พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร (พรรณา)
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
-----------------------------------
ความนำ: มนุษย์กับการใช้เหตุผล
ก่อนจะกล่าวถึงการใช้เหตุผลของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก ในเบื้องต้นนี้ผู้เขียนขอกล่าวถึงการใช้เหตุผลของมนุษย์โดยภาพรวมก่อน มนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์สายพันธุ์หนึ่งที่ได้วิวัฒนาการเคียงคู่กันมากับสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ตลอดเส้นทางวิวัฒนาการอันยาวนานนั้นเราได้ปรับตัวหลายอย่างเพื่อความอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง อย่างที่ชาร์ลส์ ดาวิน บอกว่า “ความอยู่รอดของผู้ที่เหมาะที่สุด” (Survival of the fittest) การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดนี้ทำให้เรามีพฤติกรรมหลายอย่างร่วมกันกับสัตว์อื่น เช่น การกิน การนอน การสืบพันธุ์ การอยู่รวมกันเป็นสังคม เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้อาจจะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีเพื่อความอยู่รอดก็ได้ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกพิเศษอะไร เพราะสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ก็มีเหมือนกับเรา แต่ที่ถือว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่เรามีแต่สัตว์อื่นไม่มี นั่นก็คือ “ความมีเหตุผล” หรือการรู้จักคิดพิจารณาได้อย่างสลับซับซ้อน อย่างที่อริสโตเติลกล่าวไว้เมื่อสองพันกว่าปีล่วงมาแล้วว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล” (Man is rational animal) กล่าวได้ว่า ความมีเหตุผลนี้เองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีพัฒนาการก้าวล้ำนำหน้าสัตว์สายพันธุ์อื่น ภูมิปัญญาด้านต่างๆ ที่เราสร้างสรรค์แล้วสั่งสมต่อกันมาจากอดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นศาสนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้น ส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากความมีเหตุผลของมนุษย์นี้เอง ถ้าขาดคุณสมบัติด้านเหตุผลสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์คงไม่มีอะไรแตกต่างจากสัตว์อื่นมากนัก
การใช้เหตุผลนั้นเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในชีวิตประจำวันของเรา แต่เนื่องจากความเคยชินเราอาจไม่ทราบหรือไม่ได้ตระหนักว่าเรากำลังใช้เหตุผลอยู่ ดังกรณีตัวอย่างต่อไปนี้
๑. เรามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นเมฆดำตั้งเค้ามืดครึ้ม มีเสียงฟ้าร้องสลับฟ้าแลบเป็นระยะๆ จึงคิดต่อไปว่าอีกไม่นานฝนกำลังจะตก แล้วเตรียมหาร่มเพื่อป้องกันไม่ให้เปียกฝน ถามว่าทำไมเราจึงคิดว่าฝนกำลังจะตก ทั้งๆ ที่ตอนที่เห็นเมฆดำนั้นฝนยังไม่ได้ตกเลย ที่คิดอย่างนี้เพราะประสบการณ์ในอดีตสอนเราว่าเมื่อมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมักจะมีฝนตกเสมอ เราจึงคิดเชื่อมโยงจากสิ่งเห็นตรงหน้าไปหาสิ่งที่กำลังจะเกิดในอนาคตว่าฝนกำลังจะตก
๒. เรามองเห็นควันสีดำพวยพุ่งขึ้นมาท่ามกลางตึกสูงระฟ้าในกรุงเทพฯ ซึ่งตามปกติควันแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในที่แห่งนั้นมาก่อน จึงคิดเชื่อมโยงต่อไปว่าคงมีเหตุการณ์ไฟไหม้เกิดขึ้นตรงนั้น ทั้งๆ ที่เรายืนอยู่ห่างไกลและมองไม่เห็นเปลวไฟเลย การคิดอย่างนี้เกิดจากประสบการณ์ในอดีตสอนเราว่าควันกับไฟจะอยู่ด้วยกันเสมอ แยกขาดจากกันไม่ได้ พอมองเห็นเพียงแค่ควันที่พวยพุ่งออกมา เราจึงสรุปอย่างไม่ลังเลว่าจะต้องมีไฟไหม้เกิดขึ้นตรงนั้นแน่ๆ
๓. เราขับรถไปทำงานตอนเช้าในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน พยายามขับรถเลี่ยงเส้นทางที่เราคิดว่ามีรถติดหนาแน่น ถามว่าทำไมเราจึงคิดว่ามีรถติดอยู่ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านเส้นทางนั้นเลย เพราะประสบการณ์ในอดีตสอนเราว่าเส้นทางนั้นมักจะมีรถหนาแน่นในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเสมอ เราจึงเอาข้อมูลในอดีตเชื่อมโยงไปหาเหตุการณ์ที่มองไม่เห็นว่าตอนนี้รถกำลังติดอยู่
๔. เราทั้งหลายไม่มีใครสงสัยเลยว่าวันพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกหรือไม่ ทั้งๆ ที่วันพรุ่งนี้เป็นเหตุการณ์ในอนาคตและข้อมูลวันพรุ่งนี้เรายังไม่มีเลย แต่เราก็ยังมั่นใจอยู่ดีว่าพรุ่งนี้และวันต่อไปดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกแน่นอน ความมั่นใจนี้เกิดจากประสบการณ์ในอดีตที่เราเคยเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเป็นประจำทุกวัน เราจึงคิดเชื่อมโยงจากข้อมูลเก่าไปหาเหตุการณ์ในอนาคตว่ามันจะต้องเป็นเช่นเดิมอีกแน่นอน
๕. เราไม่มีข้อสงสัยเลยว่าคนที่อยู่รอบข้างเรา ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือมิตรสหายก็ตาม วันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นจะต้องตาย ทั้งๆ ที่ความตายของพวกเขาเป็นเหตุการณ์วันข้างหน้าที่ยังไม่เกิดขึ้น แน่นอนว่าเราคิดเอาตามหลักเหตุผลที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามนุษย์ทุกคนต้องตาย รวมทั้งประสบการณ์ที่เราเคยเห็นคนตายมาแล้วหลายคน เมื่อคนที่อยู่รอบข้างเราก็เป็นคนเหมือนกัน พวกเขาจึงไม่มีทางหลีกเลี่ยงความตายไปได้
๖. คนสมัยโบราณมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าประจำธรรมชาติ คือเชื่อว่าเบื้องหลังปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ล้วนมีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คอยบงการอยู่เบื้องหลัง ความเชื่อแบบนี้แม้คนรุ่นปัจจุบันจะมองว่างมงายไร้เหตุผล แต่อย่าลืมว่านี้คือมรดกแห่งการคิดและการใช้เหตุผลอย่างหนึ่งของมนุษย์ พวกเขาอาจคิดเชื่อมโยงเชิงเหตุผลแบบง่ายๆ ว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ จะต้องมีใครบางคนสร้างมันขึ้นมา เช่นเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวันของพวกเขา แม้ไม่รู้ว่าใครสร้างมันขึ้นมา แต่ก็สามารถคิดเชื่อมโยงเอาได้ว่ามาจากฝีมือของใครบางคนแน่นอน เพราะมันเกิดขึ้นเองลอยๆ โดยปราศจากคนทำไม่ได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติก็คือผลงานหรือผลผลิตอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ แต่เนื่องจากเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่เกินวิสัยที่มนุษย์ธรรมดาสามัญจะทำได้ ดังนั้น ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาจะต้องไม่ใช่มนุษย์ หากแต่คือผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ นั่นคือเทพเจ้าประจำธรรมชาตินั่นเอง
กล่าวโดยสรุป การใช้เหตุผลก็คือกิจกรรมการคิดเชื่อมโยงออกไปจากข้อมูลที่เรามีหรือรู้ไปหาข้อมูลใหม่ที่เรายังไม่รู้นั่นเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานและเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงหลักการใช้เหตุผลในฐานะเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งที่เรียกว่า “ตรรกวิทยา”(Logic) นั้น ความจริงแล้วก็มีพื้นฐานมาจากความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักคิดหรือรู้จักใช้เหตุผลนั่นเอง จากความเชื่อนี้เราจึงสร้างกฎเกณฑ์และวิธีการที่จะทำให้การใช้เหตุผลนั้นเป็นไปด้วยความรอบคอบรัดกุมมากที่สุด จนกลายเป็นที่มาของศาสตร์แห่งการใช้เหตุผลหรือตรรกวิทยาในปัจจุบัน ในบทความนี้ผู้เขียนขอนำเสนอรูปแบบการใช้เหตุผลตามหลักตรรกวิทยาโดยภาพรวม ดังนี้[๒]
๑. การใช้เหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) หมายถึงการใช้เหตุผลแบบคิดเชื่อมโยงจากเรื่องใหญ่ไปหาเรื่องเล็ก หรือจากเรื่องสากลไปหาเรื่องเฉพาะ (from the universal to the specific) จากตัวอย่างเรื่องความตายที่ยกมาข้างต้น ก็คือการใช้เหตุผลแบบนิรนัยนี้เอง เพราะเราคิดจากหลักการที่ยอมรับกันทั่วไปว่า “มนุษย์ทุกคนต้องตาย” แล้วเราก็คิดเชื่อมโยงไปหากรณีเฉพาะคือคนที่อยู่รอบข้างเราว่าพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าคนรอบข้างเราจะต้องตายในอนาคตแน่ๆ เขียนเป็นประโยคตรรกวิทยาได้ดังนี้
มนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์ที่ต้องตาย
คนรอบข้างเราเป็นมนุษย์
ดังนั้น คนรอบข้างเราจะต้องตาย
จะเห็นว่า สองบรรทัดแรกเป็นข้ออ้างหรือข้อความเรายกขึ้นมาเป็นเหตุผลสนับสนุน ส่วนบรรทัดสุดท้ายเป็นข้อสรุปที่เราถอดออกมาจากข้ออ้างในสองบรรทัดแรก การใช้เหตุผลแบบนิรนัยนี้ถ้าหากข้ออ้างในสองบรรทัดแรกจริง กล่าวคือถ้ามนุษย์ทุกคนต้องตายจริงๆ และคนที่อยู่รอบข้างเราก็เป็นมนุษย์จริงๆ ด้วย ข้อสรุปในบรรทัดที่สามจะต้องจริงอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่เราจะสรุปเป็นอย่างอื่นได้ อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผลแบบนี้แม้คำตอบจะดิ้นไม่ได้ แต่ก็มักถูกวิจารณ์ว่าไม่ทำให้เกิดความรู้ใหม่ขึ้นมา เพราะเป็นเพียงการดึงเอาความรู้เก่าที่มีอยู่แล้วออกมาพูดทวนซ้ำเท่านั้นเอง กล่าวคือเรายอมรับตั้งแต่แรกแล้วว่า “มนุษย์ทุกคนต้องตาย” ซึ่งการพูดแบบนี้ก็รวมเอาคนทุกคนไว้ในนั้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดเชื่อมโยงไปหาใครอีกแล้วสรุปว่าเขาต้องตายแน่ๆ ให้เสียเวลาก็ได้
๒. การใช้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning) หมายถึงการใช้เหตุผลแบบคิดเชื่อมโยงจากเรื่องเล็กๆ หรือกรณีเฉพาะไปหาเรื่องใหญ่หรือหลักการสากล (From the specific to the universal) จากตัวอย่างเรื่องดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกที่ยกมาข้างต้น ก็คือการใช้เหตุผลแบบอุปนัยนี้เอง กล่าวคือเราคิดเชื่อมโยงจากประสบการณ์การขึ้นทางทิศตะวันออกของดวงอาทิตย์ที่เรามีอยู่จำนวนน้อย การขึ้นของดวงอาทิตย์ในอดีตหลายล้านปีเราก็ไม่เคยเห็น และการขึ้นของดวงอาทิตย์ในอนาคตอีกไม่รู้กี่ล้านปีเราก็ยังไม่เคยเห็นเช่นกัน เราเพียงอาศัยประสบการณ์จำนวนน้อยที่เคยเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแล้วคิดเชื่อมโยงต่อไปว่า วันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปมันจะต้องขึ้นทางทิศตะวันออกอย่างนี้ตลอดไป อีกตัวอย่างหนึ่งเช่นตะกร้าใบหนึ่งมีส้มจำนวน ๑๐๐ ลูก เราอยากรู้ว่าส้มเหล่านี้หวานหรือเปรี้ยวจึงสุ่มหยิบส้มขึ้นมาชิมทีละลูกไปเรื่อยๆ จนครบ ๑๐ ลูก ปรากฏว่าส้มสิบลูกที่เราชิมหวานทั้งหมด เราจึงคิดเชื่อมโยงจากข้อมูลส้มสิบลูกไปหาส้มอีกเก้าสิบลูกที่ยังไม่ได้ชิมว่ามันมีรสหวานทั้งหมด การใช้เหตุผลแบบอุปนัยนี้ไม่จำเป็นต้องถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนแบบนิรนัย เป็นเพียงความน่าจะเป็นเท่านั้น (probability) เพราะเป็นเพียงการสรุปจากข้อมูลจำนวนน้อยให้ครอบคลุมข้อมูลจำนวนมากที่ยังไม่มี ความถูกต้องจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของข้อมูลที่เราใช้เป็นฐานในการคิด การใช้เหตุผลแบบอุปนัยนี้ถือว่าเป็นวิธีการใช้เหตุผลที่ทำให้เกิดความรู้ใหม่ และเป็นวิธีการแสวงหาความรู้ในวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ล้วนเกิดมาจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนหนึ่งที่ผ่านการพิสูจน์และทดสอบแล้วสรุปเป็นหลักการสากลทั่วไป อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผลแบบอุปนัยนี้มักถูกวิจารณ์ว่าเป็นการสรุปเกินหลักฐานที่มีอยู่ในมือ เพราะแทนที่เราจะสรุปว่าส้มสิบลูกที่ได้ชิมมีรสหวาน กลับสรุปคลุมไปถึงส้มอีกเก้าสิบลูกที่ยังไม่ได้ชิมว่ามีรสหวานทั้งหมด ดังนั้น ข้อสรุปของการใช้เหตุผลแบบนี้จึงมีความแน่นอนในระดับ “ความน่าจะเป็น” เท่านั้น
การใช้เหตุผลโดยรวมในพระพุทธศาสนา
เป็นที่ทราบกันดีว่า พระพุทธศาสนานั้นเน้นสอนให้คนมีปัญญา ให้รู้จักคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่ให้เชื่อถืออะไรอย่างงมงายไร้เหตุผล ดังจะเห็นได้จากหลักธรรมหลายหมวด เมื่อกล่าวถึงเรื่องศรัทธาหรือความเชื่อมักจะมีหัวข้อปัญญากำกับเอาไว้เสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนศรัทธาอย่างเดียวจนงมงายไร้เหตุผล หลักธรรมที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นหลักกรรม หรือหลักปฏิจจสมุปบาท ก็เป็นหลักที่แสดงให้เห็นความเป็นเหตุเป็นผลตามกฎธรรมชาติ ผู้ที่เชื่อในหลักกรรมหรือหลักปฏิจจสมุปบาท ก็คือคนที่ยึดหลักความเป็นเหตุเป็นผลว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยอย่างนี้จะทำให้เกิดผลอย่างนี้ตามมา หลักธรรมของสัตบุรุษที่เรียกว่า “สัปปุริสธรรม” นั้น ก็เริ่มต้นด้วยหัวข้อที่ว่าด้วยความเป็นผู้รู้จักเหตุ (ธัมมัญญุตา) คือรู้แบบคิดเชื่อมโยงว่าเมื่อมีเหตุแบบนี้จะทำให้เกิดผลอะไรตามมา และความเป็นผู้รู้จักผล (อัตถัญญุตา) คือรู้แบบคิดเชื่อมโยงว่าผลที่เกิดขึ้นนี้มาจากสาเหตุอะไร ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ก็คล้ายกับการใช้เหตุผลตามหลักตรรกวิทยาดังกล่าวมาแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่เป็นสัตบุรุษทั้งหลาย ซึ่งหมายรวมถึงพระองค์เองด้วย เป็นผู้ที่มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการ มีความเป็นผู้รู้จักเหตุรู้จักผลเป็นต้น นั่นหมายความว่าความเป็นผู้รู้จักเหตุรู้จักผลหรือความเป็นผู้มีเหตุผลนั้นเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้าด้วย หลักกาลามสูตรเป็นหลักธรรมที่สอนไม่ให้เราปลงใจเชื่อข้อมูลที่มาจาก ๑๐ แหล่ง มีข้อมูลจากการใช้เหตุผลตามหลักตรรก (มา ตักกเหตุ) และการอนุมาน (มา นยเหตุ) อยู่ในจำนวนนั้นด้วย มองผิวเผินเหมือนเป็นการปฏิเสธการใช้เหตุผลตามหลักตรรกวิทยา แต่การไม่ให้ปลงใจเชื่อข้อมูลสิบแหล่งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้เอาเสียเลย เป็นเพียงการย้ำเตือนให้เรารู้จักคิดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะปลงใจเชื่อนั่นเอง ซึ่งถ้ามองอีกแง่หนึ่ง การไม่ให้ปลงใจเชื่ออะไรง่ายๆ ก็คือการสอนให้รู้จักใช้เหตุผลอย่างรอบคอบนั่นเอง นอกจากนั้น หลักคำสอนที่ว่าด้วยบ่อเกิดแห่งปัญญา ๓ อย่าง คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง (สุตมยปัญญา) ปัญญาที่เกิดจากการคิด (จินตามยปัญญา) และปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา (ภาวนามยปัญญา) จะเห็นว่าจินตามยปัญญาหรือปัญญาที่เกิดจากการคิดตามหลักเหตุผลก็ถือว่าเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาอย่างหนึ่งที่พระพุทธศาสนาให้การยอมรับ จากหลักธรรมต่างๆ ที่ยกมา พอที่จะสรุปได้ว่า พระพุทธศาสนาส่งเสริมและสนับสนุนให้คนเรารู้จักใช้เหตุผล ความมีเหตุผลเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาอย่างหนึ่งและป้องกันไม่ให้เราเชื่ออย่างงมงาย นอกจากนั้น ความมีเหตุผลยังเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้าและสัตบุรุษทั้งหลายด้วย
การใช้เหตุผลของพระพุทธเจ้า
คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกรวบรวมไว้ในรูปของพระไตรปิฎกนั้น เป็นผลแห่งการนำหลักธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ออกเผยแผ่ให้ชาวโลกได้ทราบแล้วปฏิบัติตาม แน่นอนว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดการนั่งคิดเอาตามหลักเหตุผลแล้วทำให้บรรลุธรรม หากแต่เกิดจากการฝึกฝนตามลำดับจนเกิดปัญญาญาณหยั่งรู้ขึ้นภายใน เมื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผลมาจากการใช้เหตุผลอย่างมนุษย์สามัญทั่วไป แล้วเราจะหาการใช้เหตุผลของพระพุทธเจ้าในไตรปิฎกได้อย่างไร อย่าลืมว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกนั้นเป็นผลแห่งการประกาศคำสอนแก่ชาวโลกของพระองค์ หรือเกิดจากการที่พระองค์นำหลักธรรมที่ได้ตรัสรู้ไปสื่อสารกับชาวโลกให้พวกเขาเข้าใจแล้วละความเชื่อเดิมมาเดินตามแนวทางของพระองค์ ซึ่งชาวโลกที่พระองค์เสด็จไปโปรดนั้นก็คือมนุษย์ในฐานะเป็นสัตว์ที่มีเหตุผลอย่างที่อริสโตเติลบอกไว้ นอกจากนั้น กลุ่มคนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดส่วนใหญ่ก็มีศาสนาเดิมที่พวกเขานับถืออยู่แล้ว การที่จะเปลี่ยนคนจากศาสนาเดิมให้หันมานับถือศาสนาใหม่ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องอาศัยการโน้มน้าวจูงใจหลายอย่างเพื่อให้พวกเขาเห็นคล้อยตาม หนึ่งในนั้นก็คือการโน้มน้าวด้วยเหตุผลนั่นเอง กล่าวได้ว่า การประกาศคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นกิจกรรมแห่งการชี้ทางหรือบอกทางให้คนเชื่อแล้วดำเนินตาม ซึ่งจะต้องอาศัยพลังแห่งเหตุผลไม่มากก็น้อยในการโน้มน้าวให้คนฟังเชื่อตาม ต่อไปนี้ผู้เขียนขอนำเสนอตัวอย่างข้อมูลที่แสดงถึงการใช้เหตุผลของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก โดยแบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ การใช้เหตุผลกับตนเอง และการใช้เหตุผลกับคนอื่น ดังนี้[๓]
๑. การใช้เหตุผลกับตนเอง
การใช้เหตุผลกับตนเองในที่นี้หมายถึงการที่บุคคลใช้เหตุผลภายในตนเองเพื่อให้ตนเชื่อแล้วเลือกตัดสินใจกระทำการบางอย่าง เช่นกรณีที่คนเกิดความขัดแย้งในใจตนเองโดยไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดีระหว่างการนอนผักผ่อนอยู่ที่บ้าน กับการออกจากบ้านไปทำงาน เขาพยายามคิดหาเหตุผลมาทำให้ตนเองเชื่อว่าทางเลือกอย่างหนึ่งดีกว่าแล้วตัดสินใจทำไปตามนั้น ในพระไตรปิฎกมีเหตุการณ์เกี่ยวกับชีวิตของพระพุทธเจ้าหลายตอนที่สะท้อนให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าก็ทรงใช้เหตุผลเพื่อพระองค์เองเช่นเดียวกัน ดังตัวอย่างเหตุการณ์ต่อไปนี้
(๑) การใช้เหตุผลตอนเกิดอุปมา ๓ อย่าง:[๔] ช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชและกำลังแสวงหาทางหลุดพ้นอยู่นั้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงครุ่นคิดอยู่กับตัวเองมากพอสมควรว่าจะทำอะไรอย่างไรถึงจะหลุดพ้นได้ หลักฐานในพระไตรปิฎกบอกว่า ขณะกำลังแสวงหาทางหลุดพ้นอยู่นั้น พระองค์เสด็จจาริกไปในแคว้นมคธตามลำดับจนถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ มีราวป่าน่าเพลินใจ มีน้ำใสไหลเย็น เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนา จึงทรงเลือกที่แห่งนั้นเป็นที่บำเพ็ญเพียร ขณะนั้นพระองค์ทรงเกิดความคิดแบบอุปมา ๓ อย่างดังนี้ (๑) ไม้สดมียางที่ยังแช่อยู่ในน้ำ ไม่สามารถนำไปสีให้เกิดไฟได้ เปรียบเหมือนคนผู้ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ในใจด้วย คลุกคลีอยู่ในกามคุณด้วย ไม่สามารถจะพัฒนาปัญญาขึ้นมาได้ (๒) ไม้สดมียางวางอยู่บนบก ก็ไม่สามารถนำไปสีให้เกิดไฟได้ เปรียบเหมือนคนที่มีกิเลสตัณหาอยู่ในใจ แม้ไม่คลุกคลีในกามคุณก็ตาม ก็ไม่สามารถพัฒนาปัญญาขึ้นมาได้ (๓) ไม้แห้งไม่มียางที่วางอยู่บน สามารถนำไปสีให้เกิดไฟได้ เปรียบเหมือนคนที่ไม่มีกิเลสตัณหาในใจ และไม่คลุกคลีในกามคุณด้วย สามารถพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นมาได้TP[๕]PT เขียนให้เข้าใจง่ายๆ ได้ดังนี้
อุปมาที่ ๑
-ไม้สด + แช่อยู่ในน้ำ = สีให้เกิดไฟไม่ได้
-คนมีกิเลส + คลุกคลีในกามคุณ = เกิดปัญญาตรัสรู้ไม่ได้
อุปมาที่ ๒
-ไม้สด + วางอยู่บนบก = ไม่อาจสีให้เกิดไฟได้
-คนมีกิเลส + ไม่คลุกคลีในกามคุณ = เกิดปัญญาตรัสรู้ไม่ได้
อุปมาที่ ๓
-ไม้แห้ง + วางอยู่บนบก = สีให้เกิดไฟได้
-คนไม่มีกิเลส + ไม่คลุกคลีในกามคุณ = เกิดปัญญาตรัสรู้ได้
คนสมัยโบราณนั้น เนื่องจากไม่มีไม้ขีดไฟเหมือนปัจจุบัน เวลาก่อไฟเพื่อหุงหาอาหารนิยมเอาไม้แห้งมาสีกันให้เกิดความร้อนแล้วลุกเป็นไฟ ไม้ที่สดและเปียกน้ำไม่มีทางที่จะนำมาสีกันแล้วทำให้เกิดไฟได้ พระพุทธเจ้าทรงทราบข้อมูลเรื่องนี้ดีจึงทรงสามารถคิดเชื่อมโยงตามแนวเหตุผลว่าไม้แบบไหนเมื่อนำมาสีกันแล้วทำให้เกิดไฟได้และแบบไหนทำให้เกิดไฟไม่ได้ จากข้อมูลตรงนี้ทำให้พระองค์ทรงคิดเชื่อมโยงไปถึงความหลุดพ้นของพระองค์ว่า ไม้สดที่แช่อยู่ในน้ำหรือวางอยู่บนบกก็ตาม นำมาสีกันอย่างไรก็เกิดไฟไม่ได้ คนมีกิเลสที่ยังคลุกคลีอยู่ในกามคุณหรือไม่ได้คลุกคลีก็ตาม บำเพ็ญเพียรอย่างไรก็บรรลุธรรมไม่ได้ ไม้ที่แห้งและไม่เปียกน้ำเท่านั้น จึงสามารถนำมาสีกันให้เกิดไฟได้ คนที่ไม่มีกิเลสและไม่คลุกคลีอยู่ในกามคุณเท่านั้น จึงจะบำเพ็ญเพียรให้บรรลุธรรมได้ กล่าวได้ว่าความคิดแบบอุปมา ๓ อย่างนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงใช้เหตุผลกับพระองค์เองเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะเลือกเดินตามเส้นทางแบบใดถึงจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
(๒) เหตุผลที่ไม่แสดงธรรมโปรดสัตว์ตอนแรก: เหตุการณ์ช่วงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ และกำลังเสวยวิมุตติสุขอยู่นั้น ทรงทบทวนธรรมที่ได้ตรัสรู้คือปฏิจจสมุปบาทกลับไปกลับมา ทรงเกิดความคิดขึ้นว่าธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้นเป็นของประณีตลึกซึ้งยิ่งนัก เกินกว่าที่จะเข้าใจได้ด้วยการคิดตามหลักเหตุผล ผู้ที่เป็นบัณฑิตเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ ส่วนหมู่สัตว์ผู้หนาแน่นพอกพูนด้วยกิเลสตัณหาไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ ดังข้อความที่ว่า “ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรก ละเอียด บัณฑิตพิงรู้ได้ สำหรับหมู่ประชาชนผู้รื่นรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัย เพลิดเพลินในอาลัย ฐานะนี้อันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก…” [๖] จากความคิดนี้ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดสัตว์ในช่วงเวลานั้น จะเห็นว่าการใช้เหตุผลของพระพุทธเจ้าได้นำไปสู่การตัดสินใจทำอะไรบางอย่างคือการไม่แสดงธรรม จากเหตุการณ์ตรงนี้ วิธีการใช้เหตุผลของพระพุทธเจ้าก็คือ ทรงคิดเชื่อมโยงว่าธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้มีความประณีตลึกซึ้งยิ่งนัก ธรรมที่ลึกซึ้งย่อมเหมาะสมแก่ที่มีปัญญาลึกซึ้งเท่านั้นคือผู้เป็นบัณฑิต สรุปว่าบัณฑิตเท่านั้นเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะฟังธรรมของพระองค์ ส่วนสัตว์โลกนั้นเป็นผู้ที่ยังหนาแน่นด้วยกิเลสชนิดที่ตรงกันข้ามกับธรรมอันลึกซึ้งของพระองค์เลยทีเดียว ธรรมที่ลึกซึ้งแบบนี้จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ยังมืดบอดด้วยอวิชชา ดังนั้น จึงไม่ควรแสดงธรรมในเวลานั้น เพราะถึงแสดงอย่างไรก็เข้าถึงจิตใจของผู้ยังหนาแน่นด้วยกิเลสได้อยาก
(๓) เหตุผลในการแสดงธรรมโปรดสัตว์:[๗] อย่างไรก็ตาม ความคิดที่จะไม่แสดงธรรมโปรดสัตว์ของพระพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นในบริบทที่พระองค์กำลังพิจารณาปฏิจจสมุปบาทว่าเป็นของประณีตและลึกซึ้ง อยากที่หมู่สัตว์ผู้หนาแน่นด้วยกิเลสจะเข้าใจได้ ซึ่งถ้าคิดในกรอบของบริบทนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลแล้วที่พระองค์จะไม่แสดงธรรม ต่อมาเมื่อมีพรหมมาอาราธนาให้แสดงธรรม (พรหมในที่นี้บางท่านตีความว่าหมายถึงเสียงเตือนแห่งพรหมวิหารธรรมภายในพระทัยของพระองค์) พระองค์จึงทรงเกิดความคิดใหม่และนำไปสู่การตัดสินใจใหม่ด้วย กล่าวคือพระองค์ทรงเกิดความคิดว่าหมู่สัตว์ในโลกนั้นมีอุปนิสัยแตกต่างกัน พวกที่มีธุลี(กิเลส)ในจักษุมากก็มี มีธุลีในจักษุเบาบางก็มีอยู่ มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนด้อยก็มี อุปมาเหมือนดอกบัวในน้ำที่มีหลายระดับ ดอกบัวบางเหล่าโผล่พ้นน้ำพอได้รับแสดงอาทิตย์ก็เบ่งบาน บางเหล่าอยู่เสมอน้ำจะเบ่งงานในวันถัดไป บางเหล่าอยู่ใต้น้ำรอเวลาที่จะเบ่งบานในวันต่อๆ ไป ดอกบัวในน้ำมีระดับสูงต่ำแตกต่างกัน แต่ละระดับมีโอกาสที่จะเบ่งบานได้ แต่ต้องใช้เวลามากน้อยไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับระดับสูงต่ำของดอกบัวนั้นๆ หมู่สัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ทุกคนมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมได้ แต่จะช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับอุปนิสัยและอินทรีย์ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล จะเห็นว่า จากการใช้เหตุผลเชิงเปรียบเทียบดังกล่าวนี้ทำให้พระพุทธเจ้าเปลี่ยนพระทัยที่จะแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก อย่างไรก็ตาม บางท่านอาจคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยมาแสดงธรรมตามคำอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหมมากกว่า ผู้เขียนมองว่าเหตุผลนี้ก็ถือว่ามีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมดที่นำไปสู่การเปลี่ยนพระทัย เหตุผลหลักมาจากการที่พระองค์ทรงใช้เหตุผลเองว่าสัตว์โลกมีสติปัญญาแตกต่างกันหลายระดับ เหมือนดอกบัวในน้ำที่มีหลายระดับ (มีต่อตอน ๒)
นมัสการพระคุณเจ้า
ช่วงนี้คนตายติดๆๆๆๆกันเยอะมากค่ะ
เหตุผลคือ คนเกิดมาต้องตาย
เจริญพร คุณไผ่ไม่มีกอ
อาตมาขอความรู้นิดหนึ่ง เนื่องจากเพิ่มเข้ามาสมัครเลยไม่รู้วิธีการเปลี่ยนรูปใหม่ พยายามเปลี่ยนแต่ก็ยังเห็นรูปเดิมอยู่ ทำยังไงดี
พระมหาสมบูรณ์