๒.๗ ประเภทของจิต
จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาพที่มีจริง เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ถึงแม้จะไม่มีรูปร่างเป็นตัวตน แต่ก็แสดงความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ในจิตตุปปาทกัณฑ์ได้แบ่งจิตเป็น ๔ ประเภท หรือแบ่งจิตออกเป็น ๔ ระดับ คือระดับกามาวจรจิต ระดับรูปาวจรจิต ระดับอรูปาวจรจิต และระดับโลกุตตรจิต มีรายละเอียดดังนี้
๒.๗.๑ กามาวจรจิต อรรถกถาได้ให้ความหมายว่าเป็น จิตที่นับเนื่องในกามาวจรธรรมทั้งหลาย จิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คำว่ากาม แปลว่าใคร่ มี ๒ อย่าง คือกิเลสกาม ๑ วัตถุกาม ๑ กิเลสกามได้แก่ฉันทราคะ (โลภเจตสิก) วัตถุกามได้แก่ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ[1]กามาวจรจิต ซึ่งยินดี พอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นเหนียวแน่นมาก แม้ว่ารูปจะปรากฏเพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยที่สุด คือชั่วขณะที่กระทบจักขุปสาท เสียงก็ปรากฏเพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยเหลือเกิน คือชั่วขณะที่กระทบกับโสตปสาท กลิ่น รส และโผฏฐัพพะก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป(ปริตตธรรม) แต่จิตก็ยินดีพอใจติดข้องอยู่ในปริตตธรรมนั้นอยู่เสมอเพราะการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของปริตตธรรมนั้นๆ จึงดูเสมือนไม่ดับไป
ความเพลิดเพลินยินดีพอใจในอารมณ์ที่น่าปรารถนาคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่หมดสิ้น แม้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นๆ จะดับไปแล้ว แต่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอื่นๆก็เกิดสืบต่อทำให้ความหลงติดยินดีพอใจในรูป เสียง ฯลฯ สืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ เมื่อเห็นรูปใดก็ตามซึ่งเป็นที่พอใจแล้ว ก็อยากจะเห็นอีกบ่อยๆ เมื่อได้ยินเสียงที่พอใจแล้ว ก็อยากได้ยินเสียงนั้น อีก กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เช่นเดียวกัน เมื่อบริโภครสใดที่พอใจแล้ว ก็อยากบริโภครสนั้นซ้ำๆอีก[2] เป็นจิตที่ท่องเที่ยวอยู่ในกามภูมิ ๑๑ ซึ่งประกอบด้วย อบายภูมิ ๔ มนุสสภูมิ ๑ เทวภูมิ ๖[3] กามจิตย่อมท่องเที่ยวไปในภูมิเหล่านี้ หรืออีกประการหนึ่ง จิตที่ยังปฏิสนธิให้ท่องเที่ยวไปในกาม กล่าวคือ กามภพ เหตุนั้นจิตนั้นชื่อว่า กามาวจร กามาวจรจิตมี ๕๔คือ
อกุศลจิต จิตที่เป็นอกุศลมี ๑๒ สภาวะ อเหตุกจิต จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๖ มีจำนวน ๑๘ สภาวะ กามาวจรโสภณจิต จิตที่สวยงามในกามภูมิ มีจำนวน ๒๔ สภาวะ
4] โลภมูลจิต ๘ สภาวะ อกุศลจิต๑๒ สภาวะ โทสมูลจิต ๒ สภาวะ โมหมูลจิต ๒ สภาวะ จิตในกามภูมิเหล่านี้ เป็นจิตดีงามก็มี เป็นจิตชั่วเลวก็มี และเป็นจิตที่เป็นผลของบุญ ผลของบาปก็มี กิริยาอาการต่างๆที่ปรากฏเป็นการแสดงออกของจิตใจของคนเราสั่งให้พูด สั่งให้เคลื่อนไหวไปมาได้[5]
๒.๗.๒ รูปาวจรจิต หมายถึง จิตที่ท่องเที่ยวเกิดอยู่ในภูมิอันเป็นที่เกิดแห่งวัตถุรูปและกิเลสรูปเป็นส่วนมาก[6]จิตที่ประพฤติเป็นไปในรูปภูมิ เป็นจิตที่เกิดดับอยู่ในรูปพรหมเป็นส่วนมาก แต่สามารถจะเกิดขึ้นได้ในมนุษย์และเทวดาบ้าง รูปาวจรจิตนี้มีกรรมฐาน ๔๐ อันเป็นบัญญัติเป็นอารมณ์กรรมฐาน กรรมฐาน ๔๐ นั้นแบ่งออกเป็น ๗ หมวด คือ
๑. กสิน ๑๐ ว่าด้วยสีทั้งปวง มีสีดินเป็นต้น
๒. อสุภ ๑๐ ว่าด้วยความไม่งาม มีศพขึ้นพองเป็นต้น
๓. อนุสสติ ๑๐ ว่าด้วยการระลึกตาม มีการระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นต้น
๔. อัปปมัญญา ๔ ว่าด้วยการแผ่ไปโดยไม่มีประมาณมีเมตตาเป็นต้น
๕.อาหาเรปฏิกูลสัญญา ว่าด้วยความสำคัญในอาหาร มีอาหารที่คลุกเคล้า ปฏิกูล น่าเกลียด เป็นต้น
๖.จตุธาตุววัตถาน ๑ ว่าด้วยธาตุ ๔ ประชุมกันมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
๗. อรูปกรรมฐาน ๔ ว่าด้วยกรรมฐานที่ไม่ใช่รูปมีอากาสเป็นต้น[7]
รูปาวจรจิตมี ๑๕ ดวง แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ
๑.รูปาวจรกุศลจิต จิตที่เป็นรูปาวจรกุศลมี ๕ ดวง
๒.รูปาวจรวิปากจิต จิตที่เป็นรูปาวจรวิบากมี ๕ ดวง
๓.รูปาวจรกิริยาจิต จิตที่เป็นรูปาวจรกิริยามี ๕ ดวง[8]
รูปาวจรกุศลจิต เป็นจิตกุศล ที่เป็นเหตุให้ประพฤติเป็นไปในรูปภูมิคือ ปฐมฌานภูมิ ๑ ทุติยฌานภูมิ๑ ตติยฌานภูมิ ๑ จตุตถฌานภูมิ ๑ จิตที่ปฏิสนธิ(เกิด) ภวังค์(เป็น) จุติ (ตาย) ในรูปภูมินั้นๆ อันเป็นผลของรูปาวจรกุศล เรียกว่า รูปาวจรวิปากจิต ส่วนรูปาวจรกิริยาจิตนั้น เป็นจิตของพระอรหันต์ที่ได้ฌานตั้งแต่ ปฐมฌานถึง ปัญจมฌาน เช่นเดียวกันกับรูปาวจรกุศลจิต แต่รูปาวจรกิริยาจิตเป็นจิตกิริยาของพระอรหันต์ที่สักแต่ทำฌานตามอำนาจของความชำนาญเท่านั้นย่อมไม่ให้ผลตอบแทนในชาติต่อไป เพราะภพชาติได้สิ้นสุดลงในชาตินั้นแล้วไม่เกิดในชาติต่อไปอีก[9]
๒.๗.๓ อรูปาวจรจิต หมายถึง จิต ๑๒ ดวง ท่องเที่ยวเกิดอยู่ในภูมิอันเป็นที่เกิดแห่งวัตถุอรูปและกิเลสอรูปเป็นส่วนมาก[10] ผู้ที่เห็นโทษของรูปธรรมก็เจริญอรูปฌานผู้ที่บรรลุอรูปฌานเกิดในอรูปพรหมภูมิซึ่งไม่มีรูปเลย อรูปพรหมภูมิมี ๔ ภูมิ ในภูมินี้มีแต่นามไม่มีรูป อาจสงสัยว่าจะมีบุคคลที่มีแต่รูปเท่านั้น หรือมีแต่นามเท่านั้นได้อย่างไร ถ้าประจักษ์ลักษณะต่างๆของนามธาตุ และรูปธาตุที่ปรากฏ ทีละลักษณะ และรู้ว่าเป็นแต่เพียงธาตุที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ก็จะไม่สงสัยว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ควรแก่เหตุ ก็มีแต่รูปได้โดยไม่มีนาม และมีแต่นามได้โดยไม่มีรูป[11]
อรูปาวจรจิต ๑๒ คือ
๑. อากาสานัญจายตนกุศลจิต ๑ วิปากจิต ๑ กิริยาจิต ๑
๒.วิญญานัญจายตนกุศลจิต ๑ วิปากจิต ๑ กิริยาจิต ๑
๓.อากิญญายตนกุศลจิต ๑ วิปากจิต ๑ กิริยาจิต
๔.เนวสัญญานาสัญญยตนกุศลจิต ๑ วิปากจิต ๑ กิริยาจิต ๑ [12]
๒.๗.๔ โลกุตตรจิต หมายถึงจิตที่ข้ามโลก พ้นจากโลก ก้าวล่วง ครอบงำโลกทั้ง ๓ ตั้งอยู่ ออกจากโลกและจากวัฏฏะ [13]โลกุตตรจิตเป็นจิตที่เหนือโลก หรือจิตที่พ้นจาก กามโลก รูปโลก และอรูปโลก โลกุตตรจิต มี ๘ - ๔๐
นับ ๘โดยนับตามผู้บำเพ็ญวิปัสสนาล้วน ๆ ดังนี้
โสดาปัตติมัคคจิต ๑ โสตาปัตติผลจิต ๑
สกทาคามิมัคคจิต ๑ สกทาคามิผลจิต ๑
อนาคามิมัคคจิต ๑ อนาคามิผลจิต ๑
อรหัตตมัคคจิต ๑ อรหัตตมัคคจิต ๑
นับ ๔๐ นับตามฌาน หรือ นับตามบุคคลที่ได้ฌาน ดังนี้
โสตาปัตติมัคคจิต ๕ โสตาปัตติผลจิต ๕
สกทาคามิมัคคจิต ๕ สกทาคามิผลจิต๕
อนาคามิมัคคจิต ๕ อนาคามิผลจิต๕
อรหัตตมัคคจิต ๕ อรหัตตผลจิต๕[14]
สรุปความว่า จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์อยู่เสมอ เป็นลักษณะที่ไม่มีตัวตน เป็นสภาวะที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จิตมีทั้งหมด ๔ ประเภท หรือลักษณะการรู้อารมณ์มี ๔ระดับ คือ
๑. การรู้อารมณ์ระดับกามาวจรเป็นการรู้อารมณ์หรือนึกคิดอารมณ์ที่มีแรงชักจูงโน้มน้าวที่ถูกกำหนดโดยความต้องการอารมณ์ที่น่าปรารถนาที่ได้รับทางประตูทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๒. การรู้อารมณ์ระดับรูปาวจร เป็นการรู้อารมณ์หรือนึกคิดอารมณ์ที่สูงกว่ากามาวจร เป็นจิตได้รับการอบรมสมถกรรมฐานจนเป็นจิตที่สงบมั่นคง สามารถข่มกิเลสไว้ไม่ให้ผุดในอารมณ์ได้
๓.การรู้อารมณ์ระดับอรูปาวจรเป็นการรู้อารมณ์ที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ เพราะเมื่อมีรูปเป็นอารมณ์อยู่ ก็ยังใกล้ชิดต่อการที่จะมีกามารมณ์ เมื่อพระโยคาวจรบรรลุฌานที่ ๕(ปัญจมฌาน) ซึ่งมีองค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตา แล้วก็เพิกรูปที่เป็นอารมณ์ โดยน้อมระลึกถึงสภาพที่ไม่มีรูป
๔.การรู้อารมณ์ระดับโลกุตตร เป็นการรู้อารมณ์ที่สูงสุด กว่าการรู้อารมณ์ทั้ง๓
อย่างข้างต้น เพราะเป็นการรู้อารมณ์ระดับเหนือโลก เป็นการรู้อารมณ์ที่ผ่านการเรียนรู้และพัฒนาในระดับสูงสุด เป็นการรู้อารมณ์ที่ไม่ถูกกิเลสรบกวน
[2] สุจินต์ บริหารวนเขตต์, ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขปและภาคผนวก, (กรุงเทพมหานคร: โรงชวนพิมพ์,๒๕๓๖),หน้า ๑๙๐.
[3] Narada Maha Thera, A Manual of Abhidhamma,p10.
[4] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๑-๒-๖ จิต เจตสิก รูป นิพพาน,หน้า ๑๙.
[5] พระครูสังวรสมาธิวัตร, คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมปิฎก,หน้า ๒๐.
[6] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๑-๒-๖ จิต เจตสิก รูป นิพพาน,หน้า ๒๐.
[7] พระครูสังวรสมาธิวัตร, คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมปิฎก, หน้า ๑๕๘.
[8] Bhikkhu Bodhi, A Comprehensive Manual of Abhidhamma, ( Buddhist Publication Society Kandy Srilanka), p 52.
[9] พระครูสังวรสมาธิวัตร, คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมปิฎก,หน้า ๑๖๐–๑๖๑.
[10] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๑-๒-๖, หน้า ๒๐.
[11] Nina Van Gorkom, พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน, แปลโดยดวงเดือน บารมีธรรม หน้า ๒๖๓; Narada Maha Thera, A Manual of Abhidhamma, p 46.
[12] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๑-๒-๖,หน้า ๑๗.
[14] พระสัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะปริจเฉทที่ ๑-๒-๖,หน้า ๑๕; Narada Maha Thera, A Manual of Abhidhamma, p 60.
ไม่มีความเห็น