สะสมเสบียง...


สะสมเสบียง...

ตังตฤณ

จากหนังสือ “ณ มรณา

“ถ้ายังมีโอกาสหลายคืนก่อนตาย

แล้วคุณใช้ทุกคืนให้เป็นประโยชน์อย่างไม่ทิ้งขว้าง

คุณจะทราบว่าในนาทีเข้าด้ายเข้าเข็ม

จวนเจียนสิ้นเลือดสิ้นเนื้ออยู่นั่นเอง

ไม่มีอะไรในโลกเป็นที่พึ่งให้กับคุณ ได้ดีกว่ากำลังสติ

ผู้มีสติก้าวลงสู่ความตาย คือผู้สบายใจว่าตนมีที่พึ่งให้ตัวเองแน่

 

ชายผู้หนึ่งนามว่า นินากาวะกำลังจะสิ้นลม ครั้งนั้นอาจารย์เซนชื่ออิกคิวได้แวะมาเยี่ยมแล้วกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมาว่า

“อนุญาตให้ผมนำทางจะได้ไหม”

นินากาวะได้ยินเช่นนั้นก็ตอบโดยปราศจากความหวังอันใด “ผมมาสู่โลกนี้ตามลำพัง และกำลังจะจากไปตามลำพัง แล้วคุณจะช่วยอะไรผมเกี่ยวกับทางมาทางไปได้เล่า?”

ท่านอิ๊กคิวตอบอย่างสงบ ด้วยดวงจิตที่เข้าถึงธรรมลึกซึ้งกว่านั้น

“ท่านคิดว่าเป็นเรื่องจริงที่ท่านเคยมา และเป็นเรื่องจริงที่ท่านกำลังจะไป นั่นก็แค่ความหลงสำคัญผิดของท่านเอง เอาอย่างนี้เถอะ ขอผมแสดงทางที่ไม่มีการมาและไม่มีการไปให้ท่านดูสักหน่อยนะ”

    ด้วยคำพูดอันฉลาดแหลมและมีพลังเปิดเผยสัจธรรมของท่านอิ๊กคิว ผนวกเข้ากับจิตในวาระสุดท้ายของท่านนินากาวะที่วางเฉยพอจะรับรู้ตามจริง ทำให้เกิดสภาวจิตเป็นอิสระจากความสำคัญนั่นหมายว่ากายใจเป็นตัวตน เห็นกายใจเป็นของอื่น เป็นของบดบังความจริง ท่านนินากาวะจึงเข้าถึงความจริงอันปราศจากสิ่งบดบังคือมหาสุญญตาที่อยู่นอกขอบเขตของกาลเวลา ไม่ได้เคยมาพร้อมกับกายใจ และไม่ได้จากไปพร้อมกับกายใจ

  ด้วยความแจ่มแจ้ง ณ ที่นั้น ท่านนินากาวะจึงยิ้มอย่างงดงามแล้วตายอย่างสงบเยี่ยงผู้ถึงซาโตริคนหนึ่ง

คิดจากความว่าง ๒


    อันที่จริงเมื่อกล่าวถึง “สิทธิ์ในการบรรลุธรรม” นั้น มีกันทุกยุค ไม่ต้องรออาจารย์เซน ไม่ต้องรอเกิดใหม่ในพุทธกาลถัดไป ขอเพียงมีความพร้อมพอ ความพร้อมดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นด้วยความเข้าใจ เพราะปราศจากเหตุผลให้เข้าใจเสียอย่างเดียวแล้ว มนุษย์จะไม่มีแรงขับดันมากพอจะเพียรพยายามทำอะไรให้สำเร็จจริงจังอย่างเดียว

   ความเข้าใจอันเป็นไปเพื่อการเดินหน้าเข้าสู่การบรรลุธรรมได้แก่การเห็นตามจริงที่ว่า ..

๑)             เราไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ทางใจก็ได้

   เคยเห็นไหม คนที่เผชิญสถานการณ์แย่ๆเหมือนกับเรา แต่กลับทุกข์น้อยกว่าเรา หรือดูไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเอาเลย นั่นคือตัวอย่างหลักฐานที่ชัดเจน ว่าทุกข์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ขึ้นกับใจที่พร้อมจะทุกข์มาก หรือพร้อมจะทุกข์น้อย หรือพร้อมจะไม่เป็นทุกข์เลย

ทุกข์ทางใจคืออะไร

   ความหมกหมุนครุ่นคิดเคร่งเครียด น่ารำคาญตนเองคือความฟุ้งซ่านซัดส่าย คือความหดหู่เศร้าหมอง คือความกระวนกระวายอยากได้อยากมี คือความขัดเคืองอันเกดจากความกระทบกระทั่งทางใจ เหล่าพระอรหันต์รู้วิธีถอนรากแห่งทุกข์ทางใจแล้ว ตื่นจากฝันว่ากายใจเป็นตัวเป็นตนแล้ว เลิกหลงสำคัญผิดว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอัตตาแล้ว กับทั้งมีจิตที่เบิกบานเป็นธรรมชาติถาวรแล้ว เป็นสุขสูงสุดอยู่กับใจที่พอ ใจที่วาง ใจที่ว่างของตนแล้ว จึงไม่อาจฟุ้งซ่าน หดหู่ หรือกระวนกระวายใดๆ ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงผิดได้อีก

๒)             เราไม่จำเป็นต้องเกิดมาก็ได้

   เมื่อเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ พวกเราไม่มีสิทธิ์คิดเป็นอื่นหรือเชื่อเป็นอื่น นอกจากเห็นไปว่า “อย่างไรก็ต้องเกิด” รวมทั้งสำคัญไปว่า “มีเราเกิดมา

   การเกิดและตายแต่ละครั้งคือห่วงโซ่ของความเข้าใจผิดต่อเมื่อปลดห่วงโซ่แห่งความเข้าใจผิดออกเสียได้เพียงชาติเดียว ปฏิกิริยาลูกโซ่แห่งความเข้าใจผิดก็จะถูกสะบั้นขาดแบบหมดทางต่อดุจตาลยอดด้วนฉะนั้น

  หากไม่พบพุทธศาสนา ไม่เข้าใจว่าเรากำลังหลสำคัญผิด นึกว่ามีเราเกิด มีเราตาย ก็ย่อมมีตัวตนขึ้นมาเสวยผลแห่งความเข้าใจผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ย่อมมีตัวตนขึ้นมาเสวยผลแห่งความเข้าใจผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอตัวหนึ่งดับไป ก็มีตัวหนึ่งขึ้นมารับช่วงแทน ทั้งที่ไม่ใช่ตัวเดียวกัน แต่ก็ต้องมารับผลของกระทำแทนกัน

  หรืออีกทางหนึ่ง แม้พบพุทธศาสนาแล้ว เริ่มเข้าใจเรื่องความหลงสำคัญผิดแล้ว แต่ก็ยังสมัครใจที่จะเสี่ยงผิดเสี่ยงถูก รักษาความสำคัญผิดต่อไปเรื่อยๆ อันนั้นก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน เป็นเรื่องความไม่รู้จักโทษของการเกิดแต่ละครั้ง ว่าสุ่มเสี่ยงต่อการทำเหตุอันนำความเดือดร้อนมาสู่ตนได้มากมายมหาศาลเพีบงใด

  หากทราบ หากเข้าใจว่ากิเลสคือแรงขับให้ทำบุญทำบาปแล้วยังไม่นึกกลัวภัย ก็ย่อมเข้าข่ายประมาท สำคัญว่ากิเลสจะสั่งให้เราทำดีได้อย่างเดียว ไม่นึกว่ากิเลสสามารถบีบเราให้เลวร้ายได้แค่ไหน

  ความหลงลืมและความไม่รู้จริงจะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงความอวดดื้อถือดีให้มีชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ส่วนความระลึกได้และความรู้ธรรมถ่องแท้ จะทำให้เราได้ข้อสรุปว่าสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจหาใช่ตัวตนตัวตนหนึ่งของเรา กลับเป็นกิเลสที่ติดตามตัวเราไปแผลงฤทธิ์ได้เรื่อยๆ ต่างหาก

  ถ้ายังไม่เห็นข้อเสียของการเกิด เห็นแต่ข้อดีของการเป็นอย่างนี้ ติดใจในการเสพซึ่งกามคุณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย บุคคลย่อมหลงระเริงอยู่ในความสุข ไม่คิดออกจากโลกแห่งกามอันน่าติดใจยินดี รวมทั้งอยากเชื่อในการมีภพอื่นที่เสวยสุขเท่านี้หรือยิ่งกว่านี้ ยากนักที่จะปรารถนาความสิ้นสุด

  ต่อเมื่อใช้ชีวิตแล้วประสบความผิดหวังเศร้าโศกบ้าง ประสบโรคร้ายเรื้อรังบ้าง ประสบความน่าระอาแห่งชราภาพบ้าง หรือสมหวังสุขสำราญแล้วปรวนแปรเป็นอื่นบ้าง นั่นเองจึงค่อยอยากหนีหายเกิดแรงดันมากพอจะบันดาลใจให้อยากปฏิบัติจริง เพื่อเห็นผลตามลำดับ ทั้งในแง่ของการบรรเทาทุกข์ใจ และทั้งในแง่ของการปิดประตูการสร้างอัตภาพใหม่ ให้ต้องเจ็บป่วย ให้ต้องแก่ชรา และให้ต้องพรากจากด้วยความตายกันอีก

เกิดมาจากความเป็นสิ่งอื่น

เพื่อดับไปสู่ความเป็นสิ่งอื่น

นี่คือความจริงแห่งสรรพสิ่ง

เมื่อเข้าใจความไร้แก่นสารข้อนี้

บุคคลย่อมเลือกที่จะดับไป

สู่ความไม่เกิดและไม่ดับอีก

                     "คิดจากความว่าง ๓"

    

   คนทั่วไปมองความตายเป็นเรื่องพิเศษ สมควรที่โลกจะต้องรับรู้การลาชั่วนิรันดร์ของเขา หากทราบว่าอาจต้องตายแบบไม่เป็นที่รับรู้ จึงเกิดความสงสารตัวเองเป็นพิเศษ ประมาณว่า โถ..ชีวิตบัดซบ ดูซิตอนอยู่ก็ไม่มีความสำคัญ แม้ตอนตายก็ไม่มีใครแลเห็น เหตุใดจึงน่าอนาถขนาดนี้ จินตนาการไปไกลถึงขั้นเห็นศพตนเองนอนอวดซากอย่างโจ่งครึ่ม อาจเป็นภูเขาหนอน หรืออาจเป็นแหล่งผลิตกลิ่นน่าคลื่นเหียน หาโลงห่อหุ้มกันอาดมิได้

   แต่สำหรับคนไม่กลัวความโดดเดี่ยว งานที่ชอบใจบางอย่างอาจต้องลุยป่าลุยเขา หรือออกต่างจังหวัดลับหูลับตาญาติมิตร เขาก็ไม่มีเวลาคิดว่าตัวเองอาจตายในท่าไหน เมื่อไหร่ อย่างไร อาจตายใต้ต้นไม้ตรงไหนสักแห่งที่ไม่มีคนเดินผ่าน อาจตายเพราะถูกฟ้าผ่าขณะไต่เขายักแย่ยักยัน หรืออาจตายเพราะโดนยิงขณะทำหน้าที่นักข่าวถ่ายภาพคนอื่นยิงกัน ทุกความเป็นไปได้ไม่ใช่เรื่องน่าพรั่นพรึงตราบที่งานที่รักพาไป คนเหล่านี้อาจไม่มีกระทั่งจินตนาการในหัวว่าตัวจะตายดีหรือตายทุเรศในสายตาคนอื่น เพราะเห็นว่าเนื้อหาของความตายก็คือความตาย เป็นเรื่องธรรมดาเสมอกัน ส่วนคนอยู่ข้างหลังจะเห็นแล้ววิพากษ์ วิจารณ์ต่างๆนานา สนุกปากแค่ไหนก็ช่างปะไร

   .ใช้ชีวิตต่างกัน มุมมองต่างกัน ในหัวก็เห็นความเป็นกับความตายต่างกัน

การใช้ชีวิตเริ่มจากวิธีคิด วิธีจินตนาการ และวิธีตั้งมุมมองของแต่ละคน ซึ่งเผยออกมาเป็นวิธีพูดกับวิธีการกระทำการจนได้ ไม่ช้าก็เร็ว โดยย่นย่อใครมีเจตนาอย่างไร ตัวตนก็เป็นอย่างนั้น ผลอันควรตัวตนก็เกิดขึ้นอย่างนั้น

   เจตนาก็คือกรรม กรรมคือเจตนา สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ หากสร้างตัวตนอันเฉื่อยชาควรคู่กับความเหงาหงอย ความเหงาหงอยก็เพรียกหาเสมอ แต่หากสร้างตัวตนอันกระตือรือร้นควรค่ากับความรื่นเริง ความรื่นเริงก็จะอยู่เป็นเพื่อนตลอดไป

   เวลาคุณตาย คนแรกที่เห็นไม่ใช่เพื่อนของคุณ ไม่ใช่ญาติของคุณ ไม่ใช่คนรักไหนๆของคุณ แต่เป็นกรรมของคุณเอง กรรมของคุณ ไม่มีตาเห็น ไมมีใจรู้ แต่เขาอยู่กับคุณในที่ที่คุณตาย ไม่ว่าอยู่อย่างเดียวดายหรือห้อมล้อมด้วยญาติมิตร คุณจะเห็นเขาโดยความเป็นนิมิตมัจจุราชหรือเทวดาหน้าตาอย่างไรก็ตาม เขาจะเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ โดยขั้นแรกสุดคือทำให้คุณตายอย่างเศร้าหมองหรือเบิกบาน

   แม้คุณเห็นว่ายังไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องเชื่อว่าตายแล้วไปไหน แต่คุณคงอยากเป็นสุขก่อนตาย ไหนต้องเกิดแบบร้องไห้แล้ว จะตายทั้งทียิ้มแย้มเสียหน่อยจะเป็นไร

  กับคนเชื่อเรื่องคติข้างหน้ายิ่งแล้วใหญ่ ความสุขก่อนตายเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด เพราะใจที่เป็นสุขเป็นใบรับประกันใบเดียวที่ตัวคุณรู้สึกว่าจับต้องได้ ความสุขใกล้ตายจะทำให้คุณนึกถึงตั๋วเดินทางเฟิร์สคลาสหรืออย่างน้อยก็ชั้นบิสิเนสของสายการบินระดับโลก ขณะที่ความทุกข์ใกล้ตายจะทำให้คุณนึกถึงตั๋วขาดๆที่ซื้อแบบลวกๆรีบๆ เพื่อขึ้นขบวนรถไฟสกปรก เห็นๆอยู่ว่าแออัดยัดเยียดยิ่งกว่ารถที่ขนหมูไปเชือด

  ตอนยังอยู่ ใจคุณจะนึกถึงจิตก่อนตายว่าเป็นความใกล้ดับ แต่เชื่อเถอะครับ ใกล้ตายจริงๆใจคุณจะนึกถึงการเดินทางต่อ ทำนองเดียวกับที่วินาทีนี้คุณจะไม่รู้สึกใกล้ชิดกับการหลับฝัน ไม่เห็นการหลับฝันโดยความเป็นการเดินทางอันยาวนานหลายชั่วโงไปสู่ที่หมายคือกาตื่นนอน ต่อเมื่อใกล้หลับจริงๆ คุณจะสัมผัสถึงความเคลิ้ม ความโรยแรง และความดิ่งลง อย่างรู้สึกได้ถึงการรอที่จะตื่นขึ้นในอีกหลายๆชั่วโมงข้างหน้า

  การใช้ชีวิตเป็นปกติอย่างทุกวันนี้ คือตัวกำหนดว่าคุณเลือกให้กรรมแบบไหนเห็นคุณก่อน ระหว่างกรรมสว่างกับกรรมมืด หากคุณสมัครใจจะให้กรรมมืดนำทาง ก็จะมีปกติก่อกรรมดำไว้มากโดยไม่ต้องแคร์ใคร ไม่ไปสนใจเตรียมตัวรับความจริงสุดท้าย แต่หากเผื่อใจอยากให้กรรมสว่างนำทาง ทำนายได้ว่าคุณต้องสวนกระแสโลกมาไม่น้อย เรียกว่า พยายามกัดฟันทำกรรมขาวไม่ได้ขาด ซึ่งก็ดีแล้วคุณจะเป็นผู้ให้คำตอบแก่ตนเองในขณะเข้าด้ายเข้าเข็ม ว่ากรรมขาวเท่านั้นกระทำจิตให้สว่าง เบิกบาน อบอุ่น และเชื่อมั่น ไม่ใช่กรรมดำเลยที่ทำให้เป็นสุขก่อนตาย เยี่ยงเดียวกับคนเห็นตั๋วเฟิร์สคลาสในมือ ย่อมรู้สึกชัดเจนอยู่เองว่าเดี๋ยวได้นั่งสบาย ได้ถ่ายสะดวก ได้พวกร่วมเดินทางหน้าตาดี ได้มีปลายทางที่เจริญแล้ว เพราะเที่ยวบินที่มีเฟิร์สคลาสคงไม่พาไปลงสนามบินกลางสงครามของบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างแน่นอน

 

สิ่งที่คุณกำลังมี

ควรแล้วกับสิ่งคุณเคยทำ

สิ่งที่คุณกำลังทำ

สมควรแล้วกับสิ่งที่คุณจะต้องเผชิญ

                                "คิดจากว่าง ๒"

    “แต่ละวันในชีวิตคนเรา ล้วนแล้วแต่เป็นเวลาแห่งการหยอดกระปุกทางความรู้สึกทั้งนั้น หยอดความน่าเบื่อด้วยพฤติกรรมโง่ๆมากเข้า ความรู้สึกเบื่อก็หนักอึ้งเกินทน และจะทำให้งอแงเหมือนเด็ก ไม่ยอมโตไปตลอดชีวิต

   ชีวิตของคนๆหนึ่งผูกอยู่กับความคิดทั้งหมดที่มีอยู่ นั่นหมายความว่า ถ้าความคิดเปลี่ยนแปลงไปทั้งยวงการเกิดใหม่ก็เริ่มต้น แค่ฆ่าความเข้าใจผิดได้ “ตัวฉัน” ก็ตายโดยกายไม่แตกดับ”

   “ฉันและทุกคนตายกันทุกวันอยู่แล้ว ไม่โดนฆ่าทิ้งมันก็แปรไปเป็นอื่นอยู่แล้ว ทั้งสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และความรู้สึกนึกคิดไม่มีซ้ำตัวเดิมเลยสักวัน ที่สืบๆ ต่อมาเรื่อยคือความเข้าใจผิด คิดแต่ละวันเป็นทุกข์ตัวเดียวกัน และสำคัญว่าจะเป็นทุกข์ตลอดไปเท่านั้น ดับความเข้าใจผิดเสียได้ ความทุกข์ก็ดับตามไปเดี๋ยวนั้นเอง ”

เกิดทั้งน้ำตาไม่น่าอาย

แต่อย่าตายทั้งน้ำตาก็แล้วกัน

 

คิดจากความว่าง ๒

หมายเลขบันทึก: 407351เขียนเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2010 16:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 10:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณที่นำบทความดีๆมาให้อ่านนะคะ...แล้วจะหาหนังสือดีๆเล่มนี้มาอ่านบ้าง

สามารถเข้าไปอ่านในเวบไซต์ ของตังตฤณ ได้ที่ http://dungtrin.comครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท