เรียนรู้จากความผิดพลาด (Bad Practice) สิ่งที่สังคมไทยควรตระหนักและให้ความสำคัญ


ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายหากเราสามารถยอมรับมันอย่างจริงใจ และใช้วิจารณญาณวินิจฉัยข้อผิดพลาดนั้นด้วยตนเอง พร้อมทั้งต้องแน่วแน่แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดนั้นไม่ให้ปรากฎขึ้นอีกในชีวิต เมื่อเกิดความผิดพลาดจงอย่าคิดว่ามันเป็นความล้มเหลวในชีวิต เพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครที่หมกมุ่นกับความผิดพลาด ความล้มเหลวของเรามากไปกว่าตัวของเราเอง เราเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะหมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาด ความล้มเหลวนั้น คนอื่นๆนั้นเป็นเพียงจุดเล็กๆบนจอเรด้าเท่านั้น ดังนั้นจงจัดการกับมันด้วยตัวของเรา คนอื่นไม่มีอิทธิพลใดๆกับชีวิตเรา!

            การศึกษาเรียนรู้แบบ Best Practice คือการศึกษาเรียนรู้จากผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเลิศและประสบความสำเร็จในการทำงาน มาเป็นแนวทางในการสังเคราะห์เป็นรูปแบบของเราเอง ในสังคมไทยนิยมมาก โดยเฉพาะแวดวงธุรกิจการขายตรง ผมเคยมีประสบการณ์เป็นตัวแทนขายประกันแห่งหนึ่ง ตอนนั้นไฟแรงเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ยังไม่มีภาระอะไรมากมาย ญาติของแฟนผมเขาเป็นผู้จัดการภาคของธุรกิจประกันชีวิต เห็นว่าผมพอจะมีเวลามาร่วมทำธุรกิจกับเขาได้เลยมาชวนผมให้ทำเป็น Part Time ซึ่งผมเองเห็นว่าก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลยตอบตกลงไป ผมรู้สึกพึงพอใจอย่างมากในวิธีการเชิญชวน จูงใจ สร้างสิ่งเร้าให้ตัวแทนขายประกัน โดยการจัดสัมมนาให้ตัวแทนทุกๆสัปดาห์มานั่งฟังการถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆเลิศหรู จนยิ่งใหญ่ถึงขั้นอลังการเลย วิทยากรที่มาถ่ายทอดประสบการณ์นั้นก็คือตัวแทนขายรุ่นพี่ๆที่ประสบความสำเร็จและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร โดยมีเรื่องของรายได้ , ตำแหน่งหน้าที่ , การมีสังคม , สวัสดิการที่เลิศหรู ฯลฯ มาเป็นตัวเร้ากระตุ้นให้ตัวแทนขายทุกคนมีความหวัง มีพลังที่จะทำการขายให้ได้ ได้มากๆได้เยอะๆ ด้วยวิธีการและกลยุทธ์ใดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ตรงของวิทยากรเอง ตัวแทนส่วนใหญ่หลังจากฟังแล้วจึงมีความหวัง มีพลังที่จะมุ่งมั่นในการขายต่อไประยะเวลาหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวแทนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในอาชีพนี้อย่างยั่งยืนเหมือนกับวิทยากรที่มาให้คำแนะนำ  คนในสังคมไทยทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากตัวแทนขายประกันที่ไม่สามารถมุ่งสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้ ทราบไหมครับว่าเป็นเพราะเหตุใด? สาเหตุหลักของความล้มเหลวไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่เกิดจากปัจจัยภายในตัวเราเองทั้งสิ้น ปัจจัยหลักๆคือ กรอบแนวคิดต่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างเหมาะสม นั่นเอง

            การพัฒนาคือ การทำให้ดียิ่งๆขึ้นไปด้วยกระบวนการ เรียนรู้[๑] และตระหนักรู้ให้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ การลอกเลียน เลียนแบบ แล้วสำเนาแนวทางวิถีชีวิตคนอื่นที่ดูว่าดีและสวยหรูของเขามาเป็นของเราด้วยความหวังที่ว่า วันหนึ่งเราจะต้องเหมือนเขา ผมแนะนำว่าอย่ารอให้ถึงวันนั้นเลยนะครับ ไปเกิดใหม่น่าจะรวดเร็วและเหมาะสมกว่า สำหรับผู้ที่เปิดใจจะเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างเหมาะสมลองใช้วิจารณญาณรับรู้ข้อเท็จจริงที่ผมจะนำเสนอต่อไปนะครับ 

การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง คือการเรียนรู้จาก Bad Practice ของตนเอง ไม่ใช่ Best Practice ของผู้อื่น 

            ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่ารังเกียจ คนทุกคนเกิดมาล้วนแต่เคยทำสิ่งที่ผิดพลาดกันมาทั้งสิ้น มากบ้าง น้อยบาง เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แตกต่างกันไป คำว่าผิดต้องมาก่อนถูกเสมอ เช่นคำว่า ลองผิดลองถูก เป็นต้น สิ่งสำคัญของการพัฒนาตนก็คือ การเรียนรู้ความผิดพลาด เพื่อค้นหาสาเหตุ มาตรการแก้ไขและป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำขึ้นอีก ผมเชื่อว่าคนเราถ้ามีความแน่วแน่ที่จะแก้ไขในสิ่งที่ผิดคนรอบข้างได้รับรู้ ได้เห็นเขาก็ให้อภัยและชื่นชมในการกระทำ ความผิดในครั้งแรกคือครู คือบทเรียนที่สอนใจเรา ขอเพียงแต่เราตระหนักรู้และมุ่งมั่นตั้งใจให้แน่วแน่ว่า จะไม่มีความผิดพลาดในเรื่องเดิมๆเกิดขึ้นกับเราแบบนี้อีกต่อไป ความผิดซ้ำๆซากก็จะไม่เกิดขึ้น ที่สำคัญมันจะไม่กลายเป็นนิสัยถาวรของเรา

            คนในสังคมไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้ และจะไม่พยายามยอมรับความผิดพลาดของตนเอง (ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากกลไกการป้องกันตนเองทางจิต) ทำให้สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่มีความผกผันระหว่างความคิดกับพฤติกรรมในการแสดงออก ผมเรียกตามความเข้าใจของผมเองว่า “สังคมแบบพฤติกรรมผกผัน” จึงมีคำกล่าวไว้ว่า อย่าปักใจเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าคิดว่าสิ่งที่เห็นคือความจริงเสมอไป สิ่งที่เป็นความจริงที่เป็นจริงมักจะไม่สามารถรับรู้ได้จากการมองเห็นเพียงอย่างเดียว ความผิดพลาดในสังคมไทยคือความเลวร้ายดังนั้นเมื่อเกิดความผิดพลาดเราก็จะพยายามกลบและลืมมันไป ไม่ให้ใครได้รับรู้ แม้กระทั่งตนเองจนวันหนึ่งก็ผิดพลาดซ้ำอีกในเรื่องเดิมๆซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าจนกลายเป็นนิสัยถาวรแบบไม่รู้ตัว

            ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงของผมอีกเรื่องหนึ่ง ผมเคยได้ร่วมงานกับคนญี่ปุ่นรุ่นเก่าๆ ในชีวิตการทำงานของผมเลยมีโอกาสได้ซึมซับและรับรู้ถึงวิถีของคนญี่ปุ่นรุ่นเก่าๆอยู่บ้าง สิ่งที่ผมรับรู้ได้คือการนอบน้อม การให้เกียรติ และความเข้าใจได้ถึงธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริง เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นคนญี่ปุ่นจะมีวิถีปฏิบัติที่แตกต่างจากคนไทยอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ เมื่อเกิดความผิดพลาด สิ่งที่จะต้องกระทำคือ ๑) การรายงาน (Houkoku) ขึ้นสู่ด้านบนเพื่อขอคำชี้แนะ แนะนำจากผู้บังคับบัญชา  ๒) การสื่อสารกับระดับเดียวกันให้รู้ถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำกับผู้อื่นอีก (Renraku)  และ๓) การให้คำปรึกษาเพื่อการแก้ไขความผิดพลาดอย่างทันทีทันใดตามบทบาทของผู้บังคับบัญชาที่พึงปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา (Sodan) ด้วยกระบวนค้นหาข้อเท็จจริงของปัญหาเพื่อนำมาสู่กระบวนการวิเคราะห์หามาตรการจัดการกับปัญหา ดังนั้นมาตรการที่จะนำมาใช้นั้นจะต้องมีข้อเท็จจริงรองรับเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการนำไปใช้ได้ในระดับหนึ่ง และยังจะต้องวิเคราะห์หามาตรการขึ้นมาใช้ในเชิงป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นต่อไปอีกในอนาคต ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นวิถีการทำงานของคนญี่ปุ่นที่ผมเคยได้รับรู้และสัมผัสมาบ้าง ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ผมชื่นชมในเรื่องหลักการคิดและขั้นตอนการจัดการของเขามากกว่าและไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประเทศชาติของเขาถึงพัฒนาไปได้ไกลจริงๆ

ถึงเวลาตระหนักถึงการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองของคนในสังคมไทย

            ด้วยความเป็นห่วงลูกหลานของสังคมไทยในอนาคต อย่างน้อยในฐานะที่ผมก็เป็นพ่อคนเหมือนกัน ได้รับรู้ข่าวที่เกี่ยวข้องกับความถดถอยด้านต่างๆของคนในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นด้านคุณธรรม , จริยธรรม , มนุษยธรรม บอกตรงๆว่าหดหู่ใจมาก ข่าวบางข่าวได้ยินแล้วอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจผมจริงๆ เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถใช้หลักความถูกต้องอย่างเดียวมาตัดสินได้ ยกตัวอย่าง ข่าวแม่อุ้มลูกวัย ๓ เดือน เข้าไปขโมยนม กับผ้าอ้อมเด็ก หากว่ากันไปตามกฎหมายถือว่าทำผิดแน่นอน การลักขโมยก็ต้องได้รับโทษมิเช่นนั้นแล้วก็จะเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดีให้คนกระทำตามได้  แต่วิธีการปฏิบัตินั้นคงจะต้องดูตามหลักมนุษยธรรมด้วยเช่นกัน

             แนวคิดที่ผมจะนำเสนอเพื่อปฏิรูปและพัฒนาตนเองให้กับคนในสังคมไทยได้ตระหนักรู้และปฏิบัติ จำเป็นต้องให้ความสำคัญตั้งแต่วัยเด็กเลยนะครับ (พวกที่ผ่านเลยวัยเด็กมาแล้วอาจจะปฏิบัติได้ยาก แต่ถ้าใครมีแนวโน้มถูกบ่มเพาะมาในลักษณะใกล้เคียงกับแนวทางที่ผมจะนำเสนอก็สามารถนำมาต่อยอดในการพัฒนาตนเองได้ครับ

            การเตรียมความพร้อมเพื่อบ่มเพาะบุคลากรให้มีแนวทางในพัฒนาตนเองอย่างเหมาะสม โดยในหนึ่งช่วงชีวิตของมนุษย์จะแบ่งออกเป็น ๓ ช่วงเวลาสำคัญหลักๆประกอบด้วย

            ๑. ช่วงเตรียมความพร้อม (เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ ๒๐ ปี)

                        ช่วงนี้จะแบ่งได้ออกเป็น ก่อนวัยเรียน และ วัยศึกษาเรียนรู้ตามระบบ ในเด็กก่อนวัยเรียน พ่อ-แม่ เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด และได้ชื่อว่าเป็นครูคนแรกของลูก หากถามพ่อ-แม่ส่วนใหญ่ว่ารักลูกไหม ผมเชื่อว่าคำตอบก็คือ รักแน่นอน เด็กส่วนใหญ่จึงอาจจะโชคดีที่ได้เกิดมาบนพื้นฐานความรักความต้องการที่จะมีเขาจากคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ แต่ยังมีเด็กอีกส่วนหนึ่งที่เกิดมาด้วยความไม่ต้องการ ไม่ตั้งใจของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นแม่เขา ถูกทอดทิ้งให้อยู่กับคนอื่น อยู่ไปตามยถากรรม ซึ่งเป็นความผิดที่เขาไม่ได้ก่อขึ้นมาเลย ยังดีที่ว่าสังคมไทยเราก็ยังมีข้อดีในเรื่องความเมตตา กรุณาอยู่บ้าง เด็กบางคนก็ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากพ่อ-แม่บุญธรรม เด็กช่วงก่อนวัยเรียนเป็นช่วงที่มีความสำคัญมากเป็นเสมือนต้นกล้าที่มีความสมบูรณ์และพร้อมที่จะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ต่อไปในอนาคต การเตรียมความพร้อมที่ดีจึงเป็นสิ่งที่พ่อ-แม่ ผู้ดูแลเด็กวัยนี้พึงกระทำอย่างถูกต้องตามหลักการด้วยการให้รับรู้และรู้จักจำแนกแยกแยะต่อสิ่งเร้าต่างๆภายนอก  โดยเน้นอารมณ์ความรู้สึก (สุนทรียภาพ) มากกว่า หลักการและเหตุผล (ตรรกะ) เพราะเด็กวัยนี้ยังไม่มีความพร้อมพอที่จะใช้เหตุผล

                        ในส่วนของวัยศึกษาเรียนรู้ตามระบบ เมื่อเด็กเติบโตขึ้นถึงช่วงวัยก็จะต้องเข้าสู่ระบบการศึกษาในช่วงชั้นแรก ได้แก่ อนุบาลและประถมศึกษา เด็กจะต้องรู้จักการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างมีขอบเขต รู้จักที่จะรักษาสิทธิของตนเองในความพอประมาณ ใช้กิจกรรมสร้างการรับรู้แบบเข้ารหัส (Encoding) เพื่อเข้าสู่พื้นที่ของสมองในส่วนความจำระยะยาว เพื่อให้เกิดความจำที่ไม่จำกัดปริมาณและแยกแยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือเมื่อนำมาใช้จะต้องสามารถถอดรหัส (Decoding) เพื่อให้ความหมายของสิ่งนั้นและแสดงเป็นพฤติกรรมได้อย่างรวดเร็ว[๒] ในช่วงชั้นนี้คือการมุ่งเน้นที่ ความรู้จากการรับรู้ (Knowledge: K)

                        ช่วงชั้นต่อไป ได้แก่ ระดับมัธยมศึกษา เด็กในช่วงวัยนี้จะมีความเข้าใจสิ่งต่างๆจากการรับรู้ได้ดีขึ้น สามารถใช้เหตุผลเชิงตรรกะได้ดีขึ้น สิ่งที่ได้รับรู้มาอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องถูกนำมาวิเคราะห์ และสรุปเป็นองค์ความรู้ที่เด็กสามารถสร้างความเข้าใจขึ้นได้เองอย่างเหมาะสม (Understand: U)

                        ช่วงระดับอุดมศึกษา เด็กในช่วงวัยนี้มีความอยากรู้อยากทดลองเป็นทุนอยู่แล้ว การเรียนรู้ของเด็กควรเปิดโอกาสให้เขาได้นำองค์ความรู้ที่เขาได้สร้างจากความเข้าใจของเขาเองมาลงมือกระทำเพื่อ พิสูจน์องค์ความรู้เหล่านั้นว่าเหมาะสมหรือเป็นไปตามความเข้าใจของเขาหรือไม่ และหากไม่เป็นไปตามองค์ความรู้ที่ได้สร้างไว้จะปรับเปลี่ยนแก้ไขอย่างไรต่อไป จากนั้นเขาก็จะเกิดการตัดสินใจได้ด้วยตนเองบนพื้นฐานของการได้ลงมือกระทำจริง (Skill: S)

                        ช่วงชั้นสุดท้ายเป็นช่วงระดับบัณฑิตศึกษา ความหมายตรงตัวอยู่แล้วครับ คือการศึกษาแบบผู้รู้ องค์ความรู้ใดของเขาถ้าผ่านการพิสูจน์ด้วยการลงมือกระทำแล้วเห็นผลจริงองค์ความรู้เหล่านั้นจะได้รับการต่อยอดแตกกิ่งก้านสาขาต่อไปได้ ด้วยการศึกษาค้นคว้าต่อไปด้วยตัวของเขาเอง จนเกิดความเข้มข้นและอาจเกิดเป็นทฤษฎีใหม่สร้างการพัฒนาให้กับโลกนี้ต่อไปได้ การเรียนรู้จนถึงช่วงชั้นนี้จะทำให้คนเกิดกรอบแนวคิดแห่งตน (Mindset) ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาตนเอง กรอบแนวคิดของบุคคลนั้นจะประกอบไปด้วย ๑) ทัศนคติ (Attitude)  ๒) ค่านิยม (Value)  ๓) ความเชื่อ (Belief) และ ๔) รูปแบบ (Style) รวมทั้งหมดแล้วผมขอเรียกว่า คุณลักษณะพิเศษของบุคคลก็แล้วกัน (Attributes: A)

                        สรุปในช่วงเตรียมความพร้อมของมนุษย์การพัฒนาจะเริ่มจาก K ไปที่ U ไปที่ S และได้เป็น A  การศึกษาควรมุ่งเน้นที่กระบวนการคิดมากกว่ายัดเยียดให้รู้ ปริญญาที่ได้เราเรียกว่า “ปริญญาเพื่อวิชาชีพ”

            ๒. ช่วงวัยทำงาน (ช่วงอายุ ๒๐-๖๐ ปี)

                        ช่วงของการทำงานเป็นช่วงเริ่มต้นของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่บรรลุนิติภาวะแล้ว บุคคลอื่นจะไม่มีอิทธิพลมากไปกว่าตนเอง แม้กระทั่งพ่อ-แม่ก็ตาม ก้าวแรกของการเข้าสู่ช่วงวัยทำงานจะถือได้ว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมาก แต่ถ้าหากการเตรียมความพร้อมในช่วงแรกมาสมบูรณ์พอจะช่วยลดปัญหาช่วงนี้ลงได้มากเนื่องมาจาก

                        ช่วงแรกของการทำงานคือ พนักงาน (Staff) คือผู้ตามที่ต้องคอยได้รับการดูแลช่วยเหลือ แต่ถ้าหากบุคคลนั้นมีคุณลักษณะพิเศษ  (Attributes: A) ติดตัวมาด้วย ภาวะผู้ตามของเขาจะมีความสมบูรณ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากเขามีความตระหนักรู้ในฐานะบทบาทของคนทำงานได้อย่างเหมาะสม หากบุคคลที่เข้ามาทำงานไม่ใช่กลุ่มที่มีคุณลักษณะพิเศษ  (Attributes: A) ติดตัวมาจะทำอย่างไร? คำถามนี้ตอบง่ายมากครับ องค์กรจำเป็นต้องสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นก่อนในตัวบุคคลเป็นสิ่งแรกเลยครับ ตัวอย่างที่ดีมีให้เห็นมากมายหลายองค์กรแต่ส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรที่มีระบบการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นรูปแบบมาจากบริษัทแม่ในกลุ่มประเทศที่ขึ้นชื่อว่าได้รับการพัฒนาแล้วทั้งสิ้น อาทิเช่น หลักสูตร C-Constructionism ของกลุ่มบริษัท ในเครือซีเมนไทย หลักสูตรการพัฒนาบุคลากรด้วยการสร้างสำนึกแห่งความเป็นเจ้าขององค์กรของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) บุคลากรที่เขาทำงานใหม่กับ CP ทุกฝ่ายงานจะต้องผ่านการฝึกงานจริงที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของ CP เพื่อให้รับรู้ถึงสภาพการทำงานจริงและข้อจำกัดต่างๆของบริบทเหล่านั้นด้วย

                        ช่วงต่อไปของการเติบโตในบทบาทหน้าที่ หลังจากการฝังตัวอยู่ในองค์กรระยะเวลาหนึ่งที่ไม่สั้นมากเกินไป จะทำให้บุคลากรได้มีความซึมซับที่จะรับรู้ (Knowledge: K) ถึงข้อเท็จจริงต่างๆขององค์กรได้ด้วยตนเอง รู้ถึงวิถี ธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมขององค์กรได้เป็นอย่างดี หากบุคลากรมีคุณลักษณะพิเศษ  (Attributes: A) เกิดขึ้นในตัว (ภูมิคุ้มกัน) สิ่งที่เขารับรู้จะเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์คุณค่าความดีงามให้ตนเองและองค์กรต่อไป จริงอยู่ว่าในองค์กรทุกๆมีทั้งมุมมองด้านดีและไม่ดี แต่บุคลากรที่มีภูมิคุ้มกันที่ดีแล้วจะเลือกรับรู้เฉพาะในสิ่งที่ดีและสร้างสรรค์องค์ความรู้ที่เป็นความดีงามให้องค์กรเท่านั้น (Understand) บุคลากรกลุ่มนี้จะถูกปรับจากระดับ Staff ขึ้นมาเป็น Leader และ Supervisor นั่นเอง

                        ช่วงสุดท้ายเป็นช่วงที่บุคลากรจะใช้ความเชี่ยวชาญ (Expert) มาสร้างแบบอย่างให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ๆต่อๆไป ด้วยสำนึกแห่งความรักที่มีต่อองค์กร (ไม่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล) การลงมือกระทำในสิ่งที่ได้รับรู้และสร้างสรรค์เป็นองค์ความรู้ที่มีความดีงามอยู่นั้นจะทำให้เกิดความดีงามในกรอบความคิดของบุคคลด้วย ผลที่ตามมาก็คือองค์กรนั้นจะได้บุคลากรที่มีคุณลักษณะพิเศษที่เหมาะสมและดีงาม ส่งเสริมคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้แก่บุคลากรต่อไปด้วย สิ่งนี้เองที่สนับสนุนคำกล่าวที่ว่า “การทำงานคือการสร้างคุณค่าความดีงามให้กับความเป็นมนุษย์” เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงที่มนุษย์ได้รับจากการทำงาน นอกเหนือจาก เงินทอง วัตถุ สิ่งของ หรือตำแหน่ง อำนาจต่างๆที่เป็นเพียงภาพหลอนแห่งชัยชนะเท่านั้น

                        สรุปในช่วงวัยทำงานควรจะเริ่มต้นจาก A ไปที่ K และ U ได้เป็น S ช่วงวัยทำงานนี้จะทำให้มนุษย์ได้รู้จักตัวเอง ค้นพบตัวเอง และพัฒนาตนเองจากการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ปริญญาที่ได้ในช่วงเวลานี้ เราเรียกว่า “ปริญญาชีวิต” (โดยตัวเรามอบให้ตัวเราเอง)

            ๓. ช่วงสร้างคุณค่าให้ผู้อื่นต่อไปในเวลาที่เหลืออยู่

                        ช่วงนี้เป็นช่วงที่ล่วงเลยจากวัยทำงานแล้ว ถึงเวลาก็ต้องหยุด ต้องให้บุคลากรรุ่นใหม่เป็นตัวแทนของเราต่อไป ความเป็นอยู่ในช่วงปลายของชีวิตภาระต่างๆควรจะต้องลดลงไป ที่ยังต้องเหลืออยู่คือภาระในการดำรงชีพของตนเองเท่านั้น การทำงานในช่วงนี้ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อสิ่งที่เป็นคุณค่าเทียมอีกต่อไป แต่จะได้ในสิ่งที่เป็นคุณค่าแท้คือความสุขที่เกิดจากความปลาบปลื้ม ที่ได้ทำในสิ่งที่เป็นความหวังในการได้เกิดเป็นมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ครูอาสาพัฒนาเด็กๆที่ด้อยโอกาส , ศิลปินที่มีใจรักในประเพณีและวัฒนธรรมถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ , การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย , หมอรักษาคนไข้ในถิ่นทุรกันดาลและผู้ป่วยยากไร้ในชนบท , สัตวแพทย์ช่วยเหลือสัตว์ที่เจ็บป่วยและถูกทารุณกรรม , การถวายงานในโครงการตามพระราชดำริต่างๆ ฯลฯ

                        สรุปในช่วงสุดท้ายของชีวิต มีข้อคิดอย่างหนึ่งว่าแต่ละคนจะเหลือเวลาในช่วงนี้ไม่เท่ากัน มากบ้าง น้อยบ้าง บางคนก็มาไม่ถึง ก็ขึ้นอยู่กับ “แรงแห่งกรรม” ของแต่ละบุคคล มนุษย์เราท้ายที่สุดแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง สามี-ภรรยา , ลูก , คนที่เรารัก เขาก็คงไม่ยินดีจะไปกับเรา บ้านที่เราซื้อไว้ , รถที่เราอุตส่าห์เก็บเงินซื้อกว่าจะได้ ท้ายสุดมันก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดีเพราะมันก็ไม่ได้ไปกับเราด้วย แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันจะเป็นของเราตลอดไปไม่มีใครเอาไปได้นั่นคือคุณค่าและความดีงามที่ได้สร้างไว้ให้กับเพื่อนมนุษย์บนโลกนี้ตลอดช่วงชีวิตของเรานั่นเอง



[๑] ข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมศึกษาได้จาก บทความ “การเรียนรู้เพื่อสร้างภูมิปัญญาองค์กร” (๒๔ มี.ค. ๕๒)

[๒] ข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมศึกษาได้จาก บทความ “ศักยภาพของสมองในการประมวลข้อมูลจากการรับรู้” (๒๒ ม.ค. ๕๓)

หมายเลขบันทึก: 396325เขียนเมื่อ 21 กันยายน 2010 10:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 16:27 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท