องค์การสหประชาชาติกับ
การก่อร่างหลักการในระเบียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศใหม่ : งานศึกษาของJerzy Makaczyk และข้อสังเกตุบางประการ
กฎบัตรสหประชาชาติ , หลักการในการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและการสนับสนุนทางการเงินเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ,ลำดับที่1และลำดับที่2ของทศวรรษเพื่อการพัฒนาโดยสหประชาชาติ
แนวคิดทั่วไปในเรื่องการพัฒนาได้นำมาใช้แล้วในอดีต ณ ดินแดนของประเทศที่วันนี้เรียกว่า กำลังพัฒนา โดยบรรจุอยู่ในธรรมนูญของสันนิบาติชาติ มาตรา 22ของธรรมนูญนี้ได้ยืนยันว่าความรุ่งโรจน์และการพัฒนาขอผู้คนทั้งหลายที่มีรกรากอยู่ในดินแดนภายใต้สันนิบาติชาติ(Leauge of Nations, นับจากนี้เรียกว่า “LN”)นั้นถือเป็น “ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของอารยะ” เป็นที่ยอมรับกันว่าดินแดนที่อยู่ภายใต้LNนั้นมีดินแดนอยู่เพียงเล็กน้อยที่เป็นประเทศยังไม่พัฒนา แต่ถือว่าได้สร้างพันธกรณีที่แน่นอนแก่รัฐทั้งหลายที่ใช้อาณัติปกครองในดินแดนทั้งหลายนั้น
ในกรณีของมาตรา73ของกฎบัติสหประชาชาติ [1] ก็เช่นเดียวกัน กิจกรรมของ LNในมิติของการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคหรือในทางที่กว้างขวางกว่าคือการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นถือเป็นวงความสำคัญหลักๆเลยทีเดียว
ในขณะที่ระดับของกิจกรรมทางการเมืองขององค์การได้ค่อยๆลดระดับลงไปนั้น แคมเปญหลายหลากในทางเศรษฐกิจขององค์การก็เพิ่มระดับสูงขึ้น เพราะฉะนั้น ในตอนท้ายศตวรรษที่สามสิบ กว่า60% ของงบประมาณองค์การได้รับการจัดสรรไปยังเป้าหมายเช่นว่านี้
หลังจากการเริ่มต้นของสงคราม LN ได้เริ่มโครงการสำหรับการสร้าง คณะกรรมการกลางเพื่อการเศรษฐกิจและสังคม(Central Commissiom for Economic and Social Affairs) [2] ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นการสร้างก้าวแรกในทิศทางของความร่วมมือระหว่างประเทศในกิจกรรมเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ระบบอาณานิคมนั้นได้ลดระดับบทบาทขององค์การลงอย่างมาก และเช่นเดียวกัน ความสามารถทางเทคนิคก็ยังอยู่ในระดับจำกัดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากข้อจำกัดทั้งหลายแล้วนั้น LN ได้แสดงให้เห็นถึง จุดเริ่มต้นที่มีคุณค่าอย่างยิ่งนั่นคือการเปิดประตูไปสู่อนาคตแห่งการร่วมมือระหว่างรัฐซึ่งภายหลังได้รับการบัญญัติไว้ในบทที่9และ10ของกฎบัตรสหประชาชาติ
เมื่อมีกฎบัตรซานฟรานซิสโกทำให้ความเชื่อมโยงตั้งต้นระหว่าง สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของรัฐกับความมั่นคงระหว่างประเทศได้รับการยอมรับ [3] การสร้างองค์กรซึ่งถูกระบุให้มีภารกิจทางสังคมและเศรษฐกิจภายในขอบข่ายขององค์การเชิงการเมืองที่ได้รับการเสนอขึ้นมานั้นถือเป็นประเด็นแห่งโต้แย้งกันในการประชุมยอลตา(Yalta conference) [4]
ข้อเท็จจริงที่ว่ากฎบัตรสหประชาชาตินั้มีสองบทสำคัญๆที่ได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดีที่กล่าวถึงประเด็นในเรื่องความร่วมมือซึ่งมีการเน้นย้ำก่อนในข้อบัญญํติอยู่ใน อารัมภบทและมาตรา1 และคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคม(Social and Economic Council)ซึ่งได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นหนึ่งในองค์กรหลักของสหประชาชาติถือเป็นเครื่องบ่งบอกสำคัญถึงวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นกับรัฐทั้งหลายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเกิดขึ้นเพราะความสำคัญของตัวมันเอง(sui juris)(ในเรื่องเศรษฐกิจและสังคม)
ท่ามกลางบทบัญญัติทั้งหลายของกฎบัตรสหประชาชาติที่คอยกำกับเป้าหมายและภารกิจขององค์การในกรอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีสองจุดในอารัมภบท [5] และ วรรค 2และวรร3ของมาตรา1 และข้อบัญญัติในบทที่9 โดยเฉพาะมาตรา55,56 บทบัญญัติเหล่านี้ต่างอ้างหลักการความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งสิ้น มันไม่เคยเกิดขึ้นจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลาที่ระบบอาณานิคมในภาคปฏิบัติเป็นเพียงเรื่องเก่าในอดีต การพิจารณาเช่นว่านี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
แต่อย่างไรก็ตามในปี 1945 การลดระดับของลัทธิอาณานิคมยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดหมายได้ และกฎบัตรสหประชาชาติได้เน้นย้ำในข้อเท็จจริงเช่นว่านี้โดยมีบรรจุเรื่องอาณานิคมไว้ถึง19มาตราในสามบท กำหนดในเรื่อง ดินแดนที่มิได้ปกครองตนเอง (non-self-governing) และดินที่อยู่ในภาวะทรัสตี (trusteeship)และการปกครองดินแดนเช่นว่านี้ [6] กล่าวคือ มีข้อบัญญัติมากกว่าเรื่องราวความร่วมมือทางสังคมและเศรษฐกิจระหว่างรัฐอธิปไตยทั้งหมดรวมกันเสียอีก ในมาตรา 73เราไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะหลักการทั่วไปว่าด้วยเรื่องการปกครองดินแดนซึ่งคนในดินแดนยังมิได้บรรลุถึงจุดที่สามารถดูแลตนเองได้อย่างสมบูรณ์ มันยังมีข้อความระบุถึงหน้าที่อันหนักแน่นของสมาชิกองค์การที่จะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกครองดินแดนเหล่านั้น ซึ่งได้รวมไปถึงหน้าที่ที่จะการันตีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของดินแดนเหล่านั้น [7] เป้าหมายพื้นฐานอีกอย่างของระบบทรัสตีนั้น คือเพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการธำรงค์ไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ, การสนับสนุนช่วยเหลือในความก้าวหน้าทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในดินแดนที่อยู่ในภาวะทรัสตี [8]
จึงอาจสรุปได้ว่า กฎบัตรสหประชาชาตินั้นบัญญัติข้อบัญญํติทั้งหลายโดยมุ่งให้เป็นองค์การแห่งความร่วมมือและประกันความก้าวหน้าทางสังคมและเศรษฐกิจภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองที่มีอยู่ทั่วโลก ณ เวลานั้น ในการยอมรับซึ่งสิทธิของรัฐสมาชิก กฎบัตรยังวางพันธกรณีซึ่งได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆกับจัดให้มีรูปแบบที่แน่นอนของการควบคุมเหนือการตัดสินใจใดๆของรัฐเจ้าอาณานิคม [9] ทั้งหมดทั้งมวลนี้ในความเป็นจริงอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีเรื่องบทบาทเชิงป้องกันของประเทศพัฒนาแล้วโดยคำนึงถึงฝ่ายตรงข้ามที่กำลังพัฒนา ในเรื่อง ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของอารยะ [10] การตระหนักซึ่งปัจจัยแห่งเสถียรภาพในระเบียบโลกที่ปรากฎอยู่นั้น แต่ในความเป็นจริงทางการเมืองนั้นหาได้ยืนยันความคาดหวังเช่นว่านั้น ไม่
กล่าวโดยสรุปในเบื้องต้นก่อนที่จะพิจารณาต่อไปในบทหน้า คือประเด็นที่ Makaczykเรื่อง ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของอารยะ นั้นเป็นข้อความคิดที่สำคัญมาก
ในอดีตขณะที่ลัทธิจักรวรรดินิยมยังเป็นที่แพร่หลายอยู่ทั่วโลก [i] นอกเหนือจากปฏิบัติการโหดเหี้ยม ในการยึดครองดินแดนอื่น ที่ยุโรปอ้างเอาว่าเป็นชนชาติป่าเถื่อน ที่เป็นบ่อเกิดของ ข้อความคิดทางทุนนิยมที่ว่ามนุษย์เป็นสินค้า [ii] รวบรวมดินแดนและเป็นการสูบทรัพยากรที่มากมายทั่วโลกเพื่อเข้าไปกระจุกตัวอยู่ที่ตน(ในยุโรป)
มีข้อความคิดหนึ่งที่สำคัญทำให้เกิดความชอบธรรมของรัฐอาณานิคมทั้งหลายนั่นคือ “white man’s burden” (ภารกิจของคน(ปีศาจ)เผือก) ซึ่งถือตนว่าเป็นผู้ที่มีอารยธรรมและหากผู้อื่นมีการดำเนินชีวิตที่มาตรฐานไม่เหมือนตน (ซึ่งไม่สำคัญว่ามาตรฐานนั้น ความจริงแล้วดีกว่าหรือไม่) ก็จะถือเอาว่ามีความชอบธรรม(legitimacy) ที่จะเข้าไปยึดครองและเชื่อว่าตนนำสิ่งที่ดีกว่ามามอบให้และเป็นผู้ปลดปล่อยจากความป่าเถื่อนงมงาย ข้อความคิดเช่นว่านี้ดำรงอยู่เรื่อยมา และงานศึกษาชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นว่า
ข้อความคิดเช่นว่ายังดำรงอยู่ แต่ประเด็นคือ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อข้อความคิดนี้ และสะท้อนไปยังระเบียบและกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นั่นคือ เกิดหลักการเช่น “การให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและการพัฒนา”, “หลักการเพื่อนบ้านที่ดี (good neighborliness)” ต่อดินแดนที่อยู่ภายใต้ปกครองหรือที่อยู่ในสภาวะทรัสตี ทำให้รัฐหรือดินแดนที่กำลังพัฒนาตอนนั้นเริ่มมีสิทธิและมีโอกาสหรือความสามารถมากขึ้นที่จะพัฒนาตัวเองและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจหรือสังคมตน ถึง
แม้ว่าข้อความคิดเรื่อง ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของอารยะ นั้น หากดูเพียงผิวเผินอาจจะ เหมือนกับเป็น จุดยืนทางศีลธรรมอันสูงส่งของโลกที่หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้ ในเจตนารมณ์ทั้งหลายของข้อบัญญัติทั้งหลายที่ระบุถึงเรื่องนี้นั้น ถือเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันมากกว่ามิใช่จุดยืนทางศีลธรรมเท่าใดนัก เพราะหากประเทศโลกที่สามพัฒนาประเทศโลกที่หนึ่งก็มีโอกาสที่จะ สร้างเสถียรภาพให้กับตัวเขาเอง [iii]
เพราะฉะนั้นงานศึกษาต่อไปครั้งหน้าจะกล่าวถึงการก่อเกิดของสิทธิของประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งมีการริเริ่มมาจากองค์การสหประชาชาติ และทบวงชำนัญพิเศษของมัน เพื่อจะนำพาไปสู่ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันนั่นคือ การต่อสู้ทางอุดมการณ์, ทางการค้า ซึ่งสะท้อนผ่านการเจรจาต่อรองในทางการค้าหลายๆ เวที
[1] เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในสัติภาพและความมั่นคงนานาชาติ มาตรา 73 ยังระบุจุดมุ่งหมายพื้นฐานของระบบทรัสตีซึ่งควรสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นคือ การพัฒนาในทางการเมือง, สังคม, เศรษฐกิจ, และการศึกษาของพลเมืองที่อยู่ในดินแดนทรัสตีและในทำนองเดียวกันกับการพั
[2] พิจารณาประกอบกับ : Leauge of Nations – The Development of International Co-operation in Economic and Social Affairs (report of the Special Committee) Doc. A/23/1939
[3] Article 55 of the Charter
[4] ความตกลงในประเก็นนี้ยังไม่บรรลุจนกระทั่งปี 1944 ณ การประชุมที่ DumBarton Oaks พิจารณาประกอบกับ R. B. Russel, J.E. Muther, A History of the United Nations Charter, Washington, 1958, หน้า 321-322
[5] ว .4 “ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคมและมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้นโดยเสีรีภาพที่กว้างขวางกว่าเดิม ” และ ว.7 “ เพื่อสร้างกลไกระหว่างประเทศสำหรับการส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมสู่ปวงชนทุกคน ”
[6] บทที่ 11 – Declaration Regarding Non-Self-Governing Territories, บทที่ 12 – International Trusteeship System, บทที่ 13 – The trusteeship Council
[7] มาตรา 73 วรรค b.
[8] อ้างแล้ว , วรรค c และ d
[9] อ้างแล้ว , วรรค e มาตรา 74 ของกฎบัตรยังจัดวางพันธกรณีในเรื่องอำนาจของรัฐอาณิคมโดยต้องอยู่บนพื้นฐานนโยบายของพวกเขาที่ต้องคำนึงถึงดินแดนภายใต้ปกครอง “ ... ไม่น้อยไปกว่านั้น โดยคำนึงถึงเขตเมืองหลวงของรัฐเจ้าอาณานิคม [….] โดยอยู่บนหลักความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี (goodneighborliness) และต้องพิจารณาถึงผลประโยชน์และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่นทั่วโลกด้วยทั้งในปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และการพาณิชย์ ” กล่าวคือ กฎบัตรได้ทำให้รู้ถึงความเป็นกฎหมายในตัวเอง ( sui juris ) ในหลักการเรื่องความสามัคคีสำหรับผู้หาประโยชน์ ( Solidarity of the exploiters )
[10] ควรเน้นย้ำว่า จากข้อความในมาตรา 78 ของกฎบัตร หลักการเรื่องความเท่าเทียมกันของอธิปไตยนานารัฐนั้นได้บังคับใช้เพียงแต่ระหว่างรัฐสมาชิกเท่านั้น “ ระบบทรัสตีจะไม่ประยุกต์เข้ากับดินแดนที่ได้กลายมาเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างกันจะอยู่บนพื้นฐานของหลักการเรื่องความเท่าเทียมกันของอธิปไตย ”
[i]
ในความหมายของรัฐผู้มีอำนาจทางการเมืองเหนือรัฐอื่นๆในตอนนั้น
แต่รัฐที่ถูกกระทำนั้นอยู่ในฐานะต้องอดทน
(toleration
)
[ii]
เช่นการค้าทาส เป็นต้น ภัควดี วีระภาสพงศ์, สับเละเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์กระแสหลัก
:
ประเทศไทยไม่มีทางเลือกนอกจากทุนนิยมจริงหรือ
?
, เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
[iii]
Andrez Lovenfeld, International Economic Law
[i] ในความหมายของรัฐผู้มีอำนาจทางการเมืองเหนือรัฐอื่นๆในตอนนั้น แต่รัฐที่ถูกกระทำนั้นอยู่ในฐานะต้องอดทน (toleration )
[ii] เช่นการค้าทาส เป็นต้น ภัควดี วีระภาสพงศ์, สับเละเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์กระแสหลัก : ประเทศไทยไม่มีทางเลือกนอกจากทุนนิยมจริงหรือ ? , เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
[iii] Andrez Lovenfeld, International Economic Law
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Mr. นาย ไกรศร เรืองกูล ใน International Economic Law Articles
หาศัพท์ให้แล้วนะอย่าลืมไปอ่านในblogล่ะจ้ะคุณ plus one