การครองสติไว้ได้เพื่อระลึกถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิตตามความเชื่อ สิ่งดีงามที่ได้กระทำหรือพบเห็นมา ในช่วงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายของตนเองจะหมดลง เป็นความปรารถนาสูงสุดอย่างหนึ่งของคนเรา
ความปวดเป็นอุปสรรคหนึ่งของการครองสติ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้ความปวดของตนเองเจริญสติ การดูแลรักษาความปวดให้ บรรเทาลง ด้านหนึ่งเป็นการช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานมีโอกาสครองสติ ได้ดีขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ผลอันไม่พึงประสงค์ของยาระงับปวดบางตัว ก็อาจทำให้ความสามารถในการครองสติลดลง ทำให้มีคนไข้หลายคนปฏฺิเสธหรือพยายามเลี่ยงการใช้ยากลุ่มดังกล่าวเท่าที่จะ ทำได้
สติ
ในบันทึกนี้ คำจำกัดความคำว่า สติ มีความหมายกว้างกว่า ความรู้สึกตัว ซึ่งประเมินจากการตอบสนองทางสายตา การพูด และการเคลื่อนไหวร่างกายต่อสิ่งกระตุ้นภายนอก แต่หมายถึง ความรู้ตัว ทั่วพร้อม (awareness) ต่อกระบวนการรู้-คิด หรือ พุทธิปัญญา (cognitive process) และเนื้อหาเหล่านั้นในจิตใจ (content of the mind) ของแต่ละบุคคล
ความปวด
หมายถึง ประสบการณ์ที่ไม่สบายทั้งความรู้สึกและอารมณ์ ซึ่งเกิดร่วมกับการทำลาย หรือมีศักยภาพ หรือถูกบรรยายประหนึ่งว่ามีการทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย ดังนั้น ความปวดจึงเป็นเรื่องอัตวิสัย (subjective) ขึ้นกับคนไข้แต่ละคน สามารถเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุทางกายหรือสิ่งกระตุ้นจากภายนอก แต่เกิดจากกระบวนการรู้-คิดในจิตใจหรืออารมณ์ก็ได้ และจะต้องระมัดระวัง ไม่ประเมินคนไข้ว่าไม่ปวด เมื่อไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถแสดงออกหรือสื่อสารกับผู้อื่นทั้งด้วยวาจาและภาษากายแล้ว
ผลของยาระงับปวดต่อการครองสติ
แบ่งการศึกษา ผลของยาระงับปวดต่อกระบวนการและความสามารถในการรู้-คิดตามกลุ่มประชากร ได้ดังนี้
1. กลุ่มอาสาสมัครปกติ
งานวิจัยส่วนใหญ่พบว่า อาสาสมัครที่ใช้ยาระงับปวดชนิดฉีด มีความสามารถในการรู้-คิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญและขึ้นกับปริมาณของยาที่ได้รับ ส่วนผลของยาชนิดรับประทานนั้น ไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่ายามีผลต่อความสามารถในการรู้-คิดหรือไม่ แต่ถ้ายาจะมีผลดังกล่าว มีแนวโน้มว่าจะขึ้นกับปริมาณของยาที่ได้รับเช่นกัน
2. กลุ่มคนไข้ที่มีความปวดจากโรคที่ไม่ใช่มะเร็ง
จากงานวิจัยประเภท randomized controlled trial การใช้ยาระงับปวด ไม่ทำให้ความสามารถในการรู้-คิดลดลง และมีแนวโน้มจะดีขึ้นกว่าตอนไม่ใช้ยาด้วย ซึ่งได้ผลเช่นเดียวกับงานวิจัยประเภท non-randomized comparative study แต่ตรงข้ามกับผลที่ได้จากงานวิจัยประเภท observational study ซึ่งพบว่าคนไข้ที่ใช้ยาระงับปวดกลุ่มนี้ มีความสามารถในการรู้-คิดไม่แตกต่างหรือมีแนวโน้มจะลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม
3. กลุ่มคนไข้ที่มีความปวดจากโรคมะเร็ง
สามารถแบ่งตามลักษณะการใช้ยา ดังนี้
- การใช้ยาชนิดรับประทานปริมาณคงที่เวลานาน
จากการทบทวนงานวิจัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภท cross-sectional study มีทั้งการศึกษาที่พบว่าไม่มีผลต่อความสามารถในการรู้-คิดของคนไข้ และการศึกษาที่พบว่าความสามารถลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่เป็นคนปกติ
- การเพิ่มปริมาณยาชนิดรับประทานแต่ละวัน
การเพิ่มปริมาณยาระงับปวดที่ได้รับอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของปริมาณเดิมภายใน ๓ วัน เปรียบเทียบกับคนไข้ที่ได้รับยาปริมาณคงที่ พบว่า กลุ่มคนไข้ที่เพิ่มปริมาณยามีความสามารถในการรู้-คิดลดลง
- การเสริมยาชนิดออกฤทธิ์เร็วเพิ่มจากยาชนิดรับประทานปริมาณคงที่แต่ละวัน
การใช้ยาระงับปวดชนิดออกฤทธิ์เนิ่นมานานกว่า ๖ เดือน เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนไข้ที่ใช้ยาชนิดออกฤทธิ์เร็วเสริมกับกลุ่มควบคุม ที่ใช้ยาหลอก พบว่า การใช้ยาชนิดออกฤทธิ์เร็วเสริมทำให้ความสามารถในการรู้-คิดลดลง
อ่านรายละเอียดเอกสารฉบับเต็มและเอกสารอ้างอิง ที่นี่
ความเจ็บปวดของคนไข้เป็นทุกข์นะครับ คุณหมอหายไปนานมากๆ ขอบอก...
ดาวน์โหลดบทความเก็บไว้แล้วคะ
อาจารย์คิดว่าอย่างไรกับ Palliative sedation คะ
รู้สึกหัวข้อนี้ (palliative sedation) จะอยู่ใน intensive course ที่จุฬาฯช่วงนี้พอดิบพอดี
ผมคิดว่ายาให้ทั้ง reward และ side effect ซึ่งทั้งสองส่วน จัดเป็นเรื่องของ สมถะ และ อุบัติเหตุ
ส่วนสติ จะยั้งทั้งสองส่วนดังกล่าวเสมอหากฝึกมาดี หากเผลอไปพอใจใน reward หรือ ไม่พอใจใน side effect ก็ย่อมทำให้
สติ หรือ การรู้-คิดลดลง เช่นเดียวกันครับอาจารย์
ขออนุโมทนาครับ
ลัญฉน์ศักดิ์
อาจารย์แอ๊ดครับ