เรื่องเล่างาน ComMedSci ศวก.ที่ 6 (ขอนแก่น) ι เรื่องเล่าจากผู้ช่วยแพทย์แผนไทย


จากที่หนูและพี่อ้อ ออกเดินทางไปนิเทศน์งาน และนำกล้าพันธุ์ไปให้ที่ รพ.สต.เฉลิมพระเกียรติฯ บ้านเมืองใหม่ อ.ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เราทั้งคู่มักจะทำงานแบบเป็นธรรมชาติ คุยกันกับคนทำงานแบบเนียน ๆ และเป็นธรรมชาติ ก็นั่งคุยกันที่พื้นห้องนวดกันทีเดียวค่ะ เป็นกันเองและกระชับใจ แบบใจถึงใจกันทีเดียวหล่ะ งานแผนไทยมีกันอยู่คน คือ น้องนี (นักการแพทย์แผนไทย) มีลูกน้องในความดูแลอีกสองคนคือ แม่สำรองและแม่วัฒน์

จากที่นั่งคุยกันแบบสบาย ๆ พี่อ้อ รู้สึกประทับใจในพลังของการทำงานของแต่ละคน จึงขอถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราว จากสีหน้าตอนที่ท่านเดินมาบอกว่า "มีเรื่องฝาก"

ใจหนูก็ปรากฏคำว่า "อืม.....น่าติดตาม น่าอ่าน"

 

อ้อ........ครานี้พี่อ้อกับกำชับว่า

"พี่เขียนไม่ดีหรอกนะ แต่ว่าประทับใจ แม่สำรอง เลยอยากให้เอาลง"

 

เรื่องราวไม่สำคัญค่ะ สำคัญที่ว่า ท่านเขียนด้วยใจ เพียงแค่ใช้ตัวหนังสือเป็นตัวสื่อ เขียนเสร็จแล้ว ยิ้มได้ขนาดนี้ เรื่องราวคงไม่ธรรมดา ลองอ่านดูนะคะ

เรื่องเล่าจากผู้ช่วยแพทย์แผนไทย 

         

            มีโอกาสได้รู้จักกับผู้ช่วยแพทย์แผนไทย   คือคุณพี่สำรอง  (พี่รอง) จากการดูหน้าตาแล้วอายุหน้าจะประมาณ  40 ต้น  ๆ   แต่ที่ไหนได้  51 แล้วค่ะ  หน้ายังอ่อนอยู่เลย    (คิดว่าอายุใกล้  ๆ  กับเรา  โธ่เอ้ย  !  กระดูกคนละ  พ.ศ.) 

พี่รองเป็นคนน่ารัก  ยิ้มเก่ง  ไหน  ๆ  ก็มานั่งยิ้มให้เราอยู่ใกล้  ๆ  ก็เลยขอความรู้เป็นประสบการณ์ชีวิต  ทำให้ชีวิตมีกำลัง ใจในการทำงาน 

คุณพี่รองเล่าว่า  ทำงานเป็น  อสม.หลายปีแล้ว  แต่เข้ามางานนวดนี้ได้ประมาณ  3  ปี  แถมตอนนี้บรรจุเป็นผู้ช่วยแพทย์แผนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง   ( ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ  ที่ได้เข้ามาทำงานใน กระทรวงเดียวกัน ) 

คุณพี่ได้เล่าว่าก่อนมาถึงจุดนี้ก็ได้ผ่านอะไรมาเยอะมาก  หัวหน้า  (หมายถึงท่าน ผอ.  แต่ชาวบ้านที่นั่นจะเรียกว่าคุณหมอ)  ชวนมาเข้ารับการอบรมนวดแผนไทย  ทางคุณพี่ก็ตอบปฏิเสธบอกว่าทำไม่ได้  ไม่ว่าจะบอกให้มา   หรือถามอีกกี่ครั้งก็ตอบปฏิเสธอย่างเดียว   จนกระทั่งครั้งสุดท้ายคุณหมอไปหาที่บ้าน   แล้วคุณพี่รองไม่อยู่ไปช่วย งานต่างหมู่บ้าน  คุณหมอก็นั่งรออยู่ที่บ้านจนดึกก็ยังไม่กลับก็เลยคุยกับสามีของพี่รอง  คุยไปคุยมาสามีก็เลยรับปากว่าเดี๋ยวจะบอกให้ไปหา  พอพี่รองกลับมาถึงบ้านสามีก็บอกว่า 

 

“ไป๋เถอะ ถ่าเฮ็ดบ่ได่ก็ค่อยเลิก  ได่รับปากกับคุณหมอไปแล่ว  เผิ้นมาถ่าตั้งโด๋น” 

 

สุดท้ายพี่รองก็เข้ามาอบรม  ด้วยความคิดที่ว่าคุณหมอก็เป็นคนดีเวลามีสิ่งดี  ๆ  เข้ามาก็มาบอกมาชวนให้ไปทำ 

อย่างเรื่องนี้ก็เหมือนกันก็มาบอกถือว่าเป็นโอกาสหนึ่งในชีวิตที่ใคร  ๆ  ก็ไม่สามารถหาได้ง่าย ๆ  ถ้าทำไม่ได้ก็เลิกคงไม่เป็นไร 

พี่รองจึงเป็น 1 ใน  22  คน  ที่ได้เข้ารับการอบรมในครั้งนั้น  ซึ่งทุนต่าง ๆ  ได้รับการสนับ สนุนจาก  อบจ.  ไม่ได้เสียเงินอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว  หลังจากนั่นก็กลับมานวดที่  รพ.สต.

พี่รองเล่าว่าครั้งแรกที่ได้นวดก็ยังไม่คุ้นเคยกับการได้จับหรือถูกเนื้อต้องตัวคนอื่น  แต่เมื่อนวดไปเรื่อย  ๆ  คนที่ถูกนวดบอกว่า 

 

 “นวดดีมากเลย  หายปวดเมื่อย  น้ำหนักมือก็ดี” 

 

เท่านั้นแหล่ะค่ะความที่รังเกียจการถูกเนื้อต้องตัวคนอื่นหายไปจนปลิดทิ้ง  มีแต่กำลังใจในการที่ได้นวด 

 

การนวดแต่ละครั้งไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินทุกครั้งไป  แต่รางวัลที่พี่รองได้รับคือความสุข  ๆ  ที่ได้ทำให้   สุขที่ทำให้เขาหายปวด    สุขที่ครั้งหนึ่งในชีวิตก็สามารถช่วยคนที่มีความทุกข์เนื่องจากการเจ็บปวดไห้หายได้  

 

พี่รองเล่าไปก็น้ำตาจะไหลไป   เป็นน้ำตาแห่งความสุขที่ล้นทะลักออกมาด้วยความปิติ    ในจำนวนทั้งหมด  22  คนมี

พี่รองเพียงคนเดียวที่ยังนำความรู้ในการอบรมครั้งนั้นมาใช้ประโชยน์กับ  รพ.สต.  ชาวบ้าน  และกับตัวเอง    

เราถามพี่รองว่าทำไมถึงปฏิเสธคุณหมอ   พี่รองบอกว่า   ไม่อยากถูกเนื้อต้องตัวคนอื่น   รังเกียจ  ลูกกับสามียังไม่ได้ทำให้ขนาดนี้เลย    ประมาณว่ารับไม่ได้  อีกอย่างเป็นคนพูดไม่เก่ง  ความจำก็ไม่ค่อยดี   เรียนก็น้อย   อายุก็มากแล้ว   และคิดว่าตัว เองทำไม่ได้   

 

เราจึงถามต่อว่าแล้วตอนนี้รู้สึกยังไง

 

พี่รองก็ตอบว่าดีใจมากที่คุณหมอได้ให้โอกาส  ได้ให้ที่นาในการทำมาหากิน  และมีรายได้เลี้ยงครอบครัว

 (เป็นคำเปรียบเทียบว่าการได้ไปเรียนนวดแล้วสามารถนำมาประกอบเป็นอาชีพมีรายได้เลี้ยงครอบครัว) 

 โดยปกติเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้บรรจุ   ก็จะมาช่วยงานที่  รพ.สต.บ้าง  จากนั้นก็จะรับนวดเองช่วงใหม่  ๆ  ก็นวดวันละ  3  คน  แต่ปัจจุบันวันละ  5  คน 

ส่วนรายได้เมื่ออบรมจบมาใหม่ ๆ  ยังไม่มีใบรับรองก็จะเก็บคนละ  60  บาท  พอเก่งขึ้นมาหน่อยก็คนละ  100  บาท  แต่ปัจจุบันคนละ  200  บาท ใช้เวลานวดประมาณ  2  ชั่วโมงและประคบให้ด้วย

   เมื่อก่อนก็จะทำลูกประคบเองและขายลูกประคบเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง    

 

แต่ปัจจุบันไม่มีเวลาเหมือนเมื่อก่อนจะทำงานที่  รพ.สต. เป็นหลัก  ถึงจะไม่ได้เงินเยอะเหมือนเมื่อก่อน  แต่ก็ยอมรับได้เพราะมีความสุขที่ได้ช่วยนวดให้คนไข้แล้วเขาหายจากอาการปวด  รู้สึกภูมิใจที่ช่วยเขาได้ 

 

ก็จะอาศัยวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์  รับนวดเอง  ถ้าใครต้องการนวดก็จะติดต่อมาให้ไปนวดที่บ้านก็ได้  ใช้เวลานวด  2 วันนี้ก็ได้เงินประมาณ  2,000  บาทก็อยู่ได้แล้ว  อยากกินอะไรก็ได้กิน  ไม่เหมือนเมื่อก่อน  อีกอย่างลูกก็โตและไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว 

 

เราจึงถามต่อไปว่ามาทำงานนวดอย่างนี้มีปัญหากับครอบครัวไหม 

 

 พี่รองบอกว่า  ไม่เคยมีปัญหาเลย  สามีก็เข้าใจดี  มีแต่ให้รีบไปเดี๋ยวเขาจะรอ  ถ้าไปนวดกลับเย็นหน่อยก็จะโทรไปถามว่าอยู่ที่ไหน  ถ้ามืดมากก็จะไปดักรอรับแล้วก็ขับรถตามกันกลับบ้าน  (น่า รักจังเลย)  และพี่รองไม่ได้ทำหน้าที่แม่บ้านบกพร่องเลยยังดูแลครอบครัวเหมือนเดิมจะไม่รับลูกค้าหลัง  16.30 น. แต่ถ้าใครจะนวดจะต้องมานวดที่บ้านเพราะพี่รองได้ต่อเติมบ้านเพิ่มอีก   1   ห้องเป็นห้องนวด   จึงไม่มีปัญหาครอบครัว

 

แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการวางตัวของเราด้วย  ว่าเหมาะสมไหม 

 

 ก็เคยมีคนพูดให้เหมือนกันว่าอายุขนาดนี้มาเป็นหมอนวดไม่รู้ว่านวดอะไร   

(อ้าว!  เอาเข้าไป  แต่ก็ไม่ผิดหรอกนะคะอย่าคิดมาก   เพราะในสังคมชนบทการนวดยังไม่เป็นที่ยอมรับ  เมื่อมีการนวดเกิดขึ้นเป็นการถูกเนื้อต้องตัวกัน  ก็เลยมองกันในแง่ลบ) 

และก็มีคนบางคนคิดว่าพี่รองจะเป็นอย่างนั้นด้วยแต่เวลาผ่านมา  3  ปีแล้วพี่รองก็ยังทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย  แถมยังนวดให้กับคนที่พูดให้พี่รองในแง่ลบจนหายจากอาการปวดเมื่อย  ได้กลายเป็นลูกค้าขาประจำไปแล้ว    แถมบอกว่าหน้าจะไปอบรบด้วยจะได้มีรายได้เพิ่ม   พี่รองบอกว่าก็มีผู้ชายอายุน้อยกว่ามานวดก็คิดแบบนี้เหมือนกัน  ทำเป็นหมาหยอกไก่  หรือทดสอบจิตใจพี่รองก็ไม่รู้  ซึ่งพี่รองก็เล่าแบบติดตลกว่า  เราก็ไม่ได้คนสวยอะไร  อายุก็มากแล้ว  ยังมีคนมาสนใจอีกเหรอ  แถมยังมีสามีเป็นตัวเป็นตนอีกต่างหาก  (อยากจะบอกว่าไม่สวยแต่น่ารักมากกกกกกกกกกกก)  แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่  เพราะพี่รองบอกตรง  ๆ  กันไปเลยที่มาทำตรงนี้เพราะอะไร  มันเป็นการนวดเพื่อรักษาให้หายปวดเมื่อยและผ่อนคลาย  (นั่นซิ  คิดมากกันจัง  ไม่ได้นวดเพื่อเพิ่มความเครียดเสียหน่อย)  จากนั้นก็นับถือกันเป็นพี่เป็นน้องนอกจากจะเป็นลูกค้าประจำแล้วยังแนะนำลูกค้าให้อีก  ดีจังเลย 

 

งานเขียนจากการลงพื้นที่ รพ.สต. บ้านเมืองใหม่

เรื่องเล่างาน ComMedSci ศวก.ที่ 6 (ขอนแก่น) ι เรื่องเล่าจากผู้ช่วยแพทย์แผนไทย

ComMedSci ι หน้าชา.......ลมแทบจับ ณ รพ.สต.บ้านเมืองใหม่

หมายเลขบันทึก: 397399เขียนเมื่อ 23 กันยายน 2010 17:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 16:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ภาพนี้ตอนที่พี่อ้อกับแม่สำรองกำลังนั่งคุยกัน

เห็นบรรยากาศแล้ว อดเก็บภาพไว้ไม่ได้ค่ะ น่ารักจริง ๆ

 

อันนี้มื้อเที่ยงแบบชิว ๆ ค่ะแม่ค้าก็น่ารัก

อะไร ๆ พี่เขาก็ขายดีหมดแทบไม่มีอะไรให้ทาน

แถมน่ารักมาก ๆ ให้สั่งร้านข้าว ๆ มานั่งทานที่นี่ได้

ที่สำคัญอาหารราคาถูกมากค่ะ

แบบว่า มาครั้งนี้ เราไม่ได้เบิกอะไร

รู้สึกดีใจที่ได้จ่ายเอง เหมือนได้เลี้ยงขอบคุณยังไง ยังงั้นเลยทีเดียวค่ะ

(^_^)

อ่านแล้วยิ้มไม่หุบเลยค่ะ โหพี่อ้อนั่งคุยไม่นานแต่เก็บรายละเอียดได้ดีจังเลย

ไม่เหมือนนีที่ฟังเรื่องนี้อยู่บ่อยมากแต่จำบางช่วงบางตอนไม่ได้ ห้าๆๆๆๆ

คงต้องฝึกการฟังให้ดีแล้วละค่ะ

อีกความรู้สึกหนึ่งอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างจังเลย

แบบว่าตายแล้ว....ตัวนียังไม่เคยเก็บรายละเอียดเพื่อนร่วมงานใว้ได้มากขนาดนี้เลย

เขาเล่า ฟัง บางช่วงก็ลืม แต่พี่อ้อกลับเก็บรายละเอียดความเป็นตัวตนของป้าแกได้

ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน นีคงต้องฝึกตัวเองให้หันมาสนใจคุณแม่ทั้งสองให้มากขึ้นแล้วละค่ะ

ขอบคุณบทความดีๆจากพี่อ้อค่ะ ที่ทำให้นีได้คิดขึ้นมา

คิดถึงคำพูดพี่ติ๋วด้วย ที่ว่าถ้าเรารู้จักใครซักคนแล้วเราปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุด

แล้วเราจะไม่นึกเสียใจเลย (คิดว่าน่าจะประมาณนี้นะ) แบบว่าตอนนี้นึกเสียใจค่ะ

ที่นียังปฏิบัติต่อเขาไม่ดีพอ แต่นีรู้แล้วนีจะเริ่มต้นใหม่ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท