เพลงเพื่อสันติภาพ


เมื่อมนุษย์หยุดรบหยุดเข่นฆ่า จะขอบคุณสวรรคาทุกรวายถี

          ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนทั้งในประเทศเดียวกันและระหว่างคนของประเทศเพื่อนบ้านกันยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า เป็นไปด้วยดี มีความสมานฉันท์ หรือปรองดองกัน  เพลงสั้นๆเพลงหนึ่งในแฟ้มความจำของผมได้ผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ  เพลงนี้น่าสงสารพอๆกับสันติภาพ เพราะคำร้องดั้งเดิมของมันอย่าว่าแต่มีใครจำได้เลย แค่รู้จักชื่อเพลงก็แทบไม่มีใครรู้จักกันแล้ว

         เพลงนี้ชื่อ  If I Were Free  แต่งโดยเอดมันสัน กับ แทรวิส แต่โด่งดังข้ามทวีปมาจากอเมริกาด้วยกลุ่มนักร้องนักดนตรีชายสองหญิงหนึ่งคือ ปีเตอร์ ปอล และแมรี (Peter,Paul & Mary)  จากอัลบัมชุด Ten Years Together ที่ออกมาฉลองการร่วมวงกันครบสิบปี เมื่อหลังพ.ศ. ๒๕๑๐ เล็กน้อย อันเป็นช่วงเวลาที่สงครามเวียตนามกำลังดุเดือด  นอกจากสามคนนี้แล้ว นักร้องนักดนตรีรายอื่นๆ ทั้งศิลปินเดี่ยวและศิลปินกลุ่มต่างผลิตผลงานต่อต้านสงครามและเรียกร้องสันติภาพออกมาเป็นจำนวนมาก  หลายคนหลายกลุ่มเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในคอนเสิร์ตที่วูดสตอกในปี พ.ศ. ๒๕๑๒   ว่ากันว่าคอนเสิร์ตนี้และพวกเขาเหล่านี้ มีส่วน ทำให้รัฐบาลสหรัฐทบทวนนโยบายและยอมถอนทหารจากเวียตนามในที่สุด

        ผมคิดว่าเพลงนี้น่าจะยังใช้ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน  จึงนำมาเสนอพร้อมกับภาคภาษาไทยของผมเอง

    IF I WERE FREE                                                               ถ้าฉันมีอิสระ

    If I were free to speak my mind,                         ถ้ามีสิทธิ์พูดได้ดังใจอยาก

    I’d tell a tale to all mankind                         จะขอฝากเรื่องไว้ให้คนทั้งหลาย

    Of how the flowers do bloom and fade,     เรื่องดอกบานแล้วร่วงโรยลงเรี่ยราย

    Of how we’ve fought and how we’ve paid.        และผู้คนที่ล้มตายเพราะสู้กัน

    This weary world has had its fill                    โลกแบกไว้ล้นแล้วด้วยเรื่องเล่า

    Of words of war on every hill.                                ทุกขุนเขารบราล่าห้ำหั่น

    The time has come for peaceful days,               ได้เวลาวางศาสตราเลิกรากัน

    And peaceful men of peaceful ways.                    มามาดหมายยึดมั่นสันติวิธี

    When all mankind has ceased to fight,             เมื่อมนุษย์หยุดรบหยุดเข่นฆ่า

    I’ll raise my head in thanks each night              จะขอบคุณสวรรคาทุกรวายถี

    For this rich earth and all it means,                  ที่ช่วยพลิกให้โลกฟื้นคืนมาดี

    For golden days and peaceful dreams               สมดังที่ฝันถึงสุขในยุคทองฯ

 

หมายเหตุ 

๑.      รวายถี เป็นคำไทยเหนือ ตรงกับ ราตรี

๒.      ครูภาษาอังกฤษน่าจะใช้ประโยชน์จากเพลงนี้ได้ด้วย อย่างน้อยๆ ก็ใช้แก้ข้อสงสัยของนักเรียนได้ว่า ทำไมถึงใช้    I were ทั้งๆที่ I เป็นคำเอกพจน์ซึ่งควรจะใช้      I was

๓.      คนที่รู้จักและร้องเพลง “ของกินบ้านเฮา” ในชุด โฟล์คซองคำเมือง ของจรัล   มโนเพ็ชรได้ น่าจะร้องเพลงนี้ได้โดยไม่ยากเช่นกัน เพราะทำนอง “ของกินบ้านเฮา” แทบกล่าวได้ว่า ตรงกับ If I Were Free  แบบโน้ตต่อโน้ตเลยทีเดียว

หมายเลขบันทึก: 411782เขียนเมื่อ 3 ธันวาคม 2010 10:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

มาเรียนรู้ค่ะคุณครู ได้คำใหม่ รวายถี คือ ราตรี ชอบจังเลยค่ะเพลงนี้ อิสรภาพ เสรีภาพ และสันติภาพ ขออนุญาตนำไปบอกต่อนะคะ ขอบพระคุณค่ะ :)

                         

ถอดความได้ดีจังเลยครับ
ทั้งความหมาย และความเป็นบทกวี สุดยอดเลยละครับ

มากมีความหมายเหลือเกินครับครูครับ ดีทั้งภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษเลยครับ

ขอขอบทั้งคนแต่ง คนแปล และครูเก่าที่นำสิ่งที่ควรคิดมาให้ตรึกตรอง (ครูเก่าในอุคมคติ)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท