จากที่หนูและพี่อ้อ ออกเดินทางไปนิเทศน์งาน และนำกล้าพันธุ์ไปให้ที่ รพ.สต.เฉลิมพระเกียรติฯ บ้านเมืองใหม่ อ.ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เราทั้งคู่มักจะทำงานแบบเป็นธรรมชาติ คุยกันกับคนทำงานแบบเนียน ๆ และเป็นธรรมชาติ ก็นั่งคุยกันที่พื้นห้องนวดกันทีเดียวค่ะ เป็นกันเองและกระชับใจ แบบใจถึงใจกันทีเดียวหล่ะ งานแผนไทยมีกันอยู่คน คือ น้องนี (นักการแพทย์แผนไทย) มีลูกน้องในความดูแลอีกสองคนคือ แม่สำรองและแม่วัฒน์
จากที่นั่งคุยกันแบบสบาย ๆ พี่อ้อ รู้สึกประทับใจในพลังของการทำงานของแต่ละคน จึงขอถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราว จากสีหน้าตอนที่ท่านเดินมาบอกว่า "มีเรื่องฝาก"
ใจหนูก็ปรากฏคำว่า "อืม.....น่าติดตาม น่าอ่าน"
อ้อ........ครานี้พี่อ้อกับกำชับว่า
"พี่เขียนไม่ดีหรอกนะ แต่ว่าประทับใจ แม่สำรอง เลยอยากให้เอาลง"
เรื่องราวไม่สำคัญค่ะ สำคัญที่ว่า ท่านเขียนด้วยใจ เพียงแค่ใช้ตัวหนังสือเป็นตัวสื่อ เขียนเสร็จแล้ว ยิ้มได้ขนาดนี้ เรื่องราวคงไม่ธรรมดา ลองอ่านดูนะคะ
เรื่องเล่าจากผู้ช่วยแพทย์แผนไทย
มีโอกาสได้รู้จักกับผู้ช่วยแพทย์แผนไทย คือคุณพี่สำรอง (พี่รอง) จากการดูหน้าตาแล้วอายุหน้าจะประมาณ 40 ต้น ๆ แต่ที่ไหนได้ 51 แล้วค่ะ หน้ายังอ่อนอยู่เลย (คิดว่าอายุใกล้ ๆ กับเรา โธ่เอ้ย ! กระดูกคนละ พ.ศ.)
พี่รองเป็นคนน่ารัก ยิ้มเก่ง ไหน ๆ ก็มานั่งยิ้มให้เราอยู่ใกล้ ๆ ก็เลยขอความรู้เป็นประสบการณ์ชีวิต ทำให้ชีวิตมีกำลัง ใจในการทำงาน
คุณพี่รองเล่าว่า ทำงานเป็น อสม.หลายปีแล้ว แต่เข้ามางานนวดนี้ได้ประมาณ 3 ปี แถมตอนนี้บรรจุเป็นผู้ช่วยแพทย์แผนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ( ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ ที่ได้เข้ามาทำงานใน กระทรวงเดียวกัน )
คุณพี่ได้เล่าว่าก่อนมาถึงจุดนี้ก็ได้ผ่านอะไรมาเยอะมาก หัวหน้า (หมายถึงท่าน ผอ. แต่ชาวบ้านที่นั่นจะเรียกว่าคุณหมอ) ชวนมาเข้ารับการอบรมนวดแผนไทย ทางคุณพี่ก็ตอบปฏิเสธบอกว่าทำไม่ได้ ไม่ว่าจะบอกให้มา หรือถามอีกกี่ครั้งก็ตอบปฏิเสธอย่างเดียว จนกระทั่งครั้งสุดท้ายคุณหมอไปหาที่บ้าน แล้วคุณพี่รองไม่อยู่ไปช่วย งานต่างหมู่บ้าน คุณหมอก็นั่งรออยู่ที่บ้านจนดึกก็ยังไม่กลับก็เลยคุยกับสามีของพี่รอง คุยไปคุยมาสามีก็เลยรับปากว่าเดี๋ยวจะบอกให้ไปหา พอพี่รองกลับมาถึงบ้านสามีก็บอกว่า
“ไป๋เถอะ ถ่าเฮ็ดบ่ได่ก็ค่อยเลิก ได่รับปากกับคุณหมอไปแล่ว เผิ้นมาถ่าตั้งโด๋น”
สุดท้ายพี่รองก็เข้ามาอบรม ด้วยความคิดที่ว่าคุณหมอก็เป็นคนดีเวลามีสิ่งดี ๆ เข้ามาก็มาบอกมาชวนให้ไปทำ
อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกันก็มาบอกถือว่าเป็นโอกาสหนึ่งในชีวิตที่ใคร ๆ ก็ไม่สามารถหาได้ง่าย ๆ ถ้าทำไม่ได้ก็เลิกคงไม่เป็นไร
พี่รองจึงเป็น 1 ใน 22 คน ที่ได้เข้ารับการอบรมในครั้งนั้น ซึ่งทุนต่าง ๆ ได้รับการสนับ สนุนจาก อบจ. ไม่ได้เสียเงินอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว หลังจากนั่นก็กลับมานวดที่ รพ.สต.
พี่รองเล่าว่าครั้งแรกที่ได้นวดก็ยังไม่คุ้นเคยกับการได้จับหรือถูกเนื้อต้องตัวคนอื่น แต่เมื่อนวดไปเรื่อย ๆ คนที่ถูกนวดบอกว่า
“นวดดีมากเลย หายปวดเมื่อย น้ำหนักมือก็ดี”
เท่านั้นแหล่ะค่ะความที่รังเกียจการถูกเนื้อต้องตัวคนอื่นหายไปจนปลิดทิ้ง มีแต่กำลังใจในการที่ได้นวด
การนวดแต่ละครั้งไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินทุกครั้งไป แต่รางวัลที่พี่รองได้รับคือความสุข ๆ ที่ได้ทำให้ สุขที่ทำให้เขาหายปวด สุขที่ครั้งหนึ่งในชีวิตก็สามารถช่วยคนที่มีความทุกข์เนื่องจากการเจ็บปวดไห้หายได้
พี่รองเล่าไปก็น้ำตาจะไหลไป เป็นน้ำตาแห่งความสุขที่ล้นทะลักออกมาด้วยความปิติ ในจำนวนทั้งหมด 22 คนมี
พี่รองเพียงคนเดียวที่ยังนำความรู้ในการอบรมครั้งนั้นมาใช้ประโชยน์กับ รพ.สต. ชาวบ้าน และกับตัวเอง
เราถามพี่รองว่าทำไมถึงปฏิเสธคุณหมอ พี่รองบอกว่า ไม่อยากถูกเนื้อต้องตัวคนอื่น รังเกียจ ลูกกับสามียังไม่ได้ทำให้ขนาดนี้เลย ประมาณว่ารับไม่ได้ อีกอย่างเป็นคนพูดไม่เก่ง ความจำก็ไม่ค่อยดี เรียนก็น้อย อายุก็มากแล้ว และคิดว่าตัว เองทำไม่ได้
เราจึงถามต่อว่าแล้วตอนนี้รู้สึกยังไง
พี่รองก็ตอบว่าดีใจมากที่คุณหมอได้ให้โอกาส ได้ให้ที่นาในการทำมาหากิน และมีรายได้เลี้ยงครอบครัว
(เป็นคำเปรียบเทียบว่าการได้ไปเรียนนวดแล้วสามารถนำมาประกอบเป็นอาชีพมีรายได้เลี้ยงครอบครัว)
โดยปกติเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้บรรจุ ก็จะมาช่วยงานที่ รพ.สต.บ้าง จากนั้นก็จะรับนวดเองช่วงใหม่ ๆ ก็นวดวันละ 3 คน แต่ปัจจุบันวันละ 5 คน
ส่วนรายได้เมื่ออบรมจบมาใหม่ ๆ ยังไม่มีใบรับรองก็จะเก็บคนละ 60 บาท พอเก่งขึ้นมาหน่อยก็คนละ 100 บาท แต่ปัจจุบันคนละ 200 บาท ใช้เวลานวดประมาณ 2 ชั่วโมงและประคบให้ด้วย
เมื่อก่อนก็จะทำลูกประคบเองและขายลูกประคบเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง
แต่ปัจจุบันไม่มีเวลาเหมือนเมื่อก่อนจะทำงานที่ รพ.สต. เป็นหลัก ถึงจะไม่ได้เงินเยอะเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยอมรับได้เพราะมีความสุขที่ได้ช่วยนวดให้คนไข้แล้วเขาหายจากอาการปวด รู้สึกภูมิใจที่ช่วยเขาได้
ก็จะอาศัยวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ รับนวดเอง ถ้าใครต้องการนวดก็จะติดต่อมาให้ไปนวดที่บ้านก็ได้ ใช้เวลานวด 2 วันนี้ก็ได้เงินประมาณ 2,000 บาทก็อยู่ได้แล้ว อยากกินอะไรก็ได้กิน ไม่เหมือนเมื่อก่อน อีกอย่างลูกก็โตและไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว
เราจึงถามต่อไปว่ามาทำงานนวดอย่างนี้มีปัญหากับครอบครัวไหม
พี่รองบอกว่า ไม่เคยมีปัญหาเลย สามีก็เข้าใจดี มีแต่ให้รีบไปเดี๋ยวเขาจะรอ ถ้าไปนวดกลับเย็นหน่อยก็จะโทรไปถามว่าอยู่ที่ไหน ถ้ามืดมากก็จะไปดักรอรับแล้วก็ขับรถตามกันกลับบ้าน (น่า รักจังเลย) และพี่รองไม่ได้ทำหน้าที่แม่บ้านบกพร่องเลยยังดูแลครอบครัวเหมือนเดิมจะไม่รับลูกค้าหลัง 16.30 น. แต่ถ้าใครจะนวดจะต้องมานวดที่บ้านเพราะพี่รองได้ต่อเติมบ้านเพิ่มอีก 1 ห้องเป็นห้องนวด จึงไม่มีปัญหาครอบครัว
แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการวางตัวของเราด้วย ว่าเหมาะสมไหม
ก็เคยมีคนพูดให้เหมือนกันว่าอายุขนาดนี้มาเป็นหมอนวดไม่รู้ว่านวดอะไร
(อ้าว! เอาเข้าไป แต่ก็ไม่ผิดหรอกนะคะอย่าคิดมาก เพราะในสังคมชนบทการนวดยังไม่เป็นที่ยอมรับ เมื่อมีการนวดเกิดขึ้นเป็นการถูกเนื้อต้องตัวกัน ก็เลยมองกันในแง่ลบ)
และก็มีคนบางคนคิดว่าพี่รองจะเป็นอย่างนั้นด้วยแต่เวลาผ่านมา 3 ปีแล้วพี่รองก็ยังทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย แถมยังนวดให้กับคนที่พูดให้พี่รองในแง่ลบจนหายจากอาการปวดเมื่อย ได้กลายเป็นลูกค้าขาประจำไปแล้ว แถมบอกว่าหน้าจะไปอบรบด้วยจะได้มีรายได้เพิ่ม พี่รองบอกว่าก็มีผู้ชายอายุน้อยกว่ามานวดก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ทำเป็นหมาหยอกไก่ หรือทดสอบจิตใจพี่รองก็ไม่รู้ ซึ่งพี่รองก็เล่าแบบติดตลกว่า เราก็ไม่ได้คนสวยอะไร อายุก็มากแล้ว ยังมีคนมาสนใจอีกเหรอ แถมยังมีสามีเป็นตัวเป็นตนอีกต่างหาก (อยากจะบอกว่าไม่สวยแต่น่ารักมากกกกกกกกกกกก) แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะพี่รองบอกตรง ๆ กันไปเลยที่มาทำตรงนี้เพราะอะไร มันเป็นการนวดเพื่อรักษาให้หายปวดเมื่อยและผ่อนคลาย (นั่นซิ คิดมากกันจัง ไม่ได้นวดเพื่อเพิ่มความเครียดเสียหน่อย) จากนั้นก็นับถือกันเป็นพี่เป็นน้องนอกจากจะเป็นลูกค้าประจำแล้วยังแนะนำลูกค้าให้อีก ดีจังเลย
งานเขียนจากการลงพื้นที่ รพ.สต. บ้านเมืองใหม่
เรื่องเล่างาน ComMedSci ศวก.ที่ 6 (ขอนแก่น) ι เรื่องเล่าจากผู้ช่วยแพทย์แผนไทย
ภาพนี้ตอนที่พี่อ้อกับแม่สำรองกำลังนั่งคุยกัน
เห็นบรรยากาศแล้ว อดเก็บภาพไว้ไม่ได้ค่ะ น่ารักจริง ๆ
อันนี้มื้อเที่ยงแบบชิว ๆ ค่ะแม่ค้าก็น่ารัก
อะไร ๆ พี่เขาก็ขายดีหมดแทบไม่มีอะไรให้ทาน
แถมน่ารักมาก ๆ ให้สั่งร้านข้าว ๆ มานั่งทานที่นี่ได้
ที่สำคัญอาหารราคาถูกมากค่ะ
แบบว่า มาครั้งนี้ เราไม่ได้เบิกอะไร
รู้สึกดีใจที่ได้จ่ายเอง เหมือนได้เลี้ยงขอบคุณยังไง ยังงั้นเลยทีเดียวค่ะ
(^_^)
อ่านแล้วยิ้มไม่หุบเลยค่ะ โหพี่อ้อนั่งคุยไม่นานแต่เก็บรายละเอียดได้ดีจังเลย
ไม่เหมือนนีที่ฟังเรื่องนี้อยู่บ่อยมากแต่จำบางช่วงบางตอนไม่ได้ ห้าๆๆๆๆ
คงต้องฝึกการฟังให้ดีแล้วละค่ะ
อีกความรู้สึกหนึ่งอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างจังเลย
แบบว่าตายแล้ว....ตัวนียังไม่เคยเก็บรายละเอียดเพื่อนร่วมงานใว้ได้มากขนาดนี้เลย
เขาเล่า ฟัง บางช่วงก็ลืม แต่พี่อ้อกลับเก็บรายละเอียดความเป็นตัวตนของป้าแกได้
ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน นีคงต้องฝึกตัวเองให้หันมาสนใจคุณแม่ทั้งสองให้มากขึ้นแล้วละค่ะ
ขอบคุณบทความดีๆจากพี่อ้อค่ะ ที่ทำให้นีได้คิดขึ้นมา
คิดถึงคำพูดพี่ติ๋วด้วย ที่ว่าถ้าเรารู้จักใครซักคนแล้วเราปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุด
แล้วเราจะไม่นึกเสียใจเลย (คิดว่าน่าจะประมาณนี้นะ) แบบว่าตอนนี้นึกเสียใจค่ะ
ที่นียังปฏิบัติต่อเขาไม่ดีพอ แต่นีรู้แล้วนีจะเริ่มต้นใหม่ค่ะ