การจะให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับคุณค่าแท้และคุณค่าเทียมของการบูชาพระพุทธรูป มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของการบูชา เพราะจะทำให้ทราบถึงเป้าหมายที่พึงประสงค์หรือสิ่งที่เป็นที่ต้องการอันเป็นแรงจูงใจให้เกิดการบูชาของผู้บูชาพระพุทธรูปทั้งหลาย เพราะฉะนั้นประเด็นแรกที่ควรทำความเข้าใจก่อนจะวิเคราะห์คุณค่าแท้และคุณค่าเทียมของการบูชาพระพุทธรูป คือ จุดมุ่งหมายของการบูชาพระพุทธรูป จากนั้นจะได้วิเคราะห์ถึงคุณค่าแท้และคุณค่าเทียมเป็นลำดับไป โดยการนำแนวคิดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการบูชาพระพุทธรูปและเกณฑ์การตัดสินต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วมาพิจารณาร่วมด้วย
การพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของการบูชาพระพุทธรูปนั้น ผู้วิจัยจะพิจารณาอย่างกว้างๆ ตามกรอบหลักธรรมเพื่อให้เห็นเป้าหมายของการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา แต่จะได้วิเคราะห์โดยละเอียดในเรื่องการวิเคราะห์คุณค่าแท้และคุณค่าเทียมของการบูชาพระพุทธรูปต่อไป
กรอบพิจารณาจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติต่าง ๆ ที่เป็นหลักการของพระพุทธศาสนานั้น สามารถศึกษาได้จากหลักประโยชน์ซึ่งพระพุทธเจ้าได้สอนไว้ ซึ่งในทางพระพุทธศาสนาได้จำแนกประโยชน์ออกหลายลักษณะ เช่น ประโยชน์ในปัจจุบัน(ทิฏฐธัมมิกัตถะ) ประโยชน์ในชาติหน้า(สัมปรายิกัตถะ)และประโยชน์สูงสุด(ปรมัตถะ) หรือประโยชน์ตน (อัตตัตถะ) ประโยชน์ผู้อื่น (ปรัตถะ) และประโยชน์ร่วมกัน(อุภยัตถะ) ลักษณะของประโยชน์ดังกล่าวนี้ อาจจำแนกเป็น 2 ประการ[1] ได้แก่
ประโยชน์ในแนวราบ หมายถึง การใช้ชีวิตของตนโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนอย่างเดียว แต่เผื่อแผ่ประโยชน์ไปสู่ผู้อื่นด้วย ได้แก่
1) ประโยชน์ตนเอง (อัตตัตถะ) คือ การพัฒนาตน ฝึกฝนตนเองให้มีความรู้ ความสามารถ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนสามารถพึ่งตนเองได้และสามารถเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้
2) ประโยชน์ผู้อื่น (ปรัตถะ) หมายถึง เมื่อประโยชน์ตนมีพร้อมแล้ว สมบูรณ์ดีแล้ว ทั้งความรู้ ความประพฤติ สังคมและเศรษฐกิจ ย่อมมั่นใจได้ว่าสามารถเอื้ออำนวยอุดหนุนผู้อื่นได้ด้วย โดยยึดหลักว่า ชีวิตแบบพุทธนั้น มิใช่ให้นึกถึงตัวเองเป็นเพียงหลักอย่างเดียว[2] แต่สิ่งใดที่ทำแล้วเป็นผลได้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วยย่อมสมควรกระทำ
3) ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย (อุภยัตถะ) หมายถึง ประโยชน์ที่จะพึงเกิดขึ้นเพราะอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันทั้งตัวเราและผู้เป็นกัลยาณมิตร ใกล้ชิด เคยเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกันมาแล้วร่วมกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่กว้างขวางออกไปอีก โดยตนเองก็ได้รับประโยชน์จากการระทำนั้น ผู้อื่นก็ได้รับประโยชน์ด้วย โดยที่สุดแม้สังคมก็ได้รับประโยชน์ด้วย
ประโยชน์ในแนวตั้ง หมายถึง การดำเนินชีวิตของตนเพื่อให้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูงตามลำดับ ได้แก่
1) ประโยชน์ในปัจจุบัน หมายถึง ประโยชน์หรือคุณค่าที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตในชาตินี้ ประโยชน์ในแง่นี้ถือเป็นประโยชน์ขั้นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต เช่น การมีสุขภาพที่ดี การมีทรัพย์สามารถใช้ในการดำรงชีวิตได้ตามสมควรแก่อัตภาพ การมีสังคมที่ดีและมีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย เป็นต้น
2) ประโยชน์ในเบื้องหน้าหรือในอนาคต หมายถึง ประโยชน์หรือคุณค่าที่จะพึงได้รับในกาลเบื้องหน้าที่สูงกว่าปัจจุบัน อันเป็นประโยชน์ในทางคุณธรรมจริยธรรม อันเป็นคุณค่าที่ส่งเสริมให้ชีวิตในอนาคตสูงขึ้น ซึ่งตามหลักพระพุทธศาสนา ได้แก่ การบรรลุผลจากการสร้างสมบุญบารมี จนสามารถบรรลุความดีงามในอนาคตหรือได้เกิดในภพภูมิที่ดีหลังจากการตาย เพื่อจะได้พัฒนาตนให้บรรลุคุณความดีขั้นสูงสุดต่อ ๆ ไปได้ ไม่ตกลงสู่อบายภูมิ อันเป็นทางปิดกั้นการบำเพ็ญความดีในขั้นสูง
3) ประโยชน์สูงสุด หมายถึง ประโยชน์อันเป็นสาระแก่นสารที่แท้จริงของชีวิต เพื่อให้มีความสุขอย่างแท้จริง ได้แก่ การบรรลุนิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นภาวะที่สิ้นราคะ โทสะ โมหะ[3] ประโยชน์ขั้นนี้เป็นคุณค่าสูงสุดที่มนุษย์ควรจะบรรลุถึงให้ได้ เป็นผลจากการปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยอาศัยความสงบและปัญญาเป็นฐานสำคัญ
จากแนวคิดเรื่องประโยชน์นี้ จะเห็นได้ว่า หากพฤติกรรมใดที่เป็นไปในลักษณะที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งแนวราบและแนวตั้งตามที่กล่าวมา พฤติกรรมนั้นย่อมเป็นความดีงามอย่างแท้จริง ซึ่งในแง่ของการบูชาพระพุทธรูปก็สามารถนำหลักนี้มาพิจารณาได้ คุณค่าแท้และคุณค่าเทียมจึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการปฏิบัตินั้น ๆ มีจุดมุ่งหมายหรือเกิดประโยชน์อย่างไร ดังจะได้จำแนกต่อไปนี้
[1] บุญมี แท่นแก้ว, พุทธปรัชญาเถรวาท, หน้า 45.