คำถามที่ถามได้ ลองตอบได้ แต่เอาเข้าจริงอาจจะเลือกไม่ได้
ถ้าดูตามกราฟแต่ละแบบจะเห็นว่าคนเราทุกคนมีทางเลือกที่จะจากไปอยู่ไม่กี่แบบเท่านั้นเอง ยังไงก็คงต้องเป็นสักแบบสำหรับคนทุกคน
ให้แกนแนวนอนเป็นเวลา และ แกนแนวตั้งเป็นการดำเนินโรคนะคะ
แบบที่ 1 น่าจะเดาได้ไม่ยาก ว่าเป็นการตายแบบเฉียบพลัน เช่นอุบัติเหตุ การฆ่าตัวตาย การถูกฆ่าตาย
แล้วแบบไหนเป็นโรคมะเร็งกันนะ คำตอบก็คือจะเป็นแบบที่ 2,3 หรือ 4 ก็ได้ค่ะ
แบบที่ 2 อาจจะเป็นโรคมะเร็งกลุ่มที่มีการดำเนินโรคช้า ค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจจะหมายรวมถึงโรคเรื้อรังต่างๆเช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตับและโรคทางหลอดเลือดสมองด้วยก็ได้
แบบที่ 3 อาจจะเป็นโรคมะเร็งกลุ่มที่มีอาการแย่ลงเป็นช่วงๆแต่พอได้รับเคมีบำบัด การผ่าตัดหรือการฉายแสงแล้วผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเป็นช่วงๆ หรืออาจจะหมายรวมถึงกลุ่มโรคหัวใจที่ผู้ป่วยมีน้ำท่วมปอดบ่อยๆ โรคหอบหรือโรคถุงลมโป่งพองที่ผู้ป่วยมีอาการหอบเฉียบพลันและต้องเข้ามารับการรักษาบ่อยๆก็ได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ถึงจะมีอาการดีขึ้นแต่มักไม่ดีเท่าพื้นฐานเดิมที่เคยเป็น
แบบที่ 4 อาจจะเป็นโรคมะเร็งกลุ่มที่เมื่อได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกก็พบว่าเป็นระยะสุดท้ายเลย อาจจะมีการรักษาได้อยู่ แต่ก็ไม่ทำให้อาการดีขึ้น หรือในผู้ป่วยมะเร็งบางกลุ่มที่ผู้ป่วยเลือกที่จะไม่รับการรักษาทำให้อาการของโรคแย่ลงเรื่อยๆ
อาจารย์สุรเดช หงส์อิง กุมารแพทย์โลหิตวิทยา เสนอไว้ว่าน่าจะมีแบบที 5 ด้วย เป็นกราฟแบบที่เรียกว่า กราฟแห่งความหวัง เพราะในผู้ป่วยมะเร็งบางคนอาจจะมีอาการแย่ลงแล้วได้รับการรักษาที่ทำให้หายขาดจากโรคทำให้อาการดีขึ้นได้เช่นกัน เราต้องเชื่อด้วยว่าบางครั้งปาฏิหารย์ก็มีจริง
ในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตประมาณ 400,000 คน ในจำนวนนี้สามารถสำรวจสาเหตุการตายได้ประมาณ 200,000 คน โดยพบว่าเป็นกลุ่มที่ 1 ประมาณ ร้อยละ 25 และ กลุ่ม 2,3 และ 4 รวมกันประมาณ ร้อยละ 75
สำหรับมุมมองทางการแพทย์ไม่ว่าเป็นผู้ป่วยในกลุ่มไหนก็ควรได้รับการดูแลทั้งนั้น สำหรับแบบที่ 1 ทีมแพทย์อาจจะมีเวลาดูแลคนไข้ไม่นาน หรือ คนไข้อาจจะเสียชีวิตก่อนที่จะมาพบเรา แต่กลุ่มคนสำคัญที่เราจะต้องดูแลประคับประคองจิตใจคือญาติผู้สูญเสีย การสูญเสียแบบเฉียบพลันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจยอมรับได้เสมอ
ส่วนกลุ่ม 2,3, และ 4 ทั้งผู้ป่วยและญาติมักต้องการการดูแลควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นโรคในกลุ่มมะเร็งหรือไม่ใช่มะเร็งก็ตาม การที่ได้รับข่าวว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย หรือต้องเป็นโรคเรื้อรังไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ย่อมไม่ใช่ข่าวดีอย่างแน่นอน ผู้ป่วยและญาติจึงต้องการแพทย์ที่เข้าใจเขา ที่จะช่วยเป็นผู้ดูแลและที่ปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะคนไข้เราอาจจะไม่มีสิทธิเลือก แต่ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์เราสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยและญาติได้ทุกกลุ่มค่ะ และสำหรับกลุ่ม 2,3, และ 4 การดูแลแบบ Palliative Care น่าจะช่วยให้ผู้ป่วย “ตายดี” ได้ แม้จะไม่สามารถเลือกได้ว่า “ตายแบบไหนดี”
หนังสืออ้างอิง
The Key Statistics of Thailand 2007. Bangkok: National Statistical Office of Thailand, Statistical Forecasting Bureau.
หวัดดีดาริน
trajectory ช่วยเรามากในการตัดสินใจว่า คนไข้เราอยู่ตรงไหน(บน graph) แล้วช่วยเขาอย่างไรได้บ้าง แต่มี NEJM 2010 ตีพิมพ์ในอีกแง่ว่า tracjectory เองก็มี defect ของมันเองว่า มีเฉพาะ dementia เท่านั้นที่เป้นไปตาม graph ในขณะที่อื่นๆ vary มาก
ชอบสไตล์การเขียนแบบมีข้อมูลสนับสนุน แบบพี่เป้มากคะ
ยังสงสัยว่า PPS สร้างมาจากสมมติฐานของ trajectory แบบ 4
ดังนั้น หากผู้ป่วยมี trajectory แบบอื่น อาจใช้ทำนายได้ไม่แม่นยำ หรือเปล่านะ
พี่โรจน์ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ แต่บางครั้ง dementia ก็ทำนายยากเหมือนกันนะเพราะมันก็มีภาวะแทรกซ้อนได้ เป้ว่า trajectory นี้อาจจะเป็นประโยชน์มากกว่าในแง่ว่า ยังไงคนเราก็ต้องตายซักแบบอยู่ดี เป็นมะเร็งก็ไม่น่าจะแย่มากนัก เพราะยังมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ และก็ไม่เป็นภาระคนอื่นนานเกินไป
แต้ ขอบคุณสำหรับคำชมนะจ๊ะ พี่ก็ชอบ style การเขียนแบบโยงจากประสบการณ์จริงของแต้เหมือนกันจ้ะ
พี่เห็นว่าถ้าเป็นแบบ 4 ก็เอา PPS มาใช้ได้ตรงไปตรงมา ถ้าแบบ 1 ก็ไม่ต้องใช้เลย แต่ถ้าเป็นแบบ 2,3 ก็คงต้องดูว่าตอนเอามาใช้เป็นช่วงคนไข้มีภาวะแทรกซ้อนอยู่รึเปล่า เพราะถ้ามีอยู่ตอนใช้ PPS ก็จะต่ำ แต่พอแก้เหตุได้ PPS ก็จะขึ้นมาจ้ะ
แต่ก็มีหลายๆครั้งที่ PPS ยัง 70 อยู่เลย แต่คนไข้มีภาวะแทรกซ้อนเช่น DVT, PE แล้วก็ไปเร็วเลยก็มีเนอะ trajectory 4 อันนี้ก็เลยเป็นโครงร่างคร่าวๆอยู่ดีจ้ะ