Verb&Conjunction


Verb

Verb  (กริยา)  คือคำที่แสดงถึงการกระทำหรือถูกกระทำของคำที่ทำหน้าที่เป็นประธาน(หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยกริยาด้วยก็ได้)  เพื่อบอกถึง  Tense (ช่วงเวลาที่กระทำ) Voice (ผู้พูด)  Mood  (อารมณ์ ?)

Verb  แบ่งออกเป็น  3  ชนิดคือ

1.   สกรรมกริยา  Transitive  Verb   กริยาที่ต้องมีกรรมมารับ.

2.   อกรรมกริยา   Intransitive   Verb   กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ.

                   3.  กริยานุเคราะห์  Auxiliary  Verb  กริยาที่บอก  Tens, Voice, Mood.

  

         1.  สกรรมกริยา  คือกริยาที่ต้องมีกรรมมารับจึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์    เช่น   Kick (เตะ),              Eat (กิน)   เป็นต้น.

           คำที่นำมาเป็นกรรมของสกรรมกริยาได้ก็คือ

             1.    นามทุกชนิด   เช่น A  mango.

2     สรรพนาม  เช่น  Him.

3.    กริยาสภาวมาลา(สภาวะที่เกิดอยู่กับชีวิต) เช่น  To  study.

4.    กริยาที่เติม  ing  แล้วนำมาใช้เป็นนาม  เช่น  sleeping.

5.    วลีทุกชนิด  เช่น I  don’t  know  what  to  do.

6.    อนุประโยค  เช่น  I  know  who  will  come  tomorrow.

*อนึ่ง  สกรรมกริยาบางตัวหรือบางประโยค ต้องมีตัวขยายกรรมมารับ จึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์   เช่น  The  people   made  him  king. (ประชาชนแต่งตั้งให้เขาเป็นพระราชา)  เป็นต้น.

2.  อกรรมกริยา  คือกริยาที่มีเนื้อความอยู่ในตัวสมบูรณ์แล้ว  ไม่ต้องมีกรรมมารับ   เช่น Run, sleep, swim, sit.  เป็นต้น  แต่อกรรมกริยาบางตัวก็ต้องมีตัวขยายกิริยาเพื่อให้ประโยคได้ใจความสมบูรณ์  ซึ่งอกรรมกริยานั้นก็ได้แก่ Verb  to  be  (เป็น, อยู่, คือ) Verb  to  have (เฉพาะแปลว่า มี)  Become  กลายเป็น),  Seem  (ดูเหมือนว่า),   Feel  (รู้สึก)  Look  (ดูเหมือน)  Taste  (มีรส)  Appear  (ปรากฏ,รุสึก)   Smell  (มีกลิ่น) ,  Grow  (เจริญ)  เป็นต้น.

3.    กริยานุเคราะห์   หรือกริยาช่วย  ได้แก่กริยาที่ไปทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่น  เพื่อให้เป็น  Mood,  Voice,  Tense    ซึ่งกริยาเหล่านี้ใช้เป็นกริยาแท้ก็ได้  ใช้เป็นกริยาช่วยก็ได้  มีอยู่ทั้งหมด  24  ตัว  คือ.

                   Is, am,   are,   was,   were

                   Have, has, had, 

                   Do,   dose,  did

                   Will, would

                   Shall,   should

                   Can,   could

                   May,   might

                   Must

                   Need

                   Dear

                    Ought  to,      us  to.

*ข้อสังเกตว่าจะเป็นกริยาแท้หรือเป็นกิริยาช่วยก็ให้ดูว่า  ถ้ากริยาตัวใดตัวหนึ่งจาก  24  ตัวนี้อยู่ในประโยคเพียงลำพังไม่มีกริยาอื่นมาร่วมอยู่ด้วย  ก็เป็นกริยาแท้   แต่ถ้ามีกริยาอื่นมาร่วมอยู่ด้วยก็ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย  เช่น.

Ladda  is  a  beautifily  girl.    (แท้).

Ladda  is  drinking  water.      (ช่วย). 

 

หน้าที่  Verb  to  be

Verb  to  be  ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังนี้

1.   วางไว้หน้ากริยาที่เติม  Ing   ทำให้ประโยคนั้นเป็น  Continuous  tense.

                     2.    วางไว้หน้ากริยาช่อง  3  (เฉพาะสกรรมกริยา) ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก(เอากรรมขึ้นต้นประโยค)  มีสำเนียงว่า  ถูก  เช่น  A glass is broken.    แก้วถูกทำให้แตกเสียแล้ว  เป็นต้น.

                       3.   วางไว้หน้ากริยา สภาวมาลา Infinitive   แปลว่า  จะต้อง  มีความหมายเป็นอนาคต  เพื่อแสดงความจงใจ  เช่น   I am  to  see  my  home  every  year.    ฉันต้องไปเยี่ยมบ้านของฉันทุกๆปี  เป็นต้น.  

 

หน้าที่ของ   Verb  to  do

                               Verb  to   ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังนี้.

                       1.    ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถาม  ตามหลักที่ว่า

                                                            

Verb   to  have   ไม่มี

Verb   to   be     ไม่อยู่

Verb  to  do      มาช่วย

                       

                        2.    ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธเหมือนกรณีข้อ  1  (เติม ing                  .                                    .                               หลัง  do,  dose )

                         3.   ช่วยหนุนกริยาตัวอื่นเพื่อให้ความสำคัญกับกริยาตัวนั้น  ว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น

                               จริงๆ โดยเรียงไว้หน้ากริยาที่มันไปหนุน.

                         4.   ใช้แทนกริยาตัวอื่นในประโยค เพื่อต้องการมิให้กล่าวกริยานั้นๆซ้ำๆซากๆ.

                         5.    Verb  to  do  ถ้านำมาใช้เป็นกริยาแท้แปลว่า  ทำ.  

                        

หน้าที่ของ  Verb  to  have

                      Verb  to  have    ใช้ทำหน้าที่ดังนี้คือ

1.    เรียงไว้หน้ากริยาช่อง 3  ทำให้ประโยคนั้นเป็น  Perfect tense.

2.    ใช้โดยมีกริยาสภาวมาลาตามหลัง  มีสำเนียงแปลว่า ต้อง  ตลอดไป เช่น

I  have  to  meet  you  tomorrow.   ฉันต้องไปพบท่านวันพรุ่งนี้.

3.    ใช้ในประโยคที่ให้ผู้อื่นทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้  ในกรณีนี้ต้องใช้รูปประโยค    Have  +  noun  +  Verb 3  .  เช่น  He   has  his  house  repaired.  เขาให้ช่างซ่อมแซมบ้านของเขา.

 

หน้าที่ของ  Will,  shall,  would,  should.

                        Will    ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาล  ใช้กับประธานบุรุษที่  2, 3.

                        Shall   ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาล  ใช้กับประธานบุรุษที่  1  คือ  I, We.

                     

                            Would   ใช้เป็นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้.

1.    ใช้เป็นอดีตของ  will  ในประโยคที่เปลี่ยนจากคำพูดของผู้อื่นมาเป็นของตน

2.    ใช้เป็นกริยาช่วยในสำนวนการพูด “อยากจะ”    “อยากให้”.

3.    ใช้ในสำนวนการพูดว่า” ควรจะ…ดีกว่า”  ควบกับ Better  หรือ  rather  

Should  ใช้เป็นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้.

1.    เป็นอดีตของ  Shall  ได้.

2.    Should   เมื่อแปลว่า “ควร”  หรือ “ควรจะ”  ถือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกประธาน

 

 

 

หน้าที่ของ  May,  Might

                             May  นำมาช่วยได้ดังนี้.

1.    เพื่อแสดงความมุ่งหมาย (เพื่อ)

2.    เมื่อแสดงความปรารถนา หรืออวยพรให้(ขอให้) *ต้องวางไว้หน้าประโยค.

3.    เพื่อช่วยถึงการอนุญาต  หรือขออนุญาต(ควรจะ)

4.    เพื่อแสดงความคาดคะเน (อาจจะ). 

5.    ช่วยเพื่อแสดงความสงสัย (อาจจะ).

                             Might  นำมาช่วยได้ดังนี้. 

1.    ใช้เป็นอดีตของ  May.

2.    ใช้ในกรณีที่ผู้พูดไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอย่างนั้นจริง(แต่ถ้าแน่ใจใช้ May แทน).

Need

Need    ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า “จำเป็นต้อง” 

            ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์(ส่วนมากใช้เป็นกริยาช่วยในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธเท่านั้น และกริยาแท้ที่ตามหลัง  Need  ไม่ต้องใช้  To  นำหน้า).

Need   ถ้าเป็นกริยาแท้แปลว่า "ต้องการ"

และใช้เหมือนกริยาแท้ทั่วๆไป(ต้องมี  To  ตามหลัง Need ตลอดไป).

Dear

                    Dear   ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า “ กล้า”       ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์     และเป็น“ ปัจจุบันกาล   คำตามหลังไม่มี   To.

                                                                

Ought to

                                 Ought  to    แปลว่า   “ควรจะ”  เป็นกริยาพิเศษเหมือน is  หรือ  do  นั่นเอง    อาจใช้   should   แทนก็ได้  แต่ความหมายอาจจะอ่อนกว่า.

Used   to

                                  Used  to    แปลว่า  “เคย”  เป็นกริยาพิเศษหมายความว่า “เคยกระทำอย่างใด อย่างหนึ่งเป็นประจำ แต่บัดนี้ไม่ได้กระทำแล้ว”(กริยาตามหลัง   ต้องเป็นกริยาช่อง 1 ตลอดไป  และใช้  used  to   เหมือน   is    หรือ   do  ).

จบเรื่อง Verb

 

Conjunction

   Conjunction   (คำสันธาน) คือคำที่ใช้เชื่อมประโยคต่อประโยค  คำต่อคำ  หรือระหว่างกริยาต่อกริยา                Conjunction         แบ่งออกเป็น 2  ชนิดคือ

1.       Conjunction   คำเดียว

2.       Conjunction    คำผสมหรือวลี

                     Conjunction   คำเดียวที่พบเห็นบ่อย         และใช้กันแพร่หลายมีดังนี้    and,  or,  but,  because, so,  as,  for,  whether,  until,  after,  before,  if,  though,  that,  when,  beside   เช่น  He  is  sick  so  he  go  to  see  doctor.  เขาไม่สบาย  ดังนั้นเขาจึงไปหาหมอ.

                     Conjunction    วลี หรือคำผสมที่พบเห็นบ่อยๆได้แก่คำต่อไปนี้คือ

                    -  Either….or    แปลว่า”ไม่อันใดก็อันหนึ่ง” ใช้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปควบประธาน 2 คำจะใช้กริยาเป็นรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นขึ้นอยู่กับประธานตัวหลัง  เช่น   Either  he  or  I  am  mistaken. ไม่เขาก็ผมเป็นผู้ผิด.

                  -  Neither…..or   แปลว่า “ไม่ทั้งสอง”  ไว้สำหรับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง(กริยาถือตามประธานตัวหลัง).เช่น  เช่น  Neither   you  nor  he  studies  mathematics.  ทั้งคุณและเขาไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์. 

                  -  As  well  as  แปลว่า "เช่นเดียวกันกับ"  (กริยาถือตามประธานตัวหน้า) เช่น He  as  well  as  I  is  sick  เขาก็เช่นเดียวกันกับผมไม่สบาย.

                    -  Not  only………but  also     แปลว่า  “ ไม่เพียงแต่……..เท่านั้น แต่ยังอีกด้วย”  ใช้เน้นน้ำหนักข้อความทั้งสองให้เด่นชัด  (แต่ต้องมีความหมายทางเดียวกัน)   (แต่ถ้ามีประธาน 2 ตัวใช้กริยาตามประธานตัวหลัง )   เช่น   Malisa is not only  beautiful  but  also  clever.   มาลิสาไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น แต่ยังฉลาดอีกด้วย.

 ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก:

http://www.whatami.8m.com/lum/bic1.html

คำสำคัญ (Tags): #verbconjunction
หมายเลขบันทึก: 395132เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2010 12:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2012 13:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท