บัญญัติ 10 ประการของการเป็นนักศึกษาปริญญาเอก (Research Scholar)
1.ตัดตัวแปรที่จะส่งผลเสียต่อการทำงานวิจัยออกไปให้มากที่สุด ทั้งตัวแปรทางสังคมและตัวแปรทางจิตใจ
2. การวิจัย คือ ศึกษากรณีศึกษาในบางเรื่องแล้วนำผลการศึกษานั้นมาเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ การเขียนงานวิจัยไม่ใช่การเขียนตำราวิชาการ งานวิทยานิพนธ์อาจผิดพลาดหรือโต้แย้งได้ แต่ตำราวิชาการต้องถูกต้องสมบูรณ์แบบ
3. ลดเงื่อนไขให้มากที่สุด นั่นคือ ต้องสามารถทำงานได้ทุกกรณี เพื่อให้งานวิจัยเดินหน้าเต็มที่ อย่าพยายามสร้างเงื่อนไขที่จะทำให้งานวิจัยมีอุปสรรค (อย่าอาย อย่ากลัวเสียหน้า อย่ามากเรื่อง)
4. พยายามทำตัวเหมือนเด็ก คือมีความซื่อ มองทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ โดยไม่ต้องกลัวผิดพลาด ทำทุกอย่างให้เป็นการพิสูจน์ทดลอง และอย่าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีอยู่แล้ว หรือตัวเองรู้ดีอยู่แล้วเก่งอยู่แล้ว ซึ่งแม้เราจะรู้และทำได้ก็ต้องทำเป็นไม่รู้ ที่สำคัญกล้าที่จะผิดพลาด พร้อมที่จะได้รับคำตำหนิอย่างมีใจเปิดกว้าง ให้มองเห็นความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และการวิจัย มองการตำหนิจากอาจารย์เป็นการนำเสนอแนวทางใหม่ที่ถูกต้องดีกว่าที่เราทำ
5. ต้องมีทัศนคติแบบเปิดกว้าง อย่ามีทัศนคติและท่าทีแบบคับแคบ เพราะด้วยท่าทีที่เปิดกว้างเท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าได้ ทำให้มีมุมมองที่หลากหลายมีปัญหาก็สามารถที่จะหาทางออกได้อย่างมากมาย ตรงกันข้ามการมีทัศนคติที่คับแคบจะทำให้เราไม่ต้องการเรียนรู้หรือพัฒนาตัวเองเพราะคิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว ทำให้มีมุมมองด้านเดียว เพราะฉะนั้นเวลาประสบกับปัญหาจึงมักจะตีบตันหาทางออกได้น้อยมาก ไม่ค่อยมีทางเลือกในการแก้ไขปัญหา
6. ต้องมีความกล้า กล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำ กล้าที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความผิดพลาด เพราะความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยและการเรียนรู้ ที่สำคัญจะต้องเป็นความกล้าที่ตั้งอยู่บนฐานคือความถ่อมตน
7.ทำให้แตกต่างจากการเรียนบาลีมากที่สุด (สำหรับคนที่เรียนบาลีมาก่อน) เพราะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน การเรียนบาลีมีจุดหมายเพื่อให้เราได้เรียนรู้ความผิดพลาดจากความถูกต้อง เมื่อเรารู้ความถูกต้องเราก็ย่อมที่จะเข้าใจความผิดพลาด ส่วนการทำงานวิจัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราได้เรียนรู้ความถูกต้องจากความผิดพลาด เพราะความผิดพลาดทำให้เราเข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง
8. อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง ให้ถือว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นการก้าวเดินไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ต้องมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มองการเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์ เพราะด้วยความเปลี่ยนแปลงเท่านั้นที่จะทำให้เราก้าวหน้าอย่างแท้จริง จริงอยู่เราอาจขยาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงในตอนแรก แต่เมื่อเราวางใจเดินตามความเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติ มีความสนุกที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากความเปลี่ยนแปลง ความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงก็จะหายไปกลายเป็นความสุขที่ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
9. อย่าคิดว่าความถูกต้องมีอยู่เพียงวิธีการเดียว ถ้าเราคิดว่าความถูกต้องจะต้องเป็นอย่างนี้เราจะไม่กล้าทำอไรที่แตกต่างจากคนอื่นหรือจากรูปแบบที่เคยเรียนมา การไม่กล้าที่จะทำอะไรให้แตกต่างเป็นการทำให้เราเสียโอกาสที่จะได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง ขอให้เราเข้าใจว่าความแตกต่างไม่ใช่ความไม่ถูกต้อง แต่เป็นการแสดงออกอีกด้านหนึ่งของความจริงอันเดียวกัน ความแตกต่างเป็นลักษณะของสังคมที่มีความเจริญ ขณะเดียวกันการรู้จักทำให้แตกต่างก็เป็นลักษณะของคนที่เจริญหรือคนมีปัญญา ดังนั้นจงกล้าที่จะแตกต่าง
10. อย่าคิดว่าทุกอย่างสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว แต่จงคิดว่าทุกอย่างสามารถที่จะพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งกว่านี้ และไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างล้วนมีความบกพร่องอยู่ในตัวเอง ทุกอย่างล้วนมีข้อจำกัดของมันเอง จงเรียนรู้ข้อบกพร่องและขีดจำกัดนั้นเพื่อพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อย่ามองความบกพร่องหรือขีดจำกัดนั้นเพื่อที่จะยอมรับมันโดยดุษฏี แต่มองความบกพร่องเป็นสิ่งกระตุ้นให้เราทำให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ไม่มีความเห็น