สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันให้รางวัลกับตัวเองหลังจากที่ทำงานมาอย่างหนักด้วยการไปทานอาหารมื้อเย็นที่ร้านอาหารไทยเจ้าประจำ หลังอาหารเย็น Ivan บอกว่าเขาจะให้รางวัลตัวเองโดยการอ่านหนังสือของพระอาจารย์ชา สุภทฺโท ที่เขาเคารพนับถือคำสอนของท่านมานาน กล่าวเสร็จเราก็มุ่งไปยังห้องสมุดแถบบ้าน ในขณะที่ Ivan ได้หนังสือรวมคำสอนของท่านอาจารย์ชา Food For The Heart สายตาฉันบังเอิญผ่านไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Twenty-Four Carat Buddha and Other Fables ของ Maxine Harris ก็เลยหยิบติดมือมา ถึงแม้การให้รางวัลกับชีวิตของเราจะต่างกันในตอนแรก แต่ผลที่ตามมาคืออิ่มท้องและอิ่มใจพอๆกัน นี่คือที่มาของเรื่องที่จะนำมาเล่าในวันนี้ นักเดินทาง หนึ่งในเรื่องสั้นแปลจากหนังสือ The Twenty-Four Carat Buddha and Other Fablesของ Maxine Harris ค่ะ
ยามบ่ายแก่ๆวันหนึ่ง เมื่อเรือยอร์ชสุดหรูลำหนึ่งกำลังนำเศรษฐีและเศรษฐินีผู้มีอันจะกินชาวยุโรปกว่า 50 ชีวิตพร้อมลูกเรือผู้คอยให้บริการกำลังล่องอยู่ในอ่าวใกล้ๆเกาะที่พวกเขาเรียกว่า Ile Perdu หรือเกาะที่ถูกลืม พวกเขาใช้เวลาเดินทางมาหลายวันกว่าจะมาถึงเกาะนี้ซึ่งถือกันว่ามีเพียงน้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสมาเยี่ยมชม นักเดินทางทั้งหลายต่างเตรียมพร้อมที่จะได้มีโอกาสลงจากเรือพร้อมกล้องถ่ายรูปราคาแพงลิ่วอยู่ในมือ ที่ชายฝั่งมีกลุ่มชาวพื้นเมืองหลายคนยืนยิ้ม โบกมีต้อนรับ มีเสียงตะโกนจากเด็กหญิงหน้าตาแจ่มใสที่วิ่งมายืนอยู่แถวหน้าของผู้มาให้การต้อนรับว่า "ยินดีต้อนรับสู่ มิกกิ"
"มิกกิหมายถึงอะไร?” ผู้โดยสารคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงเด็กหญิงคนนั้นกล่าวร้อง กัปกันเดินเรือผู้เชี่ยวชาญในแถบนี้ตอบว่า "อ๋อ...มิกกิเป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองเรียกเกาะนี้ ซึ่งหมายถึง สถานที่แห่งความรื่นรมย์ ในภาษาพื้นเมืองที่นี่" ขณะที่นักเดินทางทั้งหลายกำลังจะลงจากเรือเพื่อสำรวจเกาะที่ถูกลืมแห่งนี้ กัปตันเดินเรือก็เล่าให้ฟังถึงประวัติของเกาะแห่งนี้ว่า "เป็นเพราะสถานที่ตั้งที่ห่างไกล มีเรือเพียงไม่กี่ลำที่มาที่เกาะนี้ในแต่ละเดือน ซึ่งเพราะเหตุนี้สถานที่ที่คุณจะได้ลงไปเยี่ยมชมนี้จึงยังคงห่างไกลความศิวิไลซ์ และแตกต่างไปจากทุกที่ที่คุณได้ไปเห็นมา ชาวพื้นเมืองต่างเป็นมิตรและพร้อมที่จะให้การต้อนรับพวกคุณเป็นอย่างดี บางคนพูดภาษาอังกฤษได้เพราะเรียนรู้จากเรือที่มาแวะที่นี่ และเคยมีมิชชันนารีมาอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีก่อนซึ่งเขาช่วยสอนการพูดและเขียนภาษาอังกฤษให้กับคนที่นี่บ้างเล็กน้อย แน่นอนว่าการเดินทางมาครั้งนี้เราไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของคนพื้นเมืองกลุ่มนี้แต่เรามาเพื่อเยี่ยมชมความงดงามของทิวทัศน์บรรยากาศ พันธุ์ไม้และพันธุ์สัตว์ที่อาจหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกใบนี้" หลังกล่าวจบกัปตันก็สั่งให้ลูกเรือนำเรือเล็กลงเพื่อพาผู้โดยสารขึ้นเกาะเป็นรอบแรก
เมื่อนักท่องเที่ยวต่างขึ้นเกาะเรียบร้อยแล้ว ชาวพื้นเมืองที่มายืนต้อนรับก็พากันแยกย้ายไปทำงานของตนตามปกติ คงเหลือแต่เด็กหญิงหน้าตาสดใส ตาสีเข้มที่คอยช่วยเสริฟผลไม้สดตามธรรมชาติที่หาได้รอบเกาะให้กับนักท่องเที่ยว เธอพูดภาษาพื้นเมืองปนภาษาอังกฤษและภาษาสเปนอย่างง่ายๆที่เธอจำได้จากเรือที่แวะมาที่นี่เมื่อเดือนก่อน เด็กหญิงเดินตามนักท่องเที่ยวไปเมื่อพวกเขาพากันเดินขึ้นไปบนเนินเขาเล็กๆใกล้ฝั่ง สิ่งที่พวกนักท่องเที่ยวได้เห็นเมื่อเขาเดินขึ้นไปถึงบนเนินเขานั้น ทำให้ทุกคนหยุดตะลึงอยู่เป็นนานสองนานหุบเขาเบื้องล่างที่เขาเห็นถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีชมพูและสีม่วงตระการตา แทบไม่เหลือร่องรอยของหุบเขาสีเขียวที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เคยเห็นมา ทุกแห่งที่มองไปต่างเต็มไปด้วยสีชมพู สีม่วงอ่อน และสีม่วงเข้ม เหมือนดั่งพวกเขากำลังยืนมองภาพวาดผืนใหญ่ที่จิตกรได้ละเลงสีลงอย่างจงใจอยู่เบื้องหน้า หลังจากที่นักเดินทางต่างตื่นจากความตะลึงแล้วพวกเขาก็เริ่มถามถึงที่มาของหุบเขาสีสวยที่เขาได้เห็น จากนั้นเสียงกดชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปก็ตามมาโดยไม่ขาดสาย...เนิ่นนาน หากไม่มีรูปภาพเพื่อนฝูงหรือญาติมิตรที่บ้านเมืองของตนจะเชื่อในสิ่งที่เขา เห็นหุบเขาสีม่วงที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กหญิงได้เห็นปฏิกิริยาของนักท่องเที่ยวแบบนี้ เธอได้แต่สงสัยว่าที่บ้านเมืองของผู้คนเหล่านี้ไม่มีหุบเขาสีม่วงหรอกหรือ พวกเขาถึงตื่นเต้นแบบนี้ เธอเองเห็นทิวทัศน์แบบนี้ตั้งแต่จำความได้ หุบเขาคือสนามวิ่งเล่นของเธอกับพี่น้องและเพื่อนๆเสมอมา อีกสองสามวันจากนั้นบรรดานักท่องเที่ยวต่างใช้เวลาสำรวจเกาะแห่งนี้ พวกเขาเห็นนกสีสดใสเล่นน้ำอยู่อย่างเพลิดเพลิน เขาดูกระรอกกัดกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อย ภาพที่เป็นปกติธรรมดาของคนบนเกาะแต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งอัศจรรย์ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้จนเขาต้องรีบบรรทึกภาพไว้ด้วยกล้องถ่ายรูปราคาแพง เด็กหญิงยังคอยให้บริการผลไม้สดกับนักท่องเที่ยวทุกวันหลังจากทีพวกเขาลงจากเรือมา นักท่องเที่ยวบางคนพยามยามให้เหรียญหรือธนบัตรกับเธอเพื่อเป็นการตอบแทนแต่เธอก็ปฏิเสธทุกครั้งเพราะเธอรู้ดีว่าเหรียญหรือธนบัตรเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ใดต่อเธอบนมิกกิ แต่บางทีนักท่องเที่ยวบางคนก็จะให้ลูกอมหลากสี หรือผ้าพันคอสีสวยกับเธอ ซึ่งเด็กหญิงเองชอบสิ่งเหล่านี้มากกว่า
ในแต่ละคืนนักท่องเที่ยวก็จะกลับไปบนเรือลำหรู ทานอาหารเย็นจากเชฟฝีมือเยียม พูดคุยในสิ่งที่เขาเห็นอย่างรื่นรมย์ และในแต่ละคืนเด็กหญิงก็จะกลับกระท่อมที่เธออาศัยอยู่กับครอบครัว ทานอาหารเย็นที่ตระเตรียมจากผัก ผลไม้ หรือปลาที่พี่ๆของเธอหาได้ในแต่ละวัน ผู้คนบนเรือเข้านอนด้วยความรู้สึกพึงใจ หลังจากได้ฟังดนตรี จิบไวน์ มองดูดาวจากระเบียงบนเรือ เด็กหญิงและครอบครัวก็นั่งดูดาว เล่าเรื่องราว นิทานสู่กันฟัง ต่างเข้านอนด้วยความสงบสุขพร้อมเสี่ยงกล่อมของคลื่นและทะเล
และวันเวลาแห่งความสุขก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันสุดท้ายบนเกาะ Ile Perdu ก็มาถึงในขณะที่นักท่องเที่ยวเดินบนชายหาดขาวเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขายืนมองเด็กชาวพื้นเมืองดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนานกับแมวน้ำ ผิวสีน้ำตาลคล้ำของเด็กๆแทบไม่ต่างจากลูกแมวน้ำเลย แล้วเสียงกดชัตเตอร์ก็จบลงเมื่อเรือออกเดินทาง เด็กหญิงยืนที่ริมฝั่งโบกมืออำลาพร้อมกล่าวว่า "ขอบคุณที่มาเยือนมิกกิ"
หลังจากเรือเริ่มออกเดินทางกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างเริ่มคุยกันถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา "เพื่อนๆของฉันคงไม่เชื่อในสิ่งที่เราได้เห็น สัตว์บางชนิดดูเหมือนในนิยายไม่มีผิด ภาพตะวันลับขอบฟ้าในหุบเขาสีม่วง โอ้.. ช่างสวยงามเหลือเกิน" หญิงคนหนึ่งเริ่ม "ทุกอย่างยังคงเป็นธรรมชาติ มิน่าละเกาะนี้ถึงถูกเรียกว่าเกาะที่ถูกลืม" หญิงวัยกลางคนอีกคนกล่าวขึ้น "ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจกับคนพื้นเมืองที่นี่ โดยเฉพาะเด็กหญิงที่คอยนำผลไม้มาเสริฟพวกเรา เกาะนี้สวย แต่พวกเขาไม่รู้จักโลกภายนอกเลย พวกเขาไม่เคยได้ยินดนตรีแบบคลาสสิก ไม่เคยไปดูคอนเสริต ดูแฟชั่นโชว์ พวกเขาคงไม่รู้จักนิวยอร์ก ปารีส หรือ ฮ่องกง โลกของพวกเขาคงกว้างแค่เกาะแห่งนี้" หญิงวัยเสมอกันอีกคนอีกคนเสริม
เด็กหญิงยังคงยืนที่ริมฝั่งแม้เรือจะออกเดินทางกลับไปแล้ว เธอคิดว่า นักเดินทางเหล่านี้ดูเป็นคนดี ลุงบอกว่าพวกเขาร่ำรวยและมีอำนาจมากมาย แต่เธอรู้สึกเศร้าใจกับพวกเขาที่ต้องจากเกาะที่งดงามนี้ไป มีสิ่งสวยงามอีกมากมายบนเกาะนี้ที่พวกเขายังไม่ได้เห็น พวกเขากลับไปแล้วคงไม่ได้มีโอกาสมาอีก ช่างน่าเสียดายจริงที่ทั้งชีวิตพวกเขาได้มีโอกาสมาเดินบนหาดของมิกกิแค่ไม่กี่วัน..
---------------------------------------------------------------------------------
อ่านเรื่องนี้จบ คุณคิดอย่างไรคะ สำหรับฉันหลากหลายความคิดเกิดขึ้นจากเรื่องนี้..
1. ความสุขของแต่ละคน...ต่างกัน
2. ให้รู้ว่าอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข ดีกว่าจะมองหาความสุขของเราจากสายตาคนอื่น..
3. หากเราสามารถแยกแยะได้ว่าจริงๆแล้วอะไรคือความสุข อะไรคือความพึงใจน่าจะดีไม่น้อย เพราะ
"ความพึงใจมาจากแรงกระตุ้นภายนอก ความสุขเกิดมาจากความรู้สึกภายใน ความพึงใจเกิดได้จากกายสัมผัสทั้งห้า แต่บังเอิญว่ามันไม่จีรัง ความสุขเกิดจากการตัดสินใจการเลือกที่จะมีความสุข คนบางคนอาจมีความสุขแม้ในยามที่ร่างกายกำลังเจ็บปวดหรือกำลังเดินผ่านมรสุมแห่งชีวิต ซึ่งอาจไม่มีร่องรอยของความสุขสบายภายนอกเลยแต่ภายในเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสำราญ ในทางตรงข้ามคนมากมายที่กำลังถูกแวดล้อมด้วยวัตถุที่สร้างความพึงใจหลากหลาย แต่ก็มิอาจหาความสุขจริงๆได้สักที ดังนั้นเราจึงควรเลือกที่จะมีความสุข เพราะเราควบคุมชีวิตภายนอกมิได้ทั้งหมด แม้ความยากลำบากจะเกิดขึ้นแต่เราก็สามารถควบคุมความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในได้ และคนที่ทำได้เช่นนั้นคือคนที่ประสบความสำเร็จ"
จากหนังสือ The greatness Guide ของ Robin Sharma
ฯลฯ...
เป็นบันทึกที่ให้มุมมองได้หลากหลายดี ผมชอบเด็กน้อยเกาะมิกกิ ที่ปฏิเสธในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์แก่ตนเอง
ชื่นชมนักท่องเที่ยวที่เลือกการบันทึกภาพ และความทรงจำแทนการเก็บของออกจากเกาะ
เป็นห่วงคุณนายที่ปรารถนาจะให้โอกาสเด็กน้อยสู่โลกกว้าง
ความหวังดีนี้ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของพายุร้าย
ขอบคุณครับ สำำหรับบันทึกแบ่งปันความสุขเช้าวันนี้
วันอาทิตย์ วันออกพรรษา
อ่านแล้วคิดอะไร
คิดถึงกบ แล้วยังคิดถึงกะลา
คิดไปถึงดุลยภาพแห่งชีวิต
และยังคิดไปถึงอะไรเกี่ยวกับตัวเองอีกหลายอย่าง
ขอบคุณครับ น้ำใจและข้อคิดดีๆ ในวันดีๆ อย่างนี้
สวัสดีค่ะคุณลุง ไม่ทราบใช่คุณ "ลุง" จาก "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" หรือเปล่า...
ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียน ฝากความคิดเห็นและภาพงามๆไว้ค่ะ
กำลังหัดเรียนถ่ายภาพอยู่เหมือนกัน สนุกดีค่ะ
มีความสุขในเย็นวันอาทิตย์นะคะ
สวัสดีค่ะคุณขจิต
ขอบคุณที่แวะมาอ่านบันทึกค่ะ อ่านความเห็นของคุณแล้วรู้สึกชื่อนี้คุ้นๆ
พอดีเปิดตู้หนังสือดู มี A TASTE OF FREEDOM ด้วยค่ะ แต่ยังไม่ไดอ่าน
ขอบคุณที่ช่วยเตือนค่ะว่ามีหนังสือดีๆอยู่ที่บ้าน ให้อ่านด้วย...
สวัสดีค่ะคุณติ่ง
เพิ่งรู้ว่าวันนี้เป็นวันออกพรรษา แฮ่ะๆ
ขอบคุณค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ สบายดีนะคะ??