงานโดยอิบนุ อัส-สัมอานียฺ- หะดีษเฎาะอีฟ)
ไม่มีความเห็น