"ดูจนจิตมันอาย" เป็นคำสั่งสอนของหลวงปู่เตี้ยที่อำเภอชุมแพ ที่ผมใช้เป็นแนวทางในการฝึกปฏิบัติ แต่ก่อนก็เข้าใจในระดับหนึ่ง วันนี้ได้อ่านบางโสลกแล้วทำให้มีความเข้าใจเพิ่มเติม จึงนำมาบันทึกไว้แลกเปลี่ยนเป็นธรรมทานกับกัลยาณมิตร ดังต่อไปนี้ครับ
การรู้แจ้งต่อสภาพมายาและความจริงแท้
ว่าคือเอกสภาวะเดียวกัน
เป็นมรรคอันถูกต้องสู่การสละปล่อยวาง
การตระหนักชัดว่าตัวจริงของมาร
ก็คือจิตภายในของบุคคลนี้เองคือความรู้เห็นอันยอดเยี่ยม
เป็นข้อคิดข้อธรรมที่ดีมาก ครับท่านอาจารย์
ขอบพระคุณครับ
ดูจนจิตมันอาย
เป้นการดูจิตน่าจะลึกซึ้งมาก ผมพยายามดูอยู่ครับ
บางครั้งมันไม่อายเอาเสียเลย แต่ก็เห็นมัน
สวัสดีครับ พ.แจ่มจำรัส
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์
อาจารย์สบายดีมั้ยคะ..ไม่ค่อยเจออาจารย์เลยนะคะพักนี้ หนูพึ่งไปเกาหลีเหนือมาค่ะ...รัฐบาลเกาหลีเหนือเชิญไปร่วมเฉลิมฉลอง 65 ปีพรรคแรงงานค่ะ วันนี้มาเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปชมที่นี่นะคะhttp://gotoknow.org/blog/0815444794/404698
ได้ไปอ่านบันทึกของว่าที่ ดร.วิชิต
ที่ gotoknow.org/blog/wichitchawaha/74810
เห็นว่าดีมากจึงขอนำมาเสนอไว้เป็นธรรมทานต่อครับ
ปกติแล้วขบวนการธรรมชาติของจิตเมื่อกระทบกับปรากฏการณ์ต่างๆ อันเป็นขันธ์ห้า แล้วจะเกิดปฏิกิริยาขึ้นภายในจิตรวดเร็วมาก จนเราอาจไม่รู้ตัว ไม่ทันสังเกต เพราะขาดการเผ้าสังเกต จึงเกิดเป็นอารมณ์ที่ถูกปรุงแต่งให้ผิดเพี้ยนไปจากสภาพที่เป็นจริงตามธรรมชาติ เรียกว่า อวิชชา นั่นคือขาดความรู้อันเป็นปัญญาทางพุทธศาสนาที่แท้จริง จิตของเราก็เลยเอาขันธ์ห้านี้มารวมกับความหยาก จึงเกิดกิเลส ที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง จิตใจก็เลยไปยึดติดเอาผลที่เกิดจากการปรุงแต่งเกิดเป็นอุปทาน 4 ประเภท คือ
ฉะนั้นจิตที่เป็นอวิชชาเมื่อไปหลงยึดติดในสิ่งที่มากระทบเข้ามาในระบบ ในที่สุดก้จะถูกพัฒนาการเป็น ความรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือรู้สึกเฉยๆ
เบญจขันธ์ > กิเลส> อุปทาน 4 > เกิดความรู้สึกเป็นสุข-เป็นทุกข์-เฉยๆ