เรื่องราวในก้าวสุดท้ายของการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย : ทางที่ยังต้องเดินของอาจารย์อายุ นามเทพ[๑]
การขอแปลงสัญชาติไทย...วิธีการหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย
การขอแปลงสัญชาติเป็นไทย เป็นวิธีการหนึ่งของการทำให้บุคคลธรรมดามีสัญชาติไทยได้ตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติไทย ซึ่งเรื่องแนวคิดการแปลงสัญชาติให้กับบุคคลต่าวด้าวในประเทศไทยนั้นเป็นวิธีการที่ปรากฎอยู่ในกฎหมายว่าด้วยสัญชาติซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ ในพระราชบัญญัติแปลงชาติ รศ.๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔ )[๒] โดยกฎหมายฉบับนี้ได้รับพระราชทานอนุญาตเนื่องจากในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงเห็นว่ามีคนต่างด้าวจำนวนมากที่ประสงค์จะแปลงสัญชาติเป็นไทย จึงทรงโปรดให้กระทรวงการต่างประเทศ[๓]เข้ามารับผิดชอบในการอนุญาตการแปลงสัญชาติเป็นไทยของคนต่างด้าว[๔] ซึ่งกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ระบุคุณสมบัติของคนต่างด้าวที่จะมายื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทยไว้หลายประการ
และโดยสรุปมีแนวคิดที่ให้คนต่างด้าวดังต่อไปนี้สามารถขอมีสัญชาติไทยได้ คือ (๑)คนต่างด้าวที่มีความกลมกลืนกับสังคมไทยหรือมีแนวโน้มอย่างมากว่าจะมีความกลมกลืนกับสังคมไทยเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสังคมไทย[๕] อาทิเช่น คนต่างด้าวที่บรรลุนิติภาวะนั้นเคยมีสัญชาติไทยมาก่อนหรือมีบุพการีที่ได้แปลงสัญชาติเป็นไทย ซึ่งจะสามารถยื่นขอแปลงชาติกับรัฐบาลไทยได้ และหากเป็นกรณีที่คนต่างด้าวนั้นเป็นภรรยาหรือบุตรของคนที่ได้รับการอนุญาตแปลงสัญชาติเป็นไทย ภรรยาหรือบุตรนั้นก็จะได้รับอนุญาตให้มีสัญชาติไทยตามบิดาได้ด้วยทันทีโดยมิต้องขอแปลงชาติด้วยตนเอง [๖]
และอีกแนวคิดหนึ่งคือ (๒) คนต่างด้าวที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทย ในคุณสมบัติข้อนี้เป็นการโอบรับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยให้เข้ามามีความใกล้ชิดและกลมกลืนกับสังคมไทยมากขึ้น พร้อมที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคมไทยต่อไป และแนวคิดดังกล่าวก็ยังคงปรากฎอยู่ในกฎหมายว่าด้วยสัญชาติไทยที่มีผลอยู่ในปัจจุบัน [๗] ซึ่งยังคงมีบทบัญญัติว่าด้วยการอนุญาตให้คนต่างด้าวที่มีความกลมกลืนกับสังคมไทยหรือทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยสามารถร้องขอมีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติได้
สัญชาติไทยเพื่ออาจารย์อายุ นามเทพ... คนไร้รัฐที่ถูกทอดทิ้ง
กรณีของอาจารย์อายุ นามเทพ คนต่างด้าวซึ่งเป็นบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลากว่า ๕๐ ปี[๘] ได้ทำคุณประโยชน์มากมายแก่วงการวิชาการด้านดนตรีของประเทศไทย เป็นภรรยาของคนสัญชาติไทย และมีบุตร ๒ คนเป็นคนสัญชาติไทย จนมีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาความไร้สัญชาติของอาจารย์อายุ โดยการขอแปลงสัญชาติตามมาตรา๑๑ (๑) พรบ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ [๙]
ดังนั้นการขอแปลงสัญชาติเป็นไทยจึงอาจเป็นทางออกให้กับการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติของคนไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศไทยอีกด้วย และเรื่องราวของอาจารย์อายุนั้นเนื่องจากเป็นที่ประจักษ์อย่างยิ่งถึงคุณงามความดีและคุณประโยชน์ต่างๆ ที่อาจารย์อายุทำให้กับสังคมไทย[๑๐] ทุกภาคส่วนของสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการวิชาการต่างๆ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยโอบรับอาจารย์อายุเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างมีความรับผิดชอบและแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติให้กับอาจารย์อายุเสียที เพื่อประโยชน์ที่จะคุ้มครองและรักษาบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญด้านงานดนตรีและวงวิชาการของประเทศชาติ
การเดินทางต่อสู้เพื่อสัญชาติไทยของอาจารย์อายุ นามเทพ...และครอบครัว “โพ”
เนื่องจากคุณพ่อของอาจารย์อายุ คือ ดร.ยอร์ช แมนชรา โพ คนเชื้อชาติกระเหรี่ยงในประเทศพม่าซึ่งเป็นบุคคลชั้นนำที่ดำเนินการเป็นปฏิปักษ์เพื่อกอบกู้อิสรภาพจากรัฐบาลพม่า ในปีพ.ศ. ๒๕๐๒ คุณพ่อของอาจารย์อายุได้อพยพครอบครัวเข้ามาขอลี้ภัยทางการเมืองกับประเทศไทยโดยขออาศัยอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งขณะนั้นอาจารย์อายุมีอายุได้เพียง ๑ ปี
คุณพ่อของอาจารย์อายุได้ทำหนังสือขอลี้ภัยอย่างเป็นทางการกับประเทศไทยถึงสำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี[๑๑] และได้ขอแปลงสัญชาติเป็นไทยให้กับตนเองและครอบครัว ซึ่งพันเอกแสวง เสนาณรงค์ รองเลขาธิการทำเนียบนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้มีหนังสือลงนามแทนเลขาธิการทำเนียบนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ถึงดร.ยอร์ช แมนชรา โพ ความตอนหนึ่งว่า “ ...โดยหลักการแห่งมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการผ่อนผันให้ท่านและครอบครัวได้ลี้ภัยในประเทศไทยต่อไป ..ส่วนการที่ท่านจะขอแปลงชาติเป็นไทยนั้นก็จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมายที่ได้กำหนดไว้”
เรื่องราวของอาจารย์อายุนับแต่วันที่ดร.ยอร์ช ผู้เป็นพ่อขอแปลงสัญชาติไทยจนมาถึงวันนี้ที่เป็นที่รับรู้ของสังคม อาจารย์อายุและครอบครัวผ่านกับการเผชิญกับปัญหาของการตกเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติมามาก ตั้งแต่เรื่องการไม่มีบัตรประจำตัว การเรียนหนังสือ การพัฒนาตนเองในด้านดนตรีซึ่งอาจารย์อายุเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ของตนเอง ปัญหาหลายอย่างได้รับการแก้ไขก็มีทั้งประสบความสำเร็จบ้างและล้มเหลวบ้าง แต่เรื่องของการได้รับการบันทึกตัวบุคคลจากรัฐไทยและการมีสัญชาติไทยนั้นไม่เคยสำเร็จเลย อาจารย์อายุจึงเรียกตนเองว่า “มนุษย์ล่องหน”
แต่การเป็นมนุษย์ล่องหน หรือ "ไร้ตัวตน"ของอาจารย์อายุ มิได้นำมาซึ่งความสูญเสียในสิ่งดีๆ มาให้เฉพาะแต่กับตัวของอาจารย์เอง เมื่ออาจารย์เติบโตมาให้กำเนิดลูกของคนสัญชาติไทย ๒ คน ลูกชายของอาจารย์ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เมื่อวันที่อาจารย์เข้าได้ไปทุ่มเทชีวิตและการทำงานให้กับวงวิชาการของประเทศไทย โอกาสในชีวิตของอาจารย์และลูกศิษย์จำนวนมากที่จะพัฒนาศักยภาพของวงวิชาการด้านดนตรีของไทยก็ถูกจำกัดไปด้วยความไร้ตัวตนของอาจารย์ โดยเฉพาะหลายครั้งที่อาจารย์ได้รับเชิญ หรือ ได้รับทุนสนับสนุนให้ไปร่วมแข่งขันหรือศึกษาทางดนตรีในต่างประเทศ
อีกครั้งในเส้นทางเดิน...ที่ดูจะมีความหวัง
อาจารย์อายุ เล่าว่าตนและคนในครอบครัวได้เคยไปเดินเรื่องติดต่อหน่วยงานราชการจำนวนมากทั้งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร เพื่อหาแนวทางและขอความช่วยเหลือเรื่องสถานะบุคคลตามกฎหมายของตนและครอบครัวโพ เส้นทางเดินนี้อาจารย์เหยียบย่ำมาตั้งแต่สมัยที่คุณพ่อและสามีอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ แต่อาจารย์ยังไม่เคยหยุดนิ่งที่จะให้ถึงเส้นชัย หลายครั้งที่เหนื่อยและทดท้ออาจารย์ก็มีหยุดพักบ้าง
จนเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน หลังจากที่รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร[๑๒] ได้รับทราบเรื่องราวปัญหาของอาจารย์อายุ อาจารย์พันธุ์ทิพย์ ร่วมกับอาจารย์วรรณทนี รุ่งเรืองสภากุล[๑๓] อาจารย์พันธุ์ทิพย์ และ อาจารย์วรรณทนี ร่วมกับคณะผู้ช่วยเหลือที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลืออาจารย์อายุเป็นจำนวนมาก[๑๔] ก็ได้ดำเนินการแก้ไขตามแนวคิดที่จะจัดการปัญหาให้กับอาจารย์อายุได้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และ กฎหมายว่าด้วยสัญชาติไทย ภายหลังจากการรวบรวมพยานหลักฐาน เอกสารต่างๆ และการถ่ายทอดปัญหาและแนวคิดในการแก้ไขให้กับสังคมไทย
อาจารย์วรรณทนีได้พาอาจารย์อายุ ไปยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทยที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อกลางปี ๒๕๔๘ จนกระทั่ง เกือบ ๑ ปี ผ่านไปเรื่องก็ยังไม่ส่งมายังส่วนกลางคือ สำนักงานตำรวจสันติบาล แต่เมื่อในที่สุดเมื่ออาจารย์พันธุ์ทิพย์ และคณะผู้ช่วยเหลือฯ ได้ชี้แจงต่อสถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่อีกครั้ง คำขอของอาจารย์อายุก็ถูกส่งมาพิจารณาที่สำนักงานตำรวจสันติบาล[๑๕] และผ่านไปยังคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ซึ่งแต่งตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย [๑๖]
เพราะความกระชั้นชิดของเวลาในขณะที่คำขอของอาจารย์ยังคงติดอยู่ในความดูแลของคณะทำงาน อาจารย์อายุจะต้องเดินทางไปร่วมการแข่งขันทางดนตรีที่ประเทศจีนในฐานะตัวแทนของประเทศไทย เราจึงได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการเดินทางเพื่อไปร่วมการแข่งขันครั้งนี้ก่อน โดยที่เราก็มีความหวังมากที่เชื่อว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเห็นคุณประโยชน์และคุณงามความดีของอาจารย์อายุเหมือนดังที่คนทั้งสังคมรับทราบและยอมรับ
ก้าวสุดท้ายของการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย : ทางที่ยังต้องเดินของอาจารย์อายุ นามเทพ
ขณะนี้เราเพิ่งได้รับทราบข่าวว่า เรื่องของอาจารย์ได้รับการพิจารณาจากคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทยแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการประชุมของเลขานุการคณะทำงานเพื่อเตรียมขึ้นเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เราลองสอบถามจากผู้รู้ถึงขั้นตอนกระบวนการหลังจากการพิจารณาของคณะทำงานฯแล้ว ทำให้เรายังต้องสูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่ เนื่องจากจะเป็นช่วงที่สำคัญมากในก้าวที่เราภาวนาให้เป็นก้าวสุดท้ายของอายุในเส้นทางเดินที่ยิ่งใหญ่และยาวนานมากเช่นนี้
หลังจากที่คณะทำงานฯ ได้พิจารณาเรื่องของอาจารย์อายุ ซึ่งเท่าที่ทราบทางคณะทำงานฯ จะคงเพียงนำเสนอเรื่องและข้อเท็จจริงทั้งหมดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณา ดังนั้นเราได้พยายามทำทุกอย่างให้รัฐมนตรีมหาดไทยจะได้รับทราบและเห็นคุณประโยชน์ของอาจารย์ และจะพิจารณาอนุมัติให้สัญชาติไทยให้กับอาจารย์ แนวคิดในการโอบรับบุคคลที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศให้เป็นคนสัญชาติไทยตามพระบรมราชานุญาตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๖ ก็จะเป็นได้จริง
แต่ทั้งนี้ เรื่องราวที่อาจเป็นก้าวสุดท้ายนี้ยังไม่จบง่ายๆ คือ โดยปกติกรณีทั่วไปในทางปฏิบัติของการพิจารณาคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทย เมื่อผ่านการพิจารณาของคณะทำงานฯ แล้ว
- คณะทำงานฯ จะต้องจัดทำรายงานการประชุมและจะต้องทำการรับรองการประชุมโดยคณะทำงานทุกท่านเสียก่อนว่าจะมีการแก้เพิ่มเติมหรือไม่
- หากรับรองรายงานการประชุมเรียบร้อยแล้ว คณะทำงานฯ จะส่งมติที่ประชุมให้กับสำนักงานตำรวจสันติบาล ผู้เสนอเรื่อง และทางสำนักงานตำรวจสันติบาลจะส่งมติที่ประชุมและสำนวนของอาจารย์อายุ กลับมาที่คณะทำงานฯ
- คณะทำงานฯ จะนำเสนอเรื่องให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณา
- เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วก็จะส่งเรื่องกลับมาที่คณะทำงานฯ
- หากมีรายชื่อที่รัฐมนตรีฯ อนุญาต ทางคณะทำงานก็จะจัดทำรายชื่อตามที่พิจารณาส่งไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
- เพื่อที่สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าเพื่อลงปรมาภิไธย
-เมื่อลงพระปรมาภิไธยแล้วก็จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา และทางสำนักงานเลขาธิการนายกฯ จะแจ้งเป็นหนังสือกลับมายังคณะทำงานฯ
- คณะทำงานฯ โดยการทำงานของสำนักกิจการความมั่นคงภายใน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จะส่งแจ้งกลับไปที่สันติบาล และ จะทำหนังสือแจ้งไปยังอำเภอหรือเขตทำการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎรและทำเรื่องประกาศ
- ทางอำเภอหรือเขตจะเรียกผู้ได้รับอนุญาตมาแสดงตนและทำการสาบานตน พร้อมทั้งดำเนินเรื่องเพื่อให้มีบัตรประจำตัวประชาชน และ เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน
เวลาที่ใช้ในขั้นตอนต่างๆ หลายขั้นตอนก็ไม่สามารถระบุได้ และไม่ทราบได้ว่าจะนานเท่าไหร่ อย่างเช่น บางครั้งที่เสนอเรื่องเพื่อพิจารณาของรัฐมนตรีกท.มหาดไทยแล้ว แต่รัฐมนตรีฯ ไม่พิจารณาก็อาจค้างเช่นนั้นเป็นปีๆ ก้าวนี้จึงเป็นก้าวสำคัญ ที่เราหวังว่าเรื่องราวการต่อสู้ของอาจารย์อายุจะสิ้นสุดลง ...
แต่ถึงอย่างไรหากไม่เป็นไปไปดังหวัง เราก็เชื่อว่ามวลชนทางวิชาการและมวลมิตรที่รักใคร่ของอาจารย์อายุ ตลอดจนสังคมไทยก็จะยังคงโอบรับอาจารย์อยู่ในความดูแลของการแก้ไขปัญหาต่อไป ขอให้ผลของการที่อาจารย์ไม่เคยหยุดทุ่มเทให้กับการสร้างและพัฒนางานดนตรีโดยเฉพาะกับเยาวชนไทยทั้งรุ่นใหม่และเก่าจำนวนมาก จะทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เห็นและช่วยแก้ไขปัญหาของอาจารย์ให้จบลงโดยไม่ต้องมีภาคต่ออีก
[๑] เขียนขึ้นเพื่อเรียบเรียงความเป็นมาต่างๆ ของเรื่องราวเกี่ยวกับอาจารย์อายุ ที่กำลังปรากฎเป็นที่สนใจของสังคม เนื่องจากเรื่องของอาจารย์อายุนี้มีอยู่ในบทความหลายเรื่องและหลายวัตถุประสงค์ จึงขอเรียบเรียงทั้งหมดอย่างสั้นๆ และที่สำคัญที่สุด คือ ต้องการให้ทุกท่านรับทราบถึงข้อเท็จจริงในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะทราบว่าการแก้ไขปัญหาของอาจารย์อายุจะสิ้นสุดลงในอนาคตอันใกล้นี้หรือยังจะมีภาคต่อไปอีก
เพลงที่ดร.ธวัชชัย ปิยวัฒน์ แต่งให้เป็นกำลังใจในการต่อสู้ของอ.อายุhttp://usablelabs.com/download/FFF.mp3