เอกสารนี้ผมหยิบขึ้นมาจากรายงานเมื่อครั้งที่ผมกำลังศึกษาอยู่ เนื่องจากเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2548 ได้มีประเด็นสนทนากันว่า แล้วเราจะดูคุณภาพและความน่าเชื่อถือของงานวิจัยได้อย่างไร ซึ่งทำให้ผมนึกถึงรายงานฉบับนี้ขึ้นมา สำหรับวันนั้นก็เป็นการพูดคุยกันสั้น ๆ ไม่ได้ข้อยุติอะไร ทั้งนี่เพราะในกระบวนการว่าจะใช้เกณฑ์อะไรตัดสินผลงานทางวิชาการนั้นน่าจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ที่แต่งตั้งขึ้น หากมีการร้องขอเอกสารอ้างอิง หรือข้อมูลจึงจะได้ส่งมอบให้ ทั้งนี้ด้วยเข้าใจว่าในระบบราชการเรานั้น หาความเป็นอิสระทางวิชาการได้จริง ๆ ยังน้อยอยู่
รายงานฉบับนี้เป็นการวิจารณ์งานวิจัยเชิงคุณภาพ เรื่อง การยอมรับการรักษาครบถ้วนของผู้ป่วยวัณโรค: กลุ่มผู้ป่วยที่รับการรักษาระบบ DOTS (Comply และ Non – comply) ซึ่งมีรายละเอียดของรายงานดังนี้ ครับ
ประเด็นแบบวิจัยและวิธีวิจัย
1. แบบวิจัย ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research)
โดยมีปัญหาการวิจัย คือ
“การยอมรับการรักษาครบถ้วนของผู้ป่วยวัณโรคเป็นอย่างไร”
เนื่องจากการยอมรับในการรักษาครบถ้วนของผู้ป่วยวัณโรคโดย DOTS
ในแต่บริบทของสังคมนั้นมีความแตกต่างกัน
และผู้วิจัยต้องการได้คำตอบตัวแปรที่เป็นปัจจัยของการยอมรับและไม่ยอมรับ
ซึ่งยังไม่มีทฤษฎีที่เหมาะสม (Lefferts R, 1978)
กับบริบทของประเทศไทยในด้านนี้มาก่อน (การรักษาวัณโรคโดยใช้กลวิธี
DOTS ต้องอาศัยการมีพี่เลี้ยงดูแลและกำกับการรับประทานยา)
จากลักษณะดังกล่าวข้างต้นการวิจัยเชิงคุณภาพจะสามารถตอบปัญหาการวิจัยนั้นได้
(มยุรี พลางกูล, พันเอกหญิง, 2529)
กล่าวโดยสรุปสำหรับประเด็นปัญหาการวิจัยของผู้วิจัย
และผู้วิจัยเลือกการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น มีความเหมาะสมแล้ว
2. วิธีวิจัย โดยแยกเป็นประเด็นย่อยต่าง
ๆ ดังนี้
2.1
การระบุปัญหาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย โดยมีปัญหาการวิจัย คือ
“การยอมรับการรักษาครบถ้วนของผู้ป่วยวัณโรคเป็นอย่างไร” ซึ่ง
ความสำคัญของการยอมรับฯ ดังกล่าว
ผู้วิจัยบอกแต่เพียงว่ามีความสำคัญต่อโครงการป้องกันและควบคุมวัณโรค
และเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญมากต่อความสำเร็จของการควบคุมวัณโรค ทั้ง ๆ
ที่ควรจะบอกเพิ่มเติมว่าหากรักษาไม่ครบแล้ว จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร
(การดื้อยา/ต้นทุนในการรักษาสูงขึ้น) มีผลกระทบที่สำคัญอย่างไรบ้าง
(เชื้อที่ดื้อยาแล้วแพร่กระจายไป/อุบัติการณ์จะเพิ่มขึ้นในชุมชน)
(จำเริญ บุณยรังษี และสายัณห์ แก้วเกตุ, ผู้แปล, มปป.)
ซึ่งจะเป็นการระบุปัญหาได้ตรงจุด และมองเห็นได้ถึงความสำคัญจริง
ๆเหมาะสมที่จะมีการวิจัย (มยุรี พลางกูล, พันเอกหญิง, 2529;
Dempsey, P.A. and Dempsey, A.D, 2000; สุธีระ ประเสริฐสรรพ์,
2544) งานวิจัยนี้จึงขาดส่วนนี้ไป
2.2 ชื่อเรื่องในการวิจัย
ผู้วิจัยกำหนดชื่อเรื่องโดยใช้ภาษาต่างประเทศแทนคำในภาษาไทยทั้ง ๆ
ทีมีคำในภาษาไทยใช้อยู่แล้วอย่างเป็นสากล เช่น DOTS หรือ comply และ
non – comply หากจะทดแทนคำเหล่านี้เสียใหม่ด้วยภาษาไทย
และภาษาต่างประเทศวงเล็บไว้ด้วยก็ได้เช่น
“การยอมรับการรักษาครบถ้วนของผู้ป่วยวัณโรคที่รับการรักษาด้วยระบบการมีพี่เลี้ยงดูแลและกำกับการรับประทานยา
(DOTS)” จากนั้นจะทำการศึกษาในกลุ่มเฉพาะ comply และ non – comply
ก็ระบุไว้ในส่วนของวิธีดำเนินการวิจัย จะทำให้ดูมีความกระชับ
ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการศึกษาและมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น (ชญาดา
ศิริภิรมย์, 2536)
2.3 วัตถุประสงค์การวิจัย
สำหรับในการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาที่ให้ความสำคัญแก่การค้นหาองค์ประกอบที่เป็นนามธรรมของมนุษย์
เช่นความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ฯ
โดยศึกษาถึงความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านี้กับสภาพแวดล้อมของมัน (สุนันธา
โปตะวนิช, 2541) สำหรับการวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้กล่าวถึงไว้ในคำนำ
โดยบอกไว้ว่า
“เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่สัมพันธ์กับการยอมรับการรับประทานยาของผู้ป่วยวัณโรค”
ซึ่งหากพิจารณาจากปัญหาและความสำคัญของการวิจัยแล้วพบว่า
เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยไว้สอดคล้องกัน
และมีความเหมาะสมแล้ว (เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย, 2536;
เยาวภา ปิ่นทุพันธ์, 2543)
ซึ่งผู้วิจารณ์จะใช้วัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นหลักในการวิจารณ์รายงานการวิจัยฉบับนี้ในประเด็นต่อไปด้วย
2.4 การตั้งสมมติฐาน
ในการวิจัยเชิงคุณภาพไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักในการตั้งสมมติฐาน
แต่จะเป็นการเริ่มต้นที่ปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการศึกษา
โดยมีแนวคิดทฤษฎีอย่างกว้าง ๆ
เมื่อได้เริ่มเก็บข้อมูลบ้างแล้วจึงเริ่มสร้างสมมติฐาน
ทั้งนี้เพื่อเป็นการกำหนดแนวทางและเป้าหมายให้เด่นชัดขึ้น
(มยุรี พลางกูล, พันเอกหญิง, 2529; สุนันธา โปตะวนิช, 2541)
ซึ่งในรายงานการวิจัยฉบับนี้ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวเลย
2.5 กลุ่มตัวอย่าง
โดยส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษากับชุมชนขนาดเล็ก มีความจำเพาะในบริบท
และผู้วิจัยสามารถมองเห็นโครงสร้างได้อย่างชัดเจน (มยุรี
พลางกูล, พันเอกหญิง, 2529; สุนันธา โปตะวนิช, 2541)
แต่ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้
ผู้วิจัยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ให้ข้อมูลมากกว่า
และเนื่องจากมีข้อจำกัดของจำนวนผู้ให้ข้อมูล และพื้นที่ในการศึกษา
(ขณะศึกษาโครงการนำร่องมีในบางจังหวัดเท่านั้น) ขอบเขตของการศึกษา
ในประเด็นพื้นที่จึงเป็นภูมิภาคของประเทศ และการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูล
จึงเป็นกลุ่มผู้ที่เข้ารับการรักษาวัณโรคตามโครงการ DOTS
เท่านั้น(จะเป็นผู้ป่วยที่มีที่อยู่จังหวัดอะไรก็ได้ในภูมิภาคนั้น ๆ)
ผู้วิจัยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจงโดยพยายามที่จะแยกกลุ่มออกเป็น 2
กลุ่ม คือ กลุ่ม comply และ non – comply
แต่มีข้อจำกัดในกลุ่มผู้ให้ข้อมูลอีกเช่นกัน จึงมีกลุ่มผสมด้วย
กล่าวโดยสรุปแล้ว ก็มีความเหมาะสมในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง
เพื่อให้สามารถตอบวัตถุประสงค์การวิจัยได้
แต่ผู้วิจารณ์เห็นว่าควรจะได้ดำเนินการในภาคใต้ด้วย
ทั้งนี้ภาคใต้ก็ได้มีการดำเนินงานตามโครงการนำร่องนี้ด้วย
คือจังหวัดยะลา ตามที่ผู้วิจัยได้นำเสนอใน คำนำไว้
จึงจะทำให้งานวิจัยครั้งนี้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
2.6
เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการใช้เครื่องมือเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น
จะมีการใช้เครื่องมือหลายชนิดร่วมกัน (multi – instrument approach)
ในการที่จะพยายามทำให้ผู้อ่านเห็นภาพเหมือนผู้วิจัยเห็นเอง
(มยุรี พลางกูล, พันเอกหญิง, 2529)
โดยตัวผู้วิจัยมีความสำคัญมากที่สุด เพราะจะเป็นผู้เก็บข้อมูล
จัดทำบันทึกภาคสนาม และการระบุรายละเอียดในการศึกษา (มยุรี
พลางกูล, พันเอกหญิง, 2529; สุนันธา โปตะวนิช, 2541)
ซึ่งในด้านตัวผู้วิจัยและคณะนั้นพบว่า เป็นผู้ที่มีความชำนาญ
และประสบการณ์ในการวิจัยเชิงคุณภาพ
และประสบการณ์ในการดำเนินงานด้านการรักษาผู้ป่วยโรควัณโรคอยู่แล้ว
จึงมีความน่าเชื่อถือในผลการวิจัย
ส่วนการใช้เครื่องมืออื่นที่เหมาะสมตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลแต่ละประเภท
ซึ่งผู้วิจัยได้นำเสนอไว้ 2 ชนิดคือ แบบสอบถามชนิดตอบด้วยตนเอง
และการสนทนากลุ่ม ซึ่งเครื่องมือทั้ง 2 ชนิดดังกล่าว
ไม่พบว่าผู้วิจัยได้ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องอย่างไรเลย
จึงทำให้เป็นจุดอ่อนในการพิจารณาความน่าเชื่อถือของงานวิจัย
(ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และ สำลี ทองธิว, บรรณาธิการ, 2535)
ซึ่งจะได้วิจารณ์ในประเด็นต่อไป
2.7 การเก็บรวมรวมข้อมูล
ในการเก็บรวมรวมข้อมูลนั้น มีวิธีการหลายวิธี เช่น การสังเกต
การสัมภาษณ์โดยใช้แบบสัมภาษณ์ชนิดผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบเอง
การสัมภาษณ์เจาะลึก หรือการสนทนากลุ่ม เป็นต้น
ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้ใช้แบบสอบถามชนิดให้ผู้ตอบกรอกข้อมูลเอง
และการสนทนากลุ่ม ซึ่งประเด็นความเหมาะสมนั้น ประการแรก คือ
การใช้แบบสอบถามชนิดให้ผู้ป่วยกรอกข้อมูลเองนั้น
ผู้วิจารณ์ไม่เห็นด้วย
เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันว่าระดับการศึกษาที่ต่ำกว่าจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรคสูงกว่าผู้ที่มีระดับการศึกษาสูงกว่า
(จำเริญ บุณยรังษี และสายัณห์ แก้วเกตุ, ผู้แปล, มปป.)
ฉะนั้นการให้ผู้ป่วยกรองแบบสอบถามเอง
ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดเกิดความผิดพลาดในการตีความแตกต่างกันออกไป
และก็จะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลที่ได้สูงตามไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ไม่ปรากฏว่าผู้วิจัยได้ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือด้วยแล้ว
ยิ่งทำให้ผู้วิจารณ์ไม่เห็นด้วยในประเด็นนี้
ซึ่งควรจะใช้แบบสอบถามชนิดใช้ผู้สัมภาษณ์แทน
และมีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องทั้งด้านความตรง (validity)
และความเที่ยง (reliability) (เยาวภา ปิ่นทุพันธ์, 2543)
ประเด็นที่สอง คือ
การใช้การสนทนากลุ่มเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น
ผู้วิจารณ์ก็มีความเห็นแย้งว่า
โดยกระบวนการในการรักษาผู้ป่วยวัณโรคนั้น
จะมีการรักษาในแนวปัจเจกบุคคล ถึงแม้จะมีการใช้พี่เลี้ยงกำกับดูแล
ไม่ใช่เป็นการรักษาโดยกลุ่มอย่างโรคอื่น ๆ เช่น กลุ่มผู้ติดยาเสพติด
กลุ่มโรคเอดส์ หรือกลุ่มผู้ป่วยวิตกกังวล เป็นต้น
การยอมรับการรักษาครบถ้วนในการรักษาวัณโรคก็เป็นการยอมรับของความเป็นตัวเอง
(individual) ซึ่งการสนทนากลุ่มนั้นเป็นการแสวงหาข้อมูลในภาพรวม
หรือข้อความเห็นในภาพรวมของกลุ่มมากกว่า
การสนทนากลุ่มนั้นจะทำให้เกิดความเห็นคล้อยตามกันไป
ทั้งที่ไม่ใช่ความเห็นหรือความคิดของตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดในเชิงลบ (negative) (เพชรน้อย
สิงห์ช่างชัย, มปป.) เช่นการสนทนาในประเด็นความพอใจต่อเจ้าหน้าที่
หรือพี่เลี้ยงในการกำกับดูแลการรับประทานยา เป็นต้น
ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลในเชิงบวกมาทั้งหมด
แต่เป็นข้อมูลที่ไม่จริงก็เป็นได้ ข้อมูลบางส่วนก็อาจจะถูกปกปิดไว้
ที่สำคัญในการสนทนากลุ่มผู้ป่วยที่เป็นกลุ่ม non – comply
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไปรักษาโดยมีการขาดยาบางช่วงเวลาอยู่แล้ว
จึงควรจะใช้การสัมภาษณ์เจาะลึกในรายบุคคลมากกว่า
หรือใช้การสนทนากลุ่มร่วมด้วย (ชญาดา ศิริภิรมย์, 2536)
2.8 การวิเคราะห์ข้อมูล
ไม่พบว่าผู้วิจัยใช้รูปแบบใดในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสอบถามและจากการสนทนากลุ่ม
ซึ่งผู้วิจัยควรจะบอกไว้ในรายงานการวิจัยฉบับตีพิมพ์ในวารสารอย่างย่อด้วย
จะทำให้มีความเชื่อมั่นในข้อมูลมากขึ้น (Dempsey, P.A. and Dempsey,
A.D, 2000)
2.9
จรรยาบรรณนักวิจัย ประเด็นนี้มีความสำคัญมากในการดำเนินการวิจัย
(สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2541)
ผู้วิจัยไม่ได้นำเสนอไว้อย่างชัดเจน
แต่สังเกตได้จากการเขียนรายงานการวิจัยว่าผู้วิจัยได้มีการสงวนชื่อและที่อยู่ของผู้ให้ข้อมูลทุกรายเป็นอย่างดี
สำหรับจรรยาบรรณผู้วิจัยในขณะเก็บรวบรวมข้อมูลหรือดำเนินการภาคสนามนั้นไม่มีข้อมูลจากรายงานวิจัยที่บ่งบอกไปถึงได้
คุณค่าความน่าเชื่อถือได้ของงานวิจัย
1. ด้านความน่าเชื่อถือ (credibility) ซึ่ง เลนนินเจอร์ (Leininger,
Madeleine, 1994) กล่าวไว้ว่า ผลการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น
ผู้วิจัยต้องดำเนินการวิจัยในทุกขั้นตอนให้เกิดความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้
(Isaac S. and Michael W.B, 1977) ว่าประสบการณ์ ข้อมูล
หรือความรู้ที่ค้นพบนั้นเป็นความจริงจากการศึกษาในพื้นที่จริงหรือ
เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง ๆ โดยสรุปจากรายงานวิจัยฉบับนี้พบว่า
มีมีความน่าเชื่อถือได้ โดย
ผู้วิจัยได้นำเสนอในส่วนของคำนำแล้วว่าได้ดำเนินการวิจัยโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการดำเนินงานตามโครงการวิจัยคุณภาพเรื่อง
“Factor associated with ‘compliance’ among tuberculosis patients in
Thailand”
ซึ่งเป็นโครงการวิจัยของคณะแพทย์ศาสตร์และวิทยาลัยประชากรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนขององค์การอนามัยโลก
ในการวิจัยนั้นได้มีการเก็บ
ข้อมูลจากประชากรเป้าหมาย 3 กลุ่ม เป็น 3 โครงการย่อย คือ
กลุ่มผู้ป่วย กลุ่มผู้ให้บริการ และกลุ่มผู้กำกับการรับประทานยา
(พี่เลี้ยง) และโครงการวิจัยย่อยนี้
เป็นการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลเฉพาะกลุ่มผู้ป่วย
ทั้งนี้คณะผู้ดำเนินการวิจัยก้ประกอบไปด้วยกลุ่มผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ในการวิจัยเชิงคุณภาพ
สาขาการแพทย์ และสาขาประชากรศาสตร์
จากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนดังกล่าว
จึงเชื่อได้ว่าข้อค้นพบในรายงานการวิจัยเป็นความจริงจากการศึกษาในพื้นที่จริงหรือ
เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ
2. ด้านการได้รับการยืนยัน
(conformability) ซึ่ง เลนนินเจอร์ (Leininger, Madeleine,
1994) กล่าวไว้ว่า การได้รับการยืนยันนั้นคือ
การให้การยอมรับถึงผลที่เกิดขึ้น และรับรองได้ว่าจะเกิดขึ้นอีก
หรือเกิดขึ้นอยู่อย่างธรรมชาติ ถึงแม้จะมีการตรวจสอบซ้ำอีกกี่ครั้ง
ซึ่งผู้วิจัยก็ได้ตรวจสอบมาก่อนแล้ว ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้
ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม 6 กลุ่มโดยเป็นกลุ่ม comply 3
กลุ่ม non – comply 2 กลุ่ม และผสมทั้งกลุ่ม comply และ non – comply
อีก 1 กลุ่ม ใน 3 ภูมิภาคของประเทศ
ได้ผลสรุปในประเด็นการยอมรับการรักษาครบถ้วนของผู้ป่วย
ที่ได้รับการยืนยันได้ เช่น พบว่ากลุ่ม comply
จะให้การยอมรับการมีผู้ดูแลกำกับการรับประทานยา
และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันดี แต่ในกลุ่ม non – comply
นั้นจะไม่ยอมรับและจะเชื่อตนเองในการรับประทานยามากกว่า เป็นต้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้
สามารถยอมรับได้ว่าผู้วิจัยได้ดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้สามารถได้รับการยืนยันได้
แต่ผู้วิจัยมักจะสรุปอ้างในระดับประเทศเสมอ ทั้ง ๆ
ผู้วิจัยไม่ได้ดำเนินการในภาคใต้ด้วย ผู้วิจารณ์จึงถือว่า
ไม่ควรกล่าวสรุปในภาพรวมของประเทศ แต่กล่าวสรุปเฉพาะในภาคเหนือ
ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะทำให้งานวิจัยนี้มีคุณค่า
3. ด้านการให้ความหมายตามบริบทนั้น ๆ
(meaning-in-context) การให้ความหมายตามบริบทนั้น ๆ คือ ความถูกต้อง
ความเข้าใจตรงกันในบริบทนั้น ๆ
ว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความหมายอย่างไร
และได้รับการตรวจสอบแล้วก็ไม่ได้เข้าใจกันผิดเพี้ยนไปจากเดิม
แต่ต้องหมายถึงสถานการณ์สภาพแวดล้อมนั้น ๆ เท่านั้น (Leininger,
Madeleine, 1994) ซึ่งจากการรายงานการวิจัยนี้
พบว่าผู้วิจัยได้พยายามสรุปผลการวิจัยในแต่ละบริบทย่อยที่ศึกษา
(ในแต่ละภูมิภาค)
แต่ก็มีหลายครั้งที่ผู้วิจัยได้สรุปถึงบริบทรวมทั้งประเทศ ทั้ง ๆ
ที่ยังไม่ได้ทำการศึกษาในภาคใต้
และในขั้นตอนการเลือกตัวอย่างของการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น
ก็ไม่เน้นการเป็นตัวแทน (represent)
ซึ่งไม่ถูกต้องนักในการที่จะสรุปและอนุมานไปยังพื้นที่อื่น
(generalization) (มยุรี พลางกูล, พันเอกหญิง, 2529)
4. ด้านการคงสภาพหรือรูปแบบอยู่ตามธรรมชาติ
(recurrent patterning) หมายถึง แม้นว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะยังคงเดิม (Leininger, Madeleine, 1994)
ในรายงานวิจัยฉบับนี้
พบว่ามีความเป็นไปได้ในการคงสภาพของข้อมูลในระดับหนึ่ง เช่น
การยอมรับว่าผลของการเข้มงวดในการรับประทานยา จะทำให้หายขาดได้ดี
เป็นต้น
แต่เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้เกิดการยอมรับในการรักษาครบถ้วนนั้น
ขึ้นอยู่กับอิทธิพลอื่น ๆ อีกมากเช่นกัน
เช่นอิทธิพลจากสภาพของสังคมที่เปลี่ยนไป
พี่เลี้ยงอาจจะมีเวลาในการดูแลผู้ป่วยน้อยลง เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อการคงสภาพของข้อมูล กล่าวโดยสรุปก็คือ
ผู้วิจัยไม่ได้แยกแยะออกมาให้ชัดเจน
ในประเด็นข้อค้นพบที่จะสามารถอธิบายได้อย่างคงสภาพ
หรือประเด็นใดที่อาจจะเปลี่ยนไปบ้าง
หากมีอิทธิพลอื่นที่เกี่ยวข้องกับมิติแห่งเวลา
ทั้งนี้เนื่องจากผู้วิจัยไม่ได้มีการอภิปรายผลเหล่านี้เลย
5. ด้านการอิ่มตัวของข้อมูล (saturation)
หมายถึง การเก็บรวบรวมข้อมูลปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความชัดเจน
และไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญอีกแล้ว
ไม่ว่าจะใช้เวลาในการเก็บรวบรวมเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนวิธีการเก็บรวบรวมไปเป็นแบบอื่น
ๆ (Leininger, Madeleine, 1994) ซึ่งในประเด็นดังกล่าวนี้
พบว่าการดำเนินการของผู้วิจัยนั้นมีข้อมูลที่อิ่มตัวแล้วก่อนที่จะนำมาวิเคราะห์
และสรุปเป็นรายงาน ดังเช่น “ผู้ป่วยทุกรายมีความพอใจระบบผู้กำกับมาก
เพราะนอกจากจะดูแลการรับประทานยาแล้วยังได้รับการดูแลช่วยเหลือในทุกเรื่อง
ผู้ป่วยมีความพอใจที่จะเก็บยาไว้กับตัวเองมากกว่าที่จะเก็บไว่ที่ผู้กำกับ”
หรือ
“ความพอใจของผู้ป่วยอยู่ที่การมีผู้กำกับดูแลคอยเตือนให้รับประทานยาและเป็นห่วงต้องการให้ผู้ป่วยหายจาการป่วย”
เป็นต้น ประกอบกับผู้วิจัยได้ทำการสนทนากลุ่มถึง 6 กลุ่ม
และการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลในแต่ละคนก็เป็นคนที่
สามารถให้ข้อมูลได้มากที่สุดจริง ๆ (สุภางค์ จันทวานิช, 2537)
คือ ทุกคนเป็นผู้ป่วยวัณโรคที่รักษาด้วย DOTS และสิ้นสุดการรักษาแล้ว
ครอบคลุมทั้งส่วนที่เป็นกลุ่ม comply และ non – comply
จึงสรุปว่ามีความน่าเชื่อถือได้ในความอิ่มตัวของข้อมูล
6.
ด้านความเหมือนกันในสถานที่เปลี่ยนไปแต่สถานการณ์ตามบริบทเหมือนหรือคล้ายกัน
(transferability) หมายถึงการที่สามารถสรุปไปตามหลักตรรกศาสตร์ว่า
ถึงแม้จะเปลี่ยนสถานที่ไปจากที่ได้ศึกษาไว้
ถ้าหากสภาพแวดล้อมหรือบริบทที่เหมือนกันปรากฏการณ์จะเกิดขึ้นในแบบแผนเดียวกัน
(Leininger, Madeleine, 1994) ในประเด็นดังกล่าวข้างต้นนั้นพบว่า
ผู้วิจัยได้ศึกษาใน 3 ภูมิภาค ยกเว้นภาคใต้ ซึ่งในบริบทนั้น ๆ
มีความแตกต่างกันทางด้านสังคม วัฒนธรรม แต่ในบริบทเดียวกันมีความคล้าย
ๆ กัน จึงน่าจะใช้ผลการวิจัยนี้อธิบายแทนได้ เช่น
“ผู้ป่วยและผู้กำกับทั้งกลุ่ม comply และ non – comply
มีความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะผู้กำกับทุกรายมีความเป็นห่วงและต้องการให้ผู้ป่วยหายจากการป่วย”
เป็นต้น
การเขียนรายงานวิจัย
1. ด้านความกระจ่าง ชัดเจน (clarity)
พบว่าผู้วิจัยเขียนรายงานยังมีความไม่กระจ่างชัดเจนในหลาย ๆ จุด
เช่น
“ในทุกภาค
เชื่อว่า...” น.61,62
ทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายว่าอนุมานไปยัง ทั้ง 4 ภูมิภาค
(ทั้งประเทศ) ทั้ง ๆ ที่ได้ศึกษาเพียง 3 ภูมิภาคเท่านั้น จึงควรใช้
“ในทุกภาคที่ทำการศึกษา เชื่อว่า...” แทน
“ผู้ป่วยบางรายเชื่อว่า...”
น.61 ไม่ทราบจำนวนที่เชื่ออย่างที่กล่าวถึง กี่คน
จากจำนวนของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ซึ่งผู้วิจัยควรจะบอกจำนวน
และคุณลักษณะของประชากรเหล่านั้นไปเลย ทั้ง ๆ
ที่ในส่วนอื่นของรายงานพบว่าผู้วิจัยได้กล่าวถึงอย่าละเอียด
“การตรวจเสมหะใช้เวลาไม่นานอย่างช้า
1 ชั่วโมง-การตรวจเสมหะจะรู้ผลตรวจ 3 วัน” น.62 ซึ่งทั้ง 2
ประโยคมีการขัดแย้งกันเองในการอ่าน ทั้ง ๆ
ที่ผู้วิจัยพยายามที่จะบอกว่าประโยคแรกนั้นหมายถึงขั้นตอนของการเก็บเสมหะเพื่อส่งตรวจ
ส่วนประโยคที่ 2
นั้นเป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ห้องชันสูตรในการตรวจเสมหะ (มาลี
เกิดพันธุ์ และ มนัส กุณฑลบุตร, 2543)
ซึ่งถ้าหากผู้ที่อ่านรายงานวิจัยไม่ทราบขั้นตอนที่แท้จริงของการดำเนินงานตามโครงการ
DOTS แล้วจะเกิดข้อสงสัย
หรืออาจจะทำให้เข้าใจผิดในการตีความเอาก็อาจจะเป็นไปได้
(สุภางค์ จันทวานิช, 2537)
“ใช้เวลา
8.00 –10.00 น.” น.63 การใช้ภาษาขาดความชัดเจนทำให้ต้องอ่านซ้ำ
ควรจะใช้ “ใช้เวลาระหว่าง 08.00 – 10.00 น.” แทน
ซึ่งพบในทุกครั้งที่ผู้วิจัยกล่าวถึงเวลาในลักษณะนี้
“การจัดยาเป็นชุด
ๆ” น.63 เป็นลักษณะเฉพาะของการจัดยาวัณโรคตามโครงการ DOTS
ซึ่งผู้วิจัยน่าจะขยายความในประเด็นนี้ให้ละเอียด
อาจจะใช้ข้อความในวงเล็บก็ได้
“ผู้ป่วยพอใจการตรวจของแพทย์เพราะดีมาก”
น.63 หรือ “ผู้ป่วย...ในภาคเหนือทุกรายเห็นว่าสถานพยาบาลดีมาก” น.69
ผู้อ่านอ่านแล้วมีคำถามที่ต้องการอยากรู้ต่อว่า “ดี” อย่างไร
แต่ไม่มีคำตอบในการอ่านต่อ ๆ
ไปซึ่งเป็นส่วนที่ขาดหายไปทำให้ไม่กระจ่างชัดเจนในความหมาย
“ผู้กำกับรู้หน้าที่เพราะมาฟังนายแพทย์ที่โรงพยาบาลพร้อมกับผู้ป่วย”
น.64 ควรใช้คำว่า “แพทย์” หรือ “เจ้าหน้าที่คลินิกวัณโรค” แทน
หรือหาว่าจะเป็นการยกข้อความคำพูดของผู้ให้ข้อมูลก็ได้
แต่พบว่ารายงานทั้งฉบับ
ไม่มีการยกคำพูดของผู้ให้ข้อมูลมาอ้างถึงเลย
กล่าวโดยสรุปแล้ว
จะเห็นได้ว่าผู้วิจัยนั้นยังมีการใช้ภาษา
หรือลักษณะการเขียนที่ยังไม่กระจ่างชัดเจน
มีคำถามต่ออยู่ตลอดเวลาในการอ่านทั้ง ๆ
ที่ข้อมูลนั้นมีอยู่แล้วในการที่จะอธิบายเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย
และที่สำคัญข้อมูลบางข้อมูลนั้นผู้วิจัยสามารถนำเสนอด้วยตารางได้ เช่น
ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งจะทำให้ดูง่าย
และเข้าใจได้ง่ายกว่าการนำเสนอด้วยการพรรณา (Miles, B. Matthew. and
Huberman, A. Micheael, 1994)
2. ด้านความดึงดูดใจ (force)
ในการเขียนรายงานการวิจัยครั้งนี้ พบว่า
ผู้วิจัยเลือกใช้การนำเสนอด้วนการพรรณาทั้งหมด
และมีการแบ่งเป็นข้อย่อยในการนำเสนอ
ซึ่งควรจะมีความเชื่อมโยงกันในแต่ละประเด็น (สุภางค์ จันทวานิช,
2537)
แต่รายงานฉบับนี้ไม่มีความเชื่อมโยงทำให้ขาดความต่อเนื่องในการนำเสนอ
ผู้อ่านไม่เกิดความดึงดูดใจที่จะอยากรู้ อยากอ่านในประเด็นถัดไป
ทำให้เกิดการอ่านแบบข้ามไปข้ามมา สูญเสียอรรถรสในการอ่าน
และรับรู้ข้อมูล
อีกทั้งการเขียนไม่มีการอ้างอิงถ้อยคำจากการให้ข้อมูลของผู้ให้ข้อมูลเลย
3. ด้านความง่ายในการใช้ภาษาสื่อความหมาย
(easy) สำหรับภาษาที่ใช้นั้น ถึงแม้ว่าผู้วิจัยจะใช้ภาษาต่างประเทศ
(อังกฤษ) ร่วมในการอธิบายด้วย
แต่ก็เนื่องมาจากการให้ง่ายและกระชับซึ่งก็อนุโลมให้ใช้ได้
แต่ต้องมีการอธิบายความหมายไว้ก่อนในเบื้องต้น (สุภางค์ จันทวานิช,
2537) ซึ่งผู้วิจัยก็ได้อธิบายไว้แล้วในส่วนของระเบียบวิธีวิจัย
สำหรับประเด็นระดับของภาษาในการใช้ของผู้วิจัยนั้นผู้วิจัยได้ใช้ในระดับที่อ่านง่าย
สื่อให้เข้าใจได้ดี แต่ก็มีข้อจำกัดคือ
บางครั้งผู้วิจัยไม่ได้ตระหนักถึงความคลุมเครือของคำบางคำที่ใช้
ทำให้ยากต่อการตีความบ้างเหมือนกันและเกิดความไม่กระจ่างชัดเจนตามมา
ฉะนั้นการใช้ภาษาในระดับที่ทำให้ผู้อ่านในทุกระดับอ่านเข้าใจง่าย
โดยพยายามหลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคเฉพาะ
ก็จะทำให้เกิดปัญหาคือการตีความในความหมายไม่เป็นการเฉพาะ
ซึ่งอาจจะผิดความหมายไปก็ได้
บรรณานุกรม
จำเริญ บุณยรังษี และสายัณห์ แก้วเกตุ, ผู้แปล.
มปป. การใช้กลยุทธ์ DOTS ให้กว้างขวาง. กรุงเทพฯ :
ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ชญาดา ศิริภิรมย์. 2536.
การวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ประยุกต์. กรุงเทพฯ: คณะสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล.
เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย. มปป.
เอกสารการสอนการออกแบบวิจัยและวิธีวิจัย 2:
การสนทนากลุ่ม. เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิจัยและพัฒนาระบบสาธารณสุข คณะพยาบาลศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (สำเนา).
________. 2536.
“การวิจารณ์ผลงานวิจัยทางการพยาบาล”.
วาราสารพยาบาลสงขลานครินทร์. 13 (1) (มกราคม – มีนาคม 2536). 18 –
27.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และ สำลี ทองธิว, บรรณาธิการ.
2535. การวิจัยทางการศึกษา :
หลักและวิธีการสำหรับนักวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ
: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
มยุรี นกยูงทอง. 2542.
“การยอมรับการยอมรับการรักษาครบถ้วนของผู้ป่วยวัณโรค:
กลุ่มผู้ป่วยที่รับการรักษาระบบ DOTS (Comply และ Non-comply)”.
วารสารประชากรศาสตร์. 15 (2) (กันยายน 2542). 57 – 73.
มยุรี พลางกูล ,พันเอกหญิง. 2529.
เอกสารประกอบการสัมมนาย่อยแพทยศาสตร์ศึกษา:
การวิจัยเพื่อการ สาธารณสุขของประเทศ ระหว่างวันที่ 23 – 25
กรกฎาคม 2529 ณ ห้องประชุม ชั้น 1อาคารเรียนรวม
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. กรุงเทพฯ : คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
มาลี เกิดพันธุ์ และ มนัส กุณฑลบุตร. 2543.
“ประเมินผลการดำเนินงานควบคุมวัณโรคแนวทางใหม่
และการรักษาแบบมีพี่เลี้ยง พื้นที่สาธิตในเขต 3 :
กรณีศึกษาจังหวัดจันทบุรี ปีงบประมาณ 2540 – 2542”.
วารสารสาธารณสุขมูลฐาน ภาคกลาง. 16 (6) (สิงหาคม – กันยายน
2543). 54 – 64.
เยาวภา ปิ่นทุพันธ์. 2543.
คู่มือการวิจารณ์รายงานการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 1.
กรุงเทพฯ : บ. แปลนพริ้นท์ติ้ง จำกัด.
สภาการวิจัยแห่งชาติ. 2541. แนวทางปฏิบัติ
จรรยาบรรณนักวิจัย. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม.
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์. 2544.
สนุกกับงานวิจัย. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. (สำเนา)
สุนันทา โปตะวนิช. 2541. “การวิจัยเชิงคุณภาพ :
Qualitative Research”. วารสารวิทยาการจัดการ. 15 (1)
พิเศษ (มกราคม – มิถุนายน 2541). 13 – 17.
สุภางค์ จันทวานิช. 2537.
วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Dempsey, P.A. and Dempsey, A.D. 2000. Using nursing
research process, critical evaluation and utilization.
Philadelphia: Lippinrott.
Isaac
S. and Michael W.B. 1977. Handbook in research and
evaluation. California: Edits Publishers.
Lefferts R. 1978. Getting a grant how to write
successful grant proposals. Englewood Cliffs, New
Jersey: Prentice-Hall.
Leininger, Madeleine. 1994. “Evaluation Criteria and Critique
of Qualitative Research Studies”. Critical Issue in Qualitative
Research Methods. Morse, Janice M, editor. California: SAGE
Publication.
Miles,
B. Matthew. and Huberman, A. Micheael. 1994.
Qualitative Data Abnalysis. 2 nd ed. Thousand Oaks: SAGE
Publication.
ลองอ่านเนื้อหาและบทวิจารณ์นี้ดู ว่าที่เขาพูดนะถูกต้องมั้ย
"...เราจะดูคุณภาพและความน่าเชื่อถือของงานวิจัยได้อย่างไร ..."
อย่างที่คุณชายขอบ..ได้บันทึกนั้นในมุม..เชิงวิชาการ...แต่หากเติม..ด้านจิตวิญญาณ คือ "ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง..ในสิ่งที่ทำของผู้วิจัย..." ก็น่าจะเป็นอีกสิ่งยืนยันหนึ่งได้ว่า...งานวิจัยชิ้นนั้น..มีคุณภาพ...เพราะเมื่อเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว..นั่นสะท้อนให้เห็นได้ว่าผู้วิจัย..ได้ลงมือศึกษา...ด้วยตนเองอย่างถ่องแท้...
ลปรร. "ต่อเติมเพิ่มจากคุณชายขอบ"
สิ่งสำคัญที่ "มนุษย์"
เราก้าว..เข้ามาสู่...การ "ลปรร."
นั่นคือ...การพยายามที่..จะดึง
"กึ๋น"..ที่เรามี...ออกมา
หรือภาษาที่นิยมกันมากนัก..คือ Tacit
Knowledge
ต่อภูมิรู้นั้นที่เรามี...สู่ Explicit
Knowledge...
และควรที่จะทำ...เพื่อให้เกิดเป็นนิสัย...ไปจนถึง...วัฒนธรรม
จนกลายเป็นความคุ้นชิน..(สำนวนคุณชายขอบน่ะคะ...)
...
สังคม..เราก็คงจะน่าอยู่ยิ่งขึ้นนะคะ
(เจริญ)
ลปรร. "ต่อเติมเพิ่มจากคุณชายขอบ"
สิ่งสำคัญที่ "มนุษย์"
เราก้าว..เข้ามาสู่...การ "ลปรร."
นั่นคือ...การพยายามที่..จะดึง
"กึ๋น"..ที่เรามี...ออกมา
หรือภาษาที่นิยมกันมากนัก..คือ Tacit
Knowledge
ต่อภูมิรู้นั้นที่เรามี...สู่ Explicit
Knowledge...
และควรที่จะทำ...เพื่อให้เกิดเป็นนิสัย...ไปจนถึง...วัฒนธรรม
จนกลายเป็นความคุ้นชิน..(สำนวนคุณชายขอบน่ะคะ...)
...
สังคม..เราก็คงจะน่าอยู่ยิ่งขึ้นนะคะ
(เจริญ)
ลปรร. "ต่อเติมเพิ่มจากคุณชายขอบ"
สิ่งสำคัญที่ "มนุษย์"
เราก้าว..เข้ามาสู่...การ "ลปรร."
นั่นคือ...การพยายามที่..จะดึง
"กึ๋น"..ที่เรามี...ออกมา
หรือภาษาที่นิยมกันมากนัก..คือ Tacit
Knowledge
ต่อภูมิรู้นั้นที่เรามี...สู่ Explicit
Knowledge...
และควรที่จะทำ...เพื่อให้เกิดเป็นนิสัย...ไปจนถึง...วัฒนธรรม
จนกลายเป็นความคุ้นชิน..(สำนวนคุณชายขอบน่ะคะ...)
...
สังคม..เราก็คงจะน่าอยู่ยิ่งขึ้นนะคะ
(เจริญ)
เป็นความรู้ที่ดีมากเลย ขอบคุณนะคะ กำลังเรียนวิชาวิจัยเชิงคุณภาพอยู่จึงมีประโยชน์มากๆ