ถิ่นชนอิเหนา ดินแดนแห่งหมื่นเจ็ดพันเกาะ


สภาพทั่วๆ ไปของชาวอินโดนีเซีย

แผนที่หมู่เกาะอินโดนีเซีย

อินโดนีเซีย: แผ่นดินของชาวอิเหนา

ประเทศที่ตั้งอยู่บนแนวภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอันยาวเหยียดตั้งแต่ภาคใต้ของไทยไปจนจรดด้านเหนือของออสเตรเลีย.....ประเทศหมู่เกาะที่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอินเดียทางฝั่งตะวันตก.....มหาสมุทรแปซิฟิกทางฝั่งตะวันออก......มีเกาะรวมกันมากกว่าหมื่นเจ็ดพันเกาะ......มีผู้คนอาศัยอยู่กว่าสองร้อยล้านคน...แยกเป็นเผ่าพันธุ์ต่างๆมากกว่าร้อย....ตั้งแต่ยังไม่นุ่งผ้าล่าหัวคนในใจกลางเกาะกะลิมันตันและอีเรียนจายา.....จนถึงรุ่มรวยในวัฒนธรรมเช่นเกาะชวาและบาหลี.....มากกว่าค่อนเป็นชาวมุสลิมที่เป็นสายกลาง...... เป็นประเทศนับถือศาสนาอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก

อินโดนีเซียมีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าไทยเกือบสี่เท่าโดยประมาณ.....ประกอบด้วยเกาะใหญ่ๆ ห้าเกาะ ไล่ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกคือ....เกาะสุมาตรา......เกาะชวา (รวมบาหลี).... เกาะกะลิมันตัน..... เกาะสุลาเวสี (รวมหมู่เกาะโมลุกกะ)..... และฝั่งตะวันตกของเกาะปาปัว (คนอินโดฯ เรียกว่าอีเรียนจายา).... และยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกมากมาย.....เกาะสุมาตรา เกาะชวาและเกาะสุลาเวสีตั้งอยู่บนแนวภูเขาไฟที่ยังมีไฟอยู่.....เกาะกะลิมันตันเป็นเกาะที่สงบที่สุด....ไม่มีแนวภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่แต่อย่างใด......ส่วนอีเรียนจาร์ยาเป็นส่วนที่กำลังแยกตัวห่างออกเรื่อยๆจากแผ่นดินแม่ทวีปออสเตรเลีย

Indonesian tectonic setting (ที่มา: gaofengmining.com)

เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมที่มีประวัติหลักฐานบ้านเมืองมานมนานคือ....พวกชวาและพวกซุนด้า......ทั้งสองเป็นคู่รักคู่แค้นกันเรื่อยมา.....กรุงจาการ์ต้า เมืองหลวงของประเทศว่าไปแล้วตั้งอยู่บนอาณาจักรเดิมของพวกซุนด้า.....ส่วนเมืองหลวงเดิมของพวกชวาคือเมืองย็อกยาการ์ต้า....เมืองที่มีพระมหาเจดีใหญ่บรมพุทโธ (คนอินโดฯเรียกโบโรบุดูร).....และเมืองที่ภูเขาไฟเมอราปีกำลังพ่นเถ้าถ่านอยู่ในขณะนี้.....บนเกาะสุมาตราก็คืออาณาจักรของพวกมาเลย์หรืออาณาจักรศรีวิชัยนั่นเอง......นอกนั้นเป็นบ้านเมืองเล็กๆและชนเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่ในป่ากัน

แต่ที่น่าแปลกใจคือมีอาณาจักรเล็กๆที่อาศัยอยู่กับป่าริมฝั่งทะเลด้านตะวันออกของเกาะกะลิมันตัน......เรียกกันในชื่อว่าอาณาจักรกูไต......เป็นอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักกันในอินโดฯเลยทีเดียว.....และนับถือสัตว์ในตำนานของป่าหิมพานต์ที่เรารู้จักกันดีคือพญาคชสีห์.....มีหัวเป็นสิงโตแต่มีงวงเป็นช้าง... (หรือว่าคือญาติดั้งเดิมของเผ่าไตก็ไม่รู้ได้)

หลักภาษาของชาวกูไต kutai อักขระช่างคุ้นหน้าคุ้นตามาก (ที่มา: lordcaocao2025.hubpages.com)

คชสีห์ของชาวคูไต (ที่มา: theindonesiampalaces.blogspot.com)

ปัจจุบันเชื้อชาติหลักๆในสังคมอินโดนีเซียคือ ชวา มาเลย์ บาตั๊ก ซุนด้า ดายัค บูกิส บาหลี มาลุกู อีเรียนจายา....และคนจีนอพยพ.....คนชวาเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดมีเป็นร้อยล้านคน รองลงมาเป็นพวกซุนด้าหลายสิบล้านอาศัยอยู่บนเกาะชวาเป็นหลัก.....พวกคนมาเลย์หรือมาลายูมีเป็นสิบๆ ล้านส่วนมากอาศัยอยู่บนเกาะสุมาตรา....คนดายัคมีหลายล้านเป็นคนพื้นเมืองของเกาะกะลิมันตัน....คนบาตั๊กหลายล้านมีถิ่นเดิมอยู่แถวๆเมืองเมดานตอนเหนือของเกาะสุมาตรา.....คนซุนด้าหลายล้านมีถิ่นเดิมอยู่แถวฝั่งขอบตะวันตกของเกาะชวา.....ส่วนชาวจีนในอินโดฯมีเป็นสิบล้าน....กระจายตัวอยู่ตามเมืองต่างๆ....กุมเศรษฐกิจและการค้าของประเทศไว้ในกำมือ

ภาษากลางที่ใช้กันของอินโดฯคือภาษาที่คล้ายภาษามาลายู....นักเขียนไทยหลายคนเข้าใจผิดว่าใช้ภาษา...บาฮาซ่า...bahasa...ซึ่งคนอินโดฯแปลว่าภาษา.....เป็นคำที่มาจากบาลีสันสกฤต....ภาษากับบาฮาซ่าเหมือนกัน....แล้วทำไมต้องใช้ภาษามาลายูเป็นภาษากลาง....ทำไมไม่ใช้ภาษาชวาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ.....ก็เนื่องมาจากฮอนแลนด์ตอนปกครองอินโดฯกำหนดให้ใช้ภาษานี้เป็นหลักเรื่อยมาเป็นร้อยๆปี.....ภาษาอินโดฯนี้จะมีคำมากมายที่นำเข้ามาจากบาลีสันสกฤตเหมือนบ้านเรา....รวมทั้งภาษาเดิมหลายคำก็คล้ายของเรา....แต่ของอินโดฯจะยาวกว่าของไทยที่มักจะชอบทำให้สั้นเข้าๆ......ดังนั้นจะสังเกตว่าชื่อของคนอินโดฯโดยเฉพาะคนชวามักจะยาวมาก เลยเรียกกันด้วยชื่อย่อเป็นหลัก.......เช่น ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจะเรียกกันว่าท่าน SBY เท่านั้น

ยกตัวอย่างคำนำเข้าที่ความหมายเหมือนกับไทย....สะ-หวา-มี เท่ากับ สามี....อิ-สะ-ตรี เท่ากับ เมีย หรือผู้หญิง..... อุด-สา-หะ เท่ากับ อุตส่าห์ หรือพยายาม....รา-เม่ เท่ากับ รมัย หรือเต็ม.....ปุต-ตระ เท่ากับ บุตร....หรือคำเดิมที่ความหมายเหมือนไทย.....อา-กู๊ เท่ากับ กู....ก่า-มู๊ เท่ากับ มึง.....มา-กัน เท่ากับ กิน....เปอ-กี เท่ากับ ไป....มา-ตา เท่ากับ ตา....ตวง เท่ากับ ตักตวง.....กรา-บาว เท่ากับ ควาย

ภาษาชวาก็ยังใช้พูดกันอยู่โดยทั่วไปในหมู่คนชวา....แต่น่าเสียดายภาษาเขียนไม่ค่อยเห็นแล้ว....ตัวเขียนคล้ายอินเดีย พม่า หรือขอม....ภาษาของคนกลุ่มอื่นๆก็ยังใช้กันอยู่ในกลุ่มของตน...ซึ่งคนนอกกลุ่มจะฟังไม่เข้าใจคนละภาษาเลย....ยกเว้นพวกที่อยู่กับอีกพวกนานๆแล้วเรียนรู้....คนชวา ซุนด้า และรวมถึงมาลายู มีพัฒนาการวัฒนธรรมมากที่สุด จะเห็นความซับซ้อนอยู่ในศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตมากกว่ากลุ่มอื่นๆ......ปัจจุบันยังมีพระราชาหรือสุลต่านของชาวชวาที่สืบทอดตำแหน่งกันมาแต่โบราณพำนักอยู่ที่วังของราชาที่เมืองย็อกยาการ์ต้า.....และยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนในเมืองนั้นด้วย

Typical Jawanese and Cultures (ที่มา:BCc87wICUAI7Mod_jpg.mht และ kolomkita.viva.co.id)

คนซุนด้าโดยเฉพาะผู้หญิงขึ้นชื่อว่าสวยคมขำ....เป็นคนส่วนน้อยบนเกาะภูเขาไฟชวา...อาศัยเมืองบันดุงเป็นถิ่นใกล้กรุงจาการ์ต้า......บันดุงมีบรรยากาศคล้ายเชียงใหม่มาก.....ตั้งอยู่ในหุบเขาสูงกว่าน้ำทะเลหลายร้อยเมตร...เป็นเมืองศิลปวัฒนธรรมและการศึกษาอันเอกอุของประเทศแห่งหนึ่งทีเดียว......เมื่อยี่สิบปีที่แล้วอากาศเย็นสบายตลอดปี.....นอนโดยไม่ต้องเปิดแอร์โรแมนติกมากๆ

ผู้หญิงของซุนด้าเมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง (ที่มา:anthrocivitas.net)

คนบาหลีคือคนชวาดั้งเดิม...แต่กลายมาเป็นคนบาหลีนานมากแล้วตั้งแต่ศาสนาฮินดูเสื่อมบนเกาะชวา...ศาสนาฮินดูเข้ามาก่อนศาสนาอื่นและตามมาด้วยศาสนาพุทธ...และถูกแทนที่โดยศาสนาอิสลามในท้ายสุด...คนชวา คนซุนดาและคนบาหลีมีลักษณะรอมชอมสูงมาก.....ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อด้อย...ข้อดีคือเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย นอบน้อมมีสัมมาคารวะ....ข้อด้อยคือบ่อยครั้งก็อะลุ่มอล่วยกันมากเกินไป (คล้ายท่านผู้นำของเราคนหนึ่ง).....ศาสนาที่คนชวาและซุนด้านับถือคืออิสลาม.....แต่เป็นอิสลามที่ผสมด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเองอย่างมาก.....ดังนั้นจึงไม่สุดโต่ง.....คล้ายกับว่าเป็นนิกายใหม่ที่ไม่เหมือนทั้งชีอ่ะห์และซุนนี่ในแถบอาหรับ

ดอกลั่นทมและเทศกาลบูชาพรหมาสัญลักษณ์ประจำถิ่นคนบาหลี (ที่มา: popbali.com)

ผู้หญิงของบาหลีก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง (ที่มา:sosbud.kompasiana.com)

คนมาเลย์ที่อยู่บนเกาะสุมาตราเรียกว่าคนสุมาตรา....มีวัฒนธรรมเหมือนกับคนมาเลเซียและภาคใต้บ้านเรา.....เป็นกลุ่มชนชาติเดียวกัน....ใครที่ฟังภาษายาวีออกก็จะพอเข้าใจภาษามาลายู....เหมือนไทยกับลาว.....นิสัยจะออกแนวดุดันมากกว่าคนชวา....ในขณะที่คนชวาบอก เยส เยส ใจอาจยังไม่ยอมรับ....แต่คนสุมาตราจะเถียงก่อนแล้วยอมรับฟังภายหลัง

คนบาตั๊กอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราแถบเมืองเมดาน.....บนยอดปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่มาก....ที่ระเบิดออกและกลายเป็นทะเลสาบชื่อ..โตบะ คนบาตั๊กเล่าว่าบรรพบุรุษพวกเขาอพยพมาจากชนกลุ่มน้อยเผ่ากะเหรี่ยงของบ้านเรา....เป็นคนที่ทำงานหนัก...โดยเฉพาะงานภาคสนาม...เป็นคนตรงไปตรงมาหน้าตาดุดันและแน่นอนนิสัยดุดันและเชื่อมั่นในตัวเองเสียยิ่งกว่าชาวมาเลย์....คนมาเลย์จะเกรงใจคนบาตั๊ก.....ชาวบาตั๊กไม่น้อยศึกษาสูงและมีอิทธิพลในสังคม.....คนมาเลย์หรือสุมาตรานับถืออิสลามและเคร่งกว่าทางชวา.....ส่วนคนบาตั๊กนับถือคริสต์

บ้านเรือนและการแต่งกายประจำชนเผ่าของบาตั๊ก (ที่มา: perpustakaancyber.blogspot.com และ anthroarcheart.com)

เมื่อพูดถึงคนมาเลย์ไม่พูดถึงคนอาเจ่ห์ไม่ได้.....อาเจ่ห์ที่โดนสึนามิถล่มพร้อมๆกับภูเก็ตเมื่อปลายปี 2547.....ผู้คนตายกันเป็นเบือหายกันเป็นเมืองๆเป็นแสนๆคน....อาเจ่ห์ที่ทำสงครามกับรัฐบาลกลางมาหลายสิบปี....อาเจ่ห์ที่ได้สิทธิปกครองด้วยกฏหมายชารีอะห์....ตามหลักศาสนาอิสลามที่เคร่งครัด....มีตำรวจศาสนาคอยตรวจตราการใช้ชีวิตผู้คน....ศาสนาอิสลามเข้ามาอินโดฯที่อาเจ่ห์เป็นแห่งแรกๆ.....แล้วทำไมอาเจ่ห์จึงต้องการแยกจากอินโดฯ

ช่วงอินโดฯต่อสู้กับดัชท์หรือฮอร์นแลนด์เพื่ออิสรภาพ....ก็ได้คนอาเจ่ห์นี่แหล่ะช่วยกันบริจาคเงินสมทบทุนเพื่อต่อสู้....โดยมีข้อแม้ว่าเมื่อได้อิสรภาพแล้วต้องให้สิทธิอาเจ่ห์ปกครองตนเอง...พวกเขาต้องการปกครองโดยกฏหมายมุสลิมบริสุทธิ์....แต่เมื่ออินโดฯต่อสู้จนประกาศอิสรภาพได้แล้วกลับไม่ยอมทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้.....เหมือนพม่าที่ฉีกสัญญาปางโหลง.....ชาวอาเจ่ห์อกหักและเก็บไว้ในใจ....แต่บางส่วนตัดสินใจประกาศสงครามกองโจรกับรัฐบาลกลางเรื่อยมา.....จนมาระเบิดเมื่อซูฮาร์โตลงจากอำนาจ

รัฐบาลกลางสามารถตกลงกับคนอาเจ่ห์ได้เมื่อหลังเหตุการณ์สึนามิ.....ยินยอมให้คนอาเจ่ห์ใช้หลักชารีอ่ะห์ร่วมในการปกครอง....คอเหล้าทั้งหลายถ้าไปเที่ยวอาเจ่ห์เสียใจด้วย.....ห้ามเด็ดขาด....ผู้หญิงต้องแต่งตัวให้ถูกตามที่ศาสนาระบุไว้....นักเฟมินิสในเมืองไทยหมดสิทธิในการเรียกร้องใดๆทั้งสิ้น

มุมหนึ่งที่หน้าทะเลเปิด เมือง Meulaboh ด้านใต้ของ Aceh สึนามิวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ยังแสดงตนทิ้งร่องรอยไว้อย่างน่าสพรึง มะพร้าวยอดด้วนยืนต้นตายและครัวที่เหลือเพียงฐานเตา

ข้ามไปที่เกาะกะลิมันตันเกาะที่ใหญ่พอๆกับไทยทั้งประเทศ.....แต่มีผู้คนอาศัยอยู่เพียงสิบกว่าล้านคนเท่านั้น....ชาวพื้นเมืองของเกาะนี้คือชาวดายัคมีมากมายหลายพวกหลายเผ่าพันธุ์....เป็นวัฒนธรรมแบบชาวป่าแต่ไม่ใช่คนป่า....เหมือนๆกับชนกลุ่มน้อยในเมืองไทย....มีวัฒนธรรมย้อนกลับไปนานหลายร้อยปีอาจถึงพันๆ ปี....อยู่กับป่านับถือป่า...มีราชาเป็นของตนเอง...คล้ายอวตาร

คนดายัคผิวขาวออกเหลือง.....สุภาพซื่อตรงสันโดษตามวิถีแห่งป่าแต่ไม่ยอมคนถ้าต้องสู้แล้วถวายชีวิต....คนทั้งหลายจึงกลัวเกรงจะพยายามไม่ทำให้ดายัคโกรธ.....ใครได้ใจดายัคแล้วไม่ผิดหวัง....เขาจะคือเพื่อนที่พร้อมตายก่อนคุณ....ย้อนหลังไม่ไกลเพียงสิบยี่สิบปีที่แล้ว......หลายเผ่าของดายัคที่อยู่ในส่วนลึกของเกาะยังทำสงครามล่าหัวคนกันอยู่....รวมถึงมีพิธีกินเนื้อศัตรูด้วย....ไม่ใช่ความป่าเถื่อน....เป็นวัฒนธรรมของคนที่อยู่กับป่า.....วิถีชีวิตคล้ายอินเดียนแดง....แต่อยู่ในป่าลึก

ชาวดายัคและวัฒนธรรมแบบอวตาร (ที่มา:primadonablog.blogspot.com)

ศิลปะลวดลายที่เป็นเอกลัษณ์หนึ่งเดียวของชาวอวตารดายัค สังเกตได้ถึงความเชื่อมโยงของวิถีชีวิตในป่า

Longhouse ของชาวดายัคทั่วไปอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่มาก (ที่มา: lembagaenergihijau.blogspot.com)

ชาวดายัคส่วนใหญ่นับถือผีและคริสต์มากกว่าอิสลาม....และเคร่งครัด....บนเกาะกาลิมันตันมีผู้คนอพยพมาอาศัยอยู่หลากหลายทั้งมาเลย์ ชวา และจีนอพยพซึ่งมีมากที่เมืองปนเตียนัก.....ซึ่งถือว่าเป็นเมืองของคนจีนไปแล้ว....จีนที่อพยพมาอยู่นานแล้วทำอาชีพหลากหลายตั้งแต่ค้าขาย...ชาวนา...กรรมกร...ชาวสวน...นางโลม...คนรับใช้....และอื่นๆทุกอย่างที่นึกได้.....ได้เห็นคนจีนอพยพที่ยังจนจริงๆก็ที่นี่เท่านั้น

ถัดจากกะลิมันตันไปทางตะวันออกคือหมู่เกาะสุลาเวสี......ชื่อหมู่เกาะเครื่องเทศก็มาจากแถบนี้รวมถึงหมุ่เกาะโมลุกกะหรือมาลุกูด้วย......ผู้คนพื้นเมืองของที่นี่มีหลากหลายพวกและนับถือจิตวิญญานแต่ดั้งเดิมเหมือนชาวดายัค....เนื่องจากเป็นเกาะเล็กๆจึงรับอิทธิพลของทะเล เป็นชาวเลเต็มตัว...เผ่าที่มีชื่อเสียงและเป็นนักสู้ดุดันคล้ายคนบาตั๊กชื่อบูกิส.....นอกนั้นเป็นพวกมาคาซ่า โตราจาและมันดาร์....มีประเพณีแปลกแต่จริงอย่างหนึ่งคือ....พิธีเชิญคนตายกระโดดขึ้นเขาไปยังสุสานของตัวเอง.....ไม่เชื่อล่ะซิ

บ้านชาวเลทรงเรือโตราจา Toraja (ที่มา: nusantara-cultures.blogspot.com)

พิธีสำคัญ potong kerbau ของชาวโตราจา (ที่มา: baltyra.com)

ด้านเหนือของเกาะสุลาเวสีมีคนเผ่านึงเรียกว่าคนมานาโด้....ติดกับด้านใต้ของเกาะมินดาเนาฟิลิปปินส์....หน้าตาคล้ายกัน...แต่ผิวขาวกว่าโดยเฉพาะหญิงสาว....เป็นที่รับรู้กันว่าขาวและสวยเป็นอันดับต้นๆของประเทศ....คนส่วนใหญ่บนหมู่เกาะแถบนี้นับถือคริสต์

ด้านตะวันออกสุดของประเทศคืออีเรียนจายา...หรือเกาะปาปัวนิวกินี...ที่นอกเมืองยังมีผู้คนที่ยังอยู่แบบชาวป่าไม่นุ่งผ้า.....ผู้หญิงใช้ผ้านิดเดียวปิดตรงนั้นไว้.....ข้างบนเปิดโล่งเซ็กซี่จริงๆ......ส่วนผู้ชายจะมีเพียงกระบอกไม้สวมไอ้จู๋ไว้แล้วทำเชือกผูกที่เอวเพียงเท่านั้น.....ผู้คนที่นี่เป็นพวกเดียวกับชาวอะบอริจิ้นในออสเตรเลีย....ผิวสีดำตัวใหญ่และผมหยิก.....ยังไม่ค่อยยอมรับวัฒนธรรมจากภายนอกมากนัก.....หลายๆคนถามว่าทำงานอย่างที่เราทำไปทำไม....เพราะอยู่และหากินกับป่าก็พอเพียงแล้ว....ส่วนใหญ่นับถือคริสต์.....ชอบกินเหล้ามากโดยเฉพาะผู้ชาย

ผู้ชายอีเรียนยังสวมโกเตอกา koteka (ที่มา: gurutgh.blogspot.com)

เริ่มเมื่อยมือแล้ว.....มาถึงผู้อพยพกันบ้างชาวจีนโพ้นทะเลทั้งหลาย.....อย่างที่บอกชาวจีนที่อาศัยอยู่ในอินโดฯมีเป็นสิบล้านคน....นับถือทั้งคริสต์และพุทธ....ส่วนใหญ่จะฐานะดีกว่าคนสายพันธุ์อื่นๆในสังคมเพราะค้าขาย....กุมอำนาจเศรษฐกิจของประเทศไว้ในมือ....ยกเว้นคนจีนที่เมืองปนเตียนัก....แล้วทำไมคนจีนอินโดฯจึงไม่สามารถผสมพันธุ์กับคนอื่นได้เหมือนที่เมืองไทย....สาเหตุหนึ่งที่ต้องยอมรับคือเรื่องความแตกต่างทางศาสนาโดยเฉพาะกับคนที่นับถืออิสลาม

ซึ่งไม่เฉพาะคนจีนเท่านั้น....คนที่นับถือคริสต์ที่ไม่ใช่คนจีนก็มีน้อยมากที่แต่งงานข้ามศาสนากับคนที่นับถืออิสลาม....ถ้าไม่รักกันจริงๆ.....เนื่องจากกฏของมุสลิมจะแต่งเข้าเท่านั้น.....แต่ของคนจีนอินโดฯมีเบื้องหลังที่มากกว่านั้น.....ตั้งแต่ยุคอาณานิคมที่ดัชท์ใช้คนจีนเป็นนายงานคนพื้นเมือง....จนมาถึงซูการ์โน ปธน.คนแรกที่ช่วงท้ายๆโปรจีนเป็นอย่างมาก....เมื่อคนอยู่เดิมเกลียดคนจีนมากเข้า....ในที่สุดซูการ์โนก็ถูกโค่นโดยซูฮาร์โต

ซูฮาร์โตเป็นลูกชาวนาจนๆจากตอนกลางของเกาะชวา.....โค่นอำนาจซูการ์โน.....ก่อนที่จะถูกโค่น นายพลในกองทัพหลายคนถูกฆ่า....ยกเว้นซูฮาร์โต....พร้อมเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันไปต่างๆ นาๆ ท่ามกลางไฟสงครามชิงความเป็นหนึ่งระหว่างค่ายเสรีและค่ายคอมมิวนิสต์.....ยังไม่นับรวมชาวจีนที่เล่ากันอย่างสยองว่าเป็นแสนๆที่ต้องสังเวยในช่วงนั้น.....แม่น้ำสายหนึ่งบนเกาะกะลิมันตันเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที......แม่น้ำสีแดงสายนั้นชื่อว่า....บาริโต่ะ....ใหญ่กว่าเจ้าพระยาของเรา......ตั้งแต่นั้นมาชาวจีนต้องเก็บเนื้อเก็บตัว.....บ้างหนีออกนอกประเทศ

ชาวจีนที่เหลืออยู่ต้องก้มหน้าทำมาหากินเพียงอย่างเดียว....ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเด็ดขาด....ทุกคนเก็บอดีตไว้ในใจถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น....อยู่ในฐานะผู้อาศัย....แต่กุมเศรษฐกิจของประเทศ...แปลกมั้ย......ว่ากันว่าที่สิงคโปร์ร่ำรวยทุกวันนี้.....มีเงินกองทุนล้นเหลือ......ไม่ใช่เงินของคนสิงคโปร์หรอก....ที่เห็นน่ะเงินชาวจีนอินโดฯทั้งนั้น....ถ้าเขาถอนเงินออก....สิงคโปร์จะเจ๊งในพริบตา....สิงคโปร์จึงต้องง้อคนจีนอินโดฯเป็นอย่างมาก

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจีนอินโดฯจะรู้สึกแปลกแยกจากคนอื่นๆ....ไม่พยายามอยู่ร่วมและข้องเกี่ยวโดยเฉพาะการแต่งงาน.....ความสัมพันธ์จึงมักเป็นแบบนายจ้างลูกจ้าง....หรือแบบคนรู้จักเท่านั้น...จะไม่สนิทแนบแน่นอย่างบ้านเรา....มีบ้างแต่น้อยมาก...ช่วงเกิดเหตุการณ์ที่ซูฮาร์โตลงจากอำนาจ....บ้านเมืองระส่ำระสายอยู่หลายปี....ชาวจีนเป็นพวกแรกที่โดนโจมตี....บ้านช่องตึกแถวของคนจีนหลายต่อหลายหลังถูกปล้นเผาทำลาย....แม้ไม่เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน

บ้านช่องตึกแถวของคนจีนในปัจจุบันจึงเต็มไปด้วยกำแพงรั้วเหล็กบวกลาดหนามที่แข็งแรงมาก....หลังซูฮาร์โตลง....หลายคนคาดว่าอินโดฯอาจแตกออกเป็นห้าประเทศย่อยๆ คือ ชวา สุมาตรา กะลิมันตัน สุลาเวสี และอีเรียนจาร์ยา....แต่ในที่สุดอินโดก็ยังคงอยู่เป็นประเทศเดียวได้....ยกเว้นติมอร์เท่านั้นที่แยกตัวออกไปได้ด้วยแรงผลักดันอย่างสุดๆของออสเตรเลีย.....ลือกันไปว่าต้องการหาประโยชน์จากแหล่งน้ำมันช่วงต่อระหว่างติมอร์กับออสเตรเลีย.....น่ารักมั้ย

แล้วทำไม....อินโดฯจึงผ่านมาและยังคงเป็นประเทศที่อยู่ร่วมกันได้....บนความแตกต่างหลายหลาย...ทั้งเผ่าพันธุ์.....ทั้งสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะต่างๆแยกห่างกัน....ทั้งศาสนาและความเชื่อที่ช่วงนั้นการเผาโบสถ์คริสต์และสุเหร่ามีให้เห็นโดยทั่วไป....อันนี้ต้องยอมรับการทำงานของปธน. สองสามคนในช่วงหลังที่ไม่สุดโต่ง....ไม่นำพาประเทศเข้าสู่ศาสนานิยม...และเผ่าพันธุ์นิยม...ยึดถือความสำนึกร่วมของชาติที่เรียกว่าอินโดนีเซียเป็นหลัก

ชาติที่ต้องต่อสู้เรียกร้องเอกราชมาด้วยกัน....ดังนั้นคนในชาตินี้ต้องยอมรับและเคารพความหลายหลายของความเชื่อทางศาสนาและเผ่าพันธุ์ให้ได้.....นอกนั้นยังได้ผลักดันการกระจายอำนาจไปยังจังหวัดต่างๆทั่วประเทศอย่างเต็มที่.....ผลักดันอำนาจการปกครองที่เรียกว่า regional autonomy ลดอำนาจส่วนกลางลง...แยกอำนาจระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่นให้ชัดเจน....ซึ่งในช่วงแรกๆวุ่นวายมาก....เพราะผู้คนไม่เคยชิน.....แต่เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ....เป็นระบบมากขึ้น....การยอมรับในความหลากหลายได้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอารมณ์ขัน.....คนอินโดฯมีอารมณ์ขันสูง.....วันหยุดทางศาสนามีครบทุกศาสนา..แต่ทางอิสลามจะเยอะหน่อย......การวิจารณ์ทางการเมืองเป็นแบบสนุกปากไปเลย....แต่ไม่แตะประเด็นทางศาสนาและเผ่าพันธุ์....แน่นอนเขาพยายามทำให้กฏหมายเป็นกฏหมาย

แต่ไม่ได้หมายความว่าความขัดแย้งจะหมดไปนะ....บางพวกบางคนยังสุดโต่งอยู่.....ดังที่เห็นมีระเบิดทั้งหลายนั่นแหล่ะ.....แต่เขาเอาความปกติสุขของคนส่วนใหญ่เป็นหลัก.....พยายามที่จะลดโทนสุดโต่งและขัดแย้งที่ต้องต่อสู้ด้วยอาวุธลงให้ได้....ดังเช่นที่ยอมให้อาเจ่ห์ปกครองตนเองได้บางส่วน....แต่ไม่ยอมความกับผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย....ตายเรียบครับ

สุพัฒน์ เจริญสรรพพืช

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พศ. 2553 (แก้ไขเนื้อหาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 และลงรูปวันที่ 30 มีนาคม 2557)

หมายเลขบันทึก: 407075เขียนเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2010 12:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม 2017 18:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นความรู้ที่ดีมากๆเลยค่ะ

ตอนนี้หนุกำลังทำศิลปนิพนธ์ที่เกี่ยวกับประเทศอินโดพอดี  ขอบคุนมากนะค้าา☺️

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท