เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำรัฐฮาวาย ซึ่งในโรงพยาบาลแห่งนี้มีแผนกจิตเวชที่รักษานักโทษโรคจิตขั้นร้ายแรงอยู่ คนไข้ที่มารักษาที่นี่มีประวัติที่สุดแสนอุกฉกรรจ์ มีทั้ง ฆาตรกรโรคจิต ฆาตรกรฆ่าข่มขืน ลักพาตัวฯลฯ ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษซึ่งถูกส่งตัวมารักษาบ้างก็ก่อนได้รับการพิจารณาโทษหรือในบางรายก็ถูกส่งตัวมาดูอาการว่าสามารถส่งพิจารณาความผิดได้หรือไม่
เป็นที่เล่าขานกันว่าสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปในแผนกนั้นทรุดโทรมย่ำแย่เหลือทน ผนังเก่าๆ สภาพห้องที่เหม็นอับ จนแพทย์พยาบาลทั้งหลายต่างไม่อยากที่จะแวะเวียนไปย่ำกรายที่แผนกนี้ พนักงานประจำต่างพากันลาป่วยเป็นว่าเล่น ประกอบกับความหวาดกลัวการถูกทำร้ายจากบรรดานักโทษทั้งหลายที่ได้ชื่อว่ามักจะทำร้ายนักโทษด้วยกันหรือแม้แต่ผู้คุมไม่เว้นแต่ละวัน แม้คนไข้เหล่านั้นจะมีโซ่ล่ามอยู่ด้วยก็ตาม นักโทษเหล่านั้นไม่เคยได้ถูกพาออกไปสูดอากาศนอกตึกเลยสักครั้งเพราะเกรงว่าจะก่อเรื่องต่างๆนานาขึ้นอีก
วันหนึ่งมีจิตแพทย์คลีนิคคนใหม่ย้ายไปประจำที่นั่น ชื่อ ดร สแตนลี่ ฮิว เลน เหล่านางพยาบาลประจำที่อยู่มานานต่างพากันมองจิตแพทย์หนุ่มด้วยสายตาเย้ยหยันและคิดตามประสาว่ายังไงเขาคนนี้ก็คงไม่ต่างจากคนอื่นๆที่ีคงจะนำเอาทฤษฎีต่างๆที่เคยเรียนมาเอามาลองใช้ดู หากไม่สำเร็จอีกไม่นานก็คร้านจะขอย้ายไปที่อื่นเหมือนทุกคนที่ผ่านเข้ามา...
แต่ทว่าจิตแพทย์คนนี้ไม่ได้ทำอยางที่ใครต่อใครคาดเอาไว้ จริงๆแล้วเขาดูเหมือนจะไม่ทำอะไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลย นอกจากมาทำงานตามปกติและยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเป็นธรรมชาติยู่ตลอดเวลา บางครั้งบางคราเขาก็จะขอประวัติคนไข้มาอ่าน เขาไม่เคยให้การรักษาคนไข้โดยการพูดคุยทำความรู้จักคนไข้เลย
และแล้วสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย มีการทาสีผนังห้องให้ดูน่าอยู่ขึ้น มีการทำสวนหน้าตึกให้น่าดูขึ้น สนามเทนนิสถูกซ่อมให้ใช้การได้ และที่แปลกไปกว่านั้น นักโทษบางคนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยแม้แต่จะได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกตึกก็ออกมาเล่นเทนนิสกับผู้คุมได้ นักโทษที่ได้รับยากล่อมประสาทก็มีอาการดีขึ้นจนไม่ต้องใช้ยาควบคุม คนไข้หลายต่อหลายคนได้รับอนุญาติให้ออกไปนอกตึกโดยที่ไม่ต้องใช้โซ่ล่ามเหมือนเคย และอัตราการทำร้ายกันของนักโทษและการทำร้ายผู้คุมลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลแห่งนั้นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
พนักงานในโรงพยาบาลตั้งใจมาทำงานโดยไม่ขอลาป่วยโดยไม่จำเป็น มีคนอยากทำงานที่นั่นมากขึ้นเรื่อยๆ นักโทษถูกปล่อยตัวกลับเรือนจำ ในที่สุดแผนกจิตเวชนักโทษของโรงพยาบาลต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีคนไข้เหลืออยู่อีก
ดร สแตนลี่ ฮิว เลน ใช้เวลา 4 ปีในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
สงสัยใช่ไหมล่ะคะว่าเขาทำอย่างไรจึงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อย่างนั้นได้ ในหนังสือ Zero Limit, The secret of Hawaiian System for Wealth, Health, Peace and more ของ Joe Vitale กล่าวถึงเทคนิคที่ ดร ฮิว เลนใช้ ว่าเป็นสูตรลับโบราณในการสร้างชีวิตที่เป็นสุขของชาวฮาวายที่เรียกว่า "Ho’oponopono" "โฮโอโปโนโปโน"
ดร ฮิว เลน บอกว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนั้นคือการดูประวัติของคนไข้ พยายามรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่คนไข้เหล่านั้นเผชิญเมื่อเรามองเขาเป็นคนวิกลจริต เมื่อโลกมองเขาว่าเป็นคนวิกลจริต ยิ่งใส่ใจกับความต่างที่เขามี ก็เหมือนกับว่าเราอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเรื่อยไป เพราะ ดร ฮิว เลนเชื่อว่าการที่คนไข้เหล่านั้นมีอาการย่ำแย่ลงเพราะเราคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้น ดร ฮิว เลนจึง เปลี่ยนแนวการรักษาแบบใหม่ แทนที่จะรักษาคนไข้แบบตัวต่อตัวเขาเลือกที่จะรักษาตัวเขาเอง ให้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวด พยายามเข้าใจในสิ่งที่คนไข้กำลังเผชิญ และเริ่มเปลียนการมองในความต่างระหว่างเรากับคนไข้เหล่านั้น ลองมองว่าเขาปกติเหมือนเราๆ ให้ความรักกับคนไข้เหล่านั้น
"โฮโอโปโนโปโน" เกิดขึ้นจากหลักความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทีเกิดขึ้นและเป็นอยู่ สืบเนื่องมาจากความคิดของเรา การมองสิ่งแวดล้อมของเราเอง และเป็นความรับผิดชอบของเรา 100 เปอร์เซ็นต์ หากการที่คนไข้เหล่านั้นไม่ชอบเราและจะทำร้ายเรานั่นก็เป็นเพราะเราไม่ได้รักเขาก่อน อาการของคนไข้ไม่ดีขึ้น ก็เพราะตัวเราเองที่ไปมองว่าเขาไร้สติ เพราะเราไม่ได้มองเขาในทางที่ดีขึ้น
ดังนั้นเราก็ควรเริ่มแสดงความรับผิดชอบ เริ่มมองว่าเขาเป็นปกติเหมือนเรา ให้โอกาสเขาพิสูจน์ตัวเองว่าเขาก็เหมือนเรา เริ่มรักเขา ตลอดทั้งเรื่องในหนังสือ Zero Limit พูดถึงการเริ่มต้นที่ตัวเราเอง และการคิดติดสมองกับคำว่า
ฉันขอโทษ...... ฉันรักเธอ.....
ตอนแรกฉันก็ยังรู้สึกแปลกๆกับทฤษฎีนี้แต่พอคิดให้ลึกลงไป หากจะลองดัดแปลงหลักการนั้นในการดำเนินชีวิตของเรา ฉันคิดว่ามันเป็นการคิดที่ดีทีเดียว การที่เรารู้สึกผิดที่มองโลกในแง่ร้ายและแสดงความรับผิดชอบด้วยการแก้ไขตัวเอง สำหรับฉันถือว่าเป็นการลดความเป็น "ฉัน" ลงได้เป็นอย่างดี
เมื่อใดที่เราลดความเป็น"ฉัน" ลงความสงบในใจจะตามมา และสันติภาพจะเริ่มก่อตัวขึ้นเราจะสามารถรับเหตุการณ์ที่ไม่สู้ดีได้ดีขึ้น และหากเราสามารถมองความไม่พึงปรารถนาที่ผ่านเข้ามาด้วยความรักได้ ฉันคิดว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก
คนไข้เหล่านั้นได้รับความเข้าใจ ความเห็นใจ ความรัก จาก ดร ฮิว เลน เขารู้สึกถึงความจริงใจที่มีคนอยากเห็นเขาเป็นคนปกติ เมื่อมีคนมองเขาเป็นคนปกติ เขาก็จะมีความเชื่อมั่น ความมั่นใจในตัวเองที่อยากเป็นคนปกติ ตั้งใจรักษาตัวเองให้ดีที่สุดโดยตระหนักดีว่ามีคนที่รักและให้โอกาสเขาอยู่ เมื่อพลังนี้แพร่ขยายออกไปจากแพทย์คนหนึ่งไปยังทุกๆคนในแผนก มันจึงเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ ดังตัวอย่างนั้น
บ่อยครั้งที่เราใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทางลบมากเกินไป ใช้พลังงานกับสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป จนแทบไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับสิ่งดีๆที่เราอยากเห็นอยากมี
ขอให้เช้าวันใหม่ของสัปดาห์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการให้โอกาสตัวเองมองสิ่งรอบตัวในทางบวก บอกสิ่งรอบตัวว่ารักนะ ก็ในเมื่อเราอยากอยู่ในโลกที่สวยงาม เราก็ต้องมองว่าโลกใบนี้งดงามใช่ไหมคะ?
ดังที่ไอโดลของฉัน มหาตมะคานธีเคยกล่าวเอาไว้ว่า "Be the change you want to see in the world"
ขอให้มีความสุขในวันเริ่มต้นสัปดาห์ค่ะ.....