ผศ.ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ผศ.ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์ โทนี่ ปัญญโรจน์

คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย


หรือว่าประเทศชาติ บ้านเมืองเรา มีการบังคับใช้กฎหมายหรือการปฏิบัติ สองมาตรฐานจริง ข่าวการที่ชาวบ้านบุกรุกที่ทำกินหรือแม่ลูกอ่อนขโมยนมเพื่อเลี้ยงลูกต้องถูกจับถูกลงโทษ แต่ในทางกลับกันบุคคลที่มีอำนาจ ร่ำรวยกับไม่ถูกลงโทษ ทั้งๆที่บุคคลที่มีอำนาจบางคนบุกรุกป่า บุกรุกภูเขา โกงกินคอร์รัปชั่นแต่ยังสามารถยิ้มแย้มแจ่มใสและได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนในสังคม

คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

http://www.drsuthichai.com

             ก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับการประชุม ป.ป.ช.โลกครั้งที่ 14 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 พฤศจิกายน 2553 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในการจัดงานครั้งนี้ประเทศไทยได้รับเป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ คืนความเชื่อมั่น : ทั่วโลกโปร่งใส สู้ภัยทุจริต ” โดยในวันแรกมี นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.และประธานสภาหอการค้า ลงนามแถลงการณ์ร่วมในการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐ ต่อหน้าผู้มาประชุมเกือบ 1,000 คน อันได้แก่ ผู้นำโลก นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวของกลุ่มพัฒนาองค์กรจาก 113 ประเทศ ความจริงถ้าพูดถึงเรื่องของการคอร์รัปชั่นในเมืองไทยนั้น มีมาช้านานแล้ว จนกระทั้งบางหน่วยงาน บางองค์กรและคนของหน่วยงาน รวมทั้งประชาชนบางส่วน ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเลยก็มี จนมีคนกล่าวว่าประเทศไทยติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่ทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุดในภูมิภาคและในโลก ดังผลสำรวจความคิดเห็นของ สำนักวิจัยเอแบคโพล เมื่อเดือนตุลาคม พบตัวเลขที่น่าตกใจว่าคนไทยเห็นว่ารัฐบาล “ โกงก็ไม่เป็นไร ” มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 63.2 เมื่อปี 2551 เพิ่มเป็นร้อยละ 76.1 ในปีนี้ ความจริงการทุจริตในเมืองไทยเกิดขึ้นจากคนสามกลุ่มใหญ่ๆ คือ ข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ การทุจริตที่เห็นได้ชัดเจนเพราะมีผลประโยชน์มาก ส่วนใหญ่เป็นการโกงจากการก่อสร้างโครงการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น ตึก อาคาร ถนน ฯลฯ ปีๆหนึ่งประชาชนผู้ที่ต้องเสียภาษี ต้องถูกโกงจากบุคคลสามฝ่ายไปปีละประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท อีกทั้งการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐบางแห่งมีการทุจริตได้เปอร์เซ็นต์จากการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่พวกเราคงได้เห็นกันตามสื่อต่างๆ ถามว่าถ้าหากพวกเราสามารถแก้ไขปัญหาเงินที่ถูกโกงไปได้ เราก็สามารถใช้เงินเหล่านี้ไปพัฒนาประเทศชาติได้มากยิ่งขึ้น เช่น เราสามารถสร้าง โรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เราสามารถจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้น เราสามารถสร้างโรงเรียน หรือให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนของเราได้อีกมากมาย ถามว่าเราสามารถจะแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นในประเทศได้ไหม ในความคิดเห็นของกระผมแก้ได้ ถ้าหาก รัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศเอาจริงเอาจังในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งบทลงโทษทางกฎหมายต้องมีความรุนแรง และมีผลบังคับกันอย่างจริงจัง อีกทั้งรัฐบาลต้องสร้างจิตสำนึกแก่ ข้าราชการ นักธุรกิจและนักการเมือง ไปพร้อมๆกัน แต่หากดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว รัฐบาลชุดนี้ ยังมีข่าวเรื่องของคอร์รัปชั่นตามสื่อต่างๆ อีกทั้งมีบุคคลหลายฝ่ายออกมาพูดถึงเรื่องของการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลกันอยู่ ซึ่งตามความเป็นจริงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคอร์รัปชั่นก็คือ คนที่มีอำนาจในบ้านเมืองนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองในตำแหน่งสำคัญทางการเมือง นักธุรกิจระดับประเทศที่มักจะมีข่าวเรื่องของผลประโยชน์ต่างๆ จากนโยบายของภาครัฐ ข้าราชการหรือนักบริหารในภาครัฐ ที่คุมค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ผมเองได้มีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ เจอเด็กหญิงดวงดี แซ่ลี้ หรือ น้องหนิง ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า “หนูเริ่มทำความดีจากการให้เพื่อนยืมของ เช่น ดินสอ ยางลบ ไม่พูดโกหกและยังช่วยเก็บขยะที่มีคนทิ้งเรี่ยราดในบริเวณโรงเรียน สิ่งที่คุณครูสอนและความรู้ที่ได้ทำกิจกรรมทำให้เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ มีครั้งหนึ่งคุณครูเคยทดสอบพวกหนูด้วยการทำกระเป๋าเงินหล่นหาย แล้วหนูก็เก็บไปคืนและประกาศหาเจ้าของจนเจอ ทำให้ได้รับคำชมและรู้สึกดีใจที่ได้ทำความดี ” จากข้อความข้างต้น ที่เด็กหญิงดวงดี แซ่ลี้หรือน้องหนิง ได้กล่าว ผมรู้สึกอายแทนผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางคนได้ร่วมมือกันเพื่อโกงกินเงินของภาครัฐ ถามว่าจิตสำนึกของตนอยู่ไหน หากเปรียบเทียบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง หรือว่าประเทศชาติ บ้านเมืองเรา มีการบังคับใช้กฎหมายหรือการปฏิบัติ สองมาตรฐานจริง ข่าวการที่ชาวบ้านบุกรุกที่ทำกินหรือแม่ลูกอ่อนขโมยนมเพื่อเลี้ยงลูกต้องถูกจับถูกลงโทษ แต่ในทางกลับกันบุคคลที่มีอำนาจ ร่ำรวยกับไม่ถูกลงโทษ ทั้งๆที่บุคคลที่มีอำนาจบางคนบุกรุกป่า บุกรุกภูเขา โกงกินคอร์รัปชั่นแต่ยังสามารถยิ้มแย้มแจ่มใสและได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนในสังคม

คำสำคัญ (Tags): #สังคม
หมายเลขบันทึก: 410535เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2010 20:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 16:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ไม่เฉพาะ คอร์รัปชัน ภัยร้ายทำลายชาติ

แต่ "การทำลายสิ่งเเวดล้อม ท้องนา" ก็ทำลายเศรษฐกิจประเทศชาติได้เช่นเดียวกัน ครับ

ต้องให้ ศอฉ.ประกาศกระชับพื้นที่ ทั่วท้องนาไทย ว่า "ห้ามเผาฟาง"ครับ

ที่ผ่านมามีแต่คนพูด ถึง "การเผาเมือง" แต่ไม่ค่อยมีคนพูด ถึง การ "เผาชนบท"

ครับ เสียหายทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม หน้าดิน จุลินทรีย์

ปีๆหนึ่งหลายหมื่นล้านบาท

เท่าไหร่เอาไปดูกัน

เพิ่มเติมครับ .... งานศึกษา จาก มูลนิธิชีววิถี (BioThai Foundation)

มูลค่าทางเศรษฐกิจของจุลินทรีย์

1. มูลค่าทางเศรษฐกิจของจุลินทรีย์ในระดับโลก

1.1 มูลค่าทางเศรษฐกิจของจุลินทรีย์ทั้งโลกมีมูลค่ามากกว่า 6 ล้านล้านบาท

1.2 เฉพาะตลาดผลิตภัณฑ์ที่ได้จากจุลินทรีย์ในญี่ปุ่นประเทศเดียวสูงถึง 1.97 ล้านล้านบาทในปี 2540

1.3 ยาที่ผลิตจากจุลินทรีย์เป็นแหล่งตั้งต้นมีมูลค่าประมาณ 1.3 – 2 ล้านล้านบาทในประเทศอุตสาหกรรม3 โดยมียาปฏิชีวนะที่ได้จากจุลินทรีย์ถึง 3,222 ชนิด

2. มูลค่าทางเศรษฐกิจของจุลินทรีย์ต่อเกษตรกรรม

2.1 มีการคำนวณพบว่าประเทศบราซิลประหยัดค่าปุ๋ยได้ถึง 63,000 ล้านบาทเนื่องจากจุลินทรีย์ที่ตรึงปุ๋ยไนโตรเจนได้จากอากาศจากการปลูกถั่วเหลือง แทนที่จะต้องซื้อปุ๋ยเคมีไนโตรเจนมาใส่ในดิน
 

อ่านต่อ....

 

.......ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ คืนความเชื่อมั่น : ทั่วโลกโปร่งใส สู้ภัยทุจริต ” ......

จะเห็นว่าคนไทยกินขาดชนะหลายๆชาติ มีแนวคิดดี สร้างคำขวัญ พร้อมจัดเคมเปญรณรงค์ ประชุมไม่ว่างเว้น เสียทั้งเงิน ทั้งงบ ทั้งเวลามากมาย กี่ปีกี่ยุค แต่ความโปร่งใส การทุจริต ก็ไม่ลดลงให้เป็นที่ประจักษ์ ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าที่ทำอยู่น่าจะมีอะไรที่ "เกาไม่ถูกที่คัน" ทั้งๆที่มีศาสนา มีศีลธรรมมีไว้ให้ประพฤติปฎิบัติ แต่ไม่ใส่ใจเพราะอ้างปากท้อง (ที่กินเกินตัว) ต้องมาก่อน มือใครยาวเลยสาวได้สาวเอา กรรมไม่เห็น ละอายไม่มี วงศ์ตระกูลช่างมัน (โกงแล้วรวย มีอำนาจ คนก็ยกมือไหว้ทั่วเมืองเอง) นี่เองที่ทำให้มีการเบียดเบียนไม่สิ้นสุด โกงแม้กระทั่งภาษีแผ่นดิน ที่ควรจะทำคือสอน "สำนึก " สำนึกที่ละอายเมื่อทำชั่ว ละอายเมื่อพ่อแม่ทำชั่ว ละอายเมื่อมีลูกทำความเดือดร้อนให้สังคม เริ่มเพียง"สำนึกในครอบครัว" ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น สังคมจะพัฒนา เหลือเงินแผ่นดินไว้พัฒนาประเทศจริงๆมากขึ้น

............ดังผลสำรวจความคิดเห็นของ สำนักวิจัยเอแบคโพล เมื่อเดือนตุลาคม พบตัวเลขที่น่าตกใจว่าคนไทยเห็นว่ารัฐบาล “ โกงก็ไม่เป็นไร ” มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 63.2 เมื่อปี 2551 เพิ่มเป็นร้อยละ 76.1 ในปีนี้.........

นี่ก็อีกประเด็นที่มักจะใช้คำพูดที่ว่า "ช่างมันเถอะ "และ "ไม่เป็นไร " เป็นความยืดหยุ่นแบบไทยๆมาตลอดจนเคยชิน เอามาประยุกต์ใช้ในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โกงไม่เป็นไร บาปกรรมไม่เห็น รุ่นลูกหลานไม่เหลืออะไรก็ช่าง รุ่นเราจะสร้างให้เอง ตัดไม้ ทำลายป่า ไม่เคยคิดถึงสำนวนที่วา "เด็ดดอกไม้ก็สะเทือนถึงดวงดาว" และที่น่าเศร้าคือทุกกลไก ช่องทางของการโกงจะทำไม่ได้เลย ถ้าข้าราชการไม่ร่วมมือด้วยอย่างเด็ดขาด เสียดายมากที่หลายคนมีตำแหน่งที่ให้เติมคำในช่องว่างของอาชีพว่า "ข้าราชการ" แต่สำนึกในความเป็น"ข้าราชการ หรือข้าของแผ่นดิน" มีน้อยมาก หากเราช่วยกันกระตุ้นจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ (ที่ดีกว่าสัตว์ เพราะสัตว์มีแต่สัญชาติญาน) ปลุกความละอายต่อตัวเอง เกรงต่อบาป(สิ่งที่ชั่ว) สังคมเราคงว่นวายน้อยลง เอาเวลาไปพัฒนาความเจริญด้านอื่นๆที่เป็นประโยชน์ ไม่ต้องตั้งงบจัดประชุมกันบ่อยๆ

ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท