ตามที่สมาคมพยาบาลฯ ได้จัดโครงการประชุมวิชาการ เรื่อง การดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง : มิติที่ท้าทายการพยาบาล ในระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคม 2553 ณ ห้องแกรนด์บอล์ลรูม บี ชั้น 8 โรงแรมลีการ์เด้นท์พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พยาบาลPCU ได้มีโอกาสไปร่วมช่วงบรรยายพิเศษการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง โดย รศ.ประคอง อินทรสมบัติ มีเนื้อหา และประเด็นเด่น ที่อยากเอามาฝากเยอะเลย แต่ยังไม่มีโอกาสได้พิมพ์ วันนี้เอามาฝากแค่บรรยากศก่อนนะคะ
พยาบาลPCUได้ขออนุญาต รศ.ประคอง อินทรสมบัติ นำเนื้อหาฉบับเต็มมาลงในบันทึกคะดังย่อหน้าถัดไปนี้คะ
การดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง : มิติที่ท้าทายการพยาบาล
โดย รศ.ประคอง อินทรสมบัติ
ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
--------------------------------------------
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญอันดับแรกและทวีความรุนแรงมากขึ้นในศตวรรษที่ 21 เรียกว่าเป็นการระบาด คือ แพร่กระจายทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา จากรายงานขององค์การอนามัยโลก ปีคศ.2005 สาเหตุการตายการป่วยและทุพพลภาพ ร้อยละ 60 เกิดจากโรคเรื้อรัง และคาดว่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 73 ในปีคศ.2020 (WHO 2002) หากไม่หาทางป้องกันและจัดการอย่างเป็นระบบ รายงานสถานะสุขภาพของคนไทยในปีพศ.2546-2550 พบว่าอัตราป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง จากข้อมูลพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี สำหรับผู้ป่วยที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลในอันดับต้น ๆ ก็เป็นภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง คือ โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง นอกจากนี้การเข้าสู่สังคมสูงอายุที่เป็น Baby Boomer แรกซึ่งจะมีอายุ 65 ปี ในปีคศ.2011 กลุ่มผู้สูงอายุนี้จะมีโรคเรื้อรังสะสมเพิ่มขึ้น ที่เกิดโรคเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ และวัยกลางคนและจะเป็นภาวะเรื้อรังหลายอย่าง ข้อมูลขององค์กรอนามัยโลกพบว่าภาวะเรื้อรัง 4 อันดับแรกคือโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ระบบบริการสุขภาพจำเป็นจะต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับภาระนี้ และปรับปรุงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากปัญหาดังกล่าว
ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ปัจจัยหลายอย่างทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังเพิ่มขึ้น การพัฒนาการสาธารณสุข Bacteriology , Immunology และเภสัชวิทยา ทำให้อัตราตายจากโรคเฉียบพลันลดลง การประสบความสำเร็จทางการแพทย์มีผลทำให้คนมีอายุยืนยาวเกิดโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นและสามารถค้นพบโรคได้เร็วขึ้น นอกจากนี้การมีอายุยืนยาวมีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและโรคที่กลายเป็นภาวะเรื้อรัง เช่น ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น วัยรุ่นที่มีอัมพาตจากอุบัติเหตุที่มีชีวิตยืนยาวจากการฟื้นฟูสภาพ และการดูแลต่อเนื่อง ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังสามารถมีชีวิตยืนยาวจากการบำบัดทางไตหรือการปลูกถ่ายไต
การเพิ่มขึ้นและการขยายของชุมชนเมืองทำให้ขาดแหล่งประโยชน์และบริการที่จำเป็นสำหรับการมีสุขภาพดี เช่น ที่อยู่อาศัย น้ำดื่ม น้ำใช้ สิ่งแวดล้อม การกำจัดขยะมูลฝอย ความยากจน ความอดทน ชีวิตความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต ความเครียด และบริการสุขภาพ
วิถีชีวิตและพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มอัลกอฮอล์ รับประทานอาหารไม่เหมาะสมและขาดการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถป้องกันได้
ความหมายของการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ความหมายของโรคกับความเจ็บป่วย (disease VS. illness) โรคและความเจ็บป่วยมีความแตกต่างกันคำว่าโรค หมายถึงภาวะที่วิชาชีพสุขภาพ ให้ความหมายด้วยพยาธิสรีรภาพด้วยรูปแบบชีวภาพการแพทย์เป็นการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย (Structure & function) ในทางตรงกันข้าม ความเจ็บป่วยเป็นประสบการณ์ของมนุษย์เกี่ยวกับอาการและความทุกข์ทรมาน และมีความหมายถึงการรับรู้ต่อโรคที่เป็น การมีชีวิตอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นและการตอบสนองของบุคคลและครอบครัว แม้ว่าพยาบาลต้องให้ความสำคัญกับพยาธิสภาพของโรคเรื้อรัง แต่ต้องเข้าใจประสบการณ์ความเจ็บป่วยด้วยเพื่อให้การดูแลผู้เจ็บป่วยเรื้อรังระยะยาว
ความผิดปกติชนิดเฉียบพลันกับเรื้อรัง
การเกิดโรคเฉียบพลัน มีอาการเริ่มต้นทันทีทันใด อาการและอาการแสดงเกิดจากกระบวนการของโรค และเกิดในเวลาสั้น มีการฟื้นหายและกลับสู่ปกติหรืออาจเสียชีวิต
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง เกิดขึ้นยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด ความอยู่รอดและความตายจะดำเนินไปด้วยกัน การเจ็บป่วยกลายเป็นเอกลักษณ์ของบุคคล เช่น เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง เข้าสู่ระยะโรคสงบ แต่บุคคลนั้นก็ยังคงถูกตราว่าคนๆ นั้น เป็นมะเร็ง ภาวะเรื้อรังมีหลายลักษณะและแบบแผน การเริ่มเป็นแตกต่างกัน อาจเกิดทันทีหรือค่อยเป็นค่อยไป มีระยะโรคกำเริบหรือเข้าสู่ระยะโรคสงบโดยไม่มีอาการเป็นเวลานาน มีความผาสุกและควบคุมอาการได้ ซึ่งต้องอาศัยความสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามแผนการรักษา และรักษาคุณภาพชีวิต (lubkin & Larsen, 2006)
ความหมายของภาวะเรื้อรัง (Chronicity)
การให้ความหมายของภาวะเรื้อรังมีความซับซ้อน นักวิชาการหลายท่านพยายามให้ความหมาย และมีความแตกต่างกันเริ่มจากคณะกรรมการโรคเรื้อรัง (Commission On Chronic Illness) ซึ่งอธิบายลักษณะของโรคเรื้อรังว่าเป็นความบกพร่องหรือเบี่ยงเบนจากปกติที่มีลักษณะต่อไปนี้ 1 อย่างหรือมากกว่า คือ (Lubkin & Larsen , 2006 : 5)
1. มีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
2. มีความพิการหลงเหลืออยู่
3. พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นไม่สามารถกลับคือสู่ปกติ
4. ต้องการการฟื้นฟูสภาพ หรือ
5. ต้องการการติดตามเพื่อนิเทศ สังเกตอาการ และให้การดูแลเป็นระยะเวลานาน
การประชุมระดับชาติเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง ได้เพิ่มเติมมิติของเวลาเข้าไปในลักษณะของภาวะเรื้อรัง คือ โรคเรื้อรังหรือความบกพร่องที่เกิดขึ้นเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระยะเฉียบพลันเกิน 30 วัน หรือต้องติดตามประเมินและฟื้นฟูสภาพเป็นเวลา 3 เดือนหรือมากกว่านั้น
องค์การอนามัยโลกได้ให้คำจำกัดความของภาวะเรื้อรังว่า (Chronic Conditions) ไปอย่างช้า ๆ ต้องจัดการอย่างต่อเนื่องเป็นปี ๆ หรือสิบ ๆ ปี และมีภาวะปัญหาสุขภาพหลายอย่างมากกว่าคำจำกัดความดั้งเดิมคือความเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่นโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคหืด นอกจากนั้นรวมถึงโรคติดเชื้อ (HIV/AIDS) และความผิดปกติทางจิต (WHO, 2002)
นอกจากนั้น การให้นิยามของภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังเฉพาะบางโรคอาจมีความยากลำบาก เช่น การเกิดโรคมะเร็ง อาจเริ่มต้นก่อนปรากฏอาการหลายปี และเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ การรับประทานอาหาร วิถีชีวิต พันธุกรรม ดังนั้น ระยะเวลาของการเกิดโรคอาจมีการถกเถียงกันว่าเริ่มต้นเมื่อตรวจชิ้นเนื้อหรือก่อนหน้านั้นซึ่งมีผลต่อการป้องกันการเกิดโรค
การให้ความหมายของความเจ็บป่วยเรื้อรัง เพื่อกำหนดขอบเขตของทิศทางให้ชัดเจนและครอบคลุมขอบเขตของความเรื้อรังไปจนถึงความพิการ จะพบปัญหาในการวัดความพิการว่ามากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัย สภาวะและความรุนแรงของโรค แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น เช่น อายุ ระยะพัฒนาการ การปรับตัว การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และความจำกัดในกิจวัตรประจำวัน
การให้ความหมายของภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังในทัศนะทางการพยาบาลโดย Curtin & Lubkin (1995) ทำให้ความหมายสมบูรณ์ขึ้นและครอบคลุมภาวะต่าง ๆ คือ “การเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นภาวะที่ไม่สามารถกลับสู่ปกติ ความเสื่อมจากโรคสะสม หรือซ่อนเร้น สงบ หรือมีความบกพร่อง ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมทั้งหมดของบุคคลเพื่อการดูแลสนับสนุน และการดูแลตนเอง ธำรงไว้ซึ่งการทำหน้าที่ และป้องกันภาวะทุพพลภาพที่เพิ่มขึ้น การให้ความหมายนี้ทำให้เข้าใจทุกมิติของความเจ็บป่วย สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง และผลกระทบจากความเจ็บป่วย
ผลกระทบของความเจ็บป่วยเรื้อรัง
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังมีผลต่อชีวิตของผู้ป่วยทุกด้าน และมีความแตกต่างของแต่ละบุคคล ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพ ความเชื่อและการให้คุณค่า ระบบสนับสนุน และปัจจัยอื่นที่แตกต่างกัน ตัวอย่าง เช่น ผู้หญิงอายุ 40 ปี เป็น Multiple Sclerosis อาจมีประสบการณ์ความเจ็บป่วยแตกต่างจากผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่อายุเท่ากัน และโรคเดียวกันดังนั้น แต่ละบุคคลจึงมีประสบการณ์ความเจ็บป่วยเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ผลกระทบของความเจ็บป่วยเรื้อรังมีดังนี้
1. การเจริญเติบโตและพัฒนาการ ความเจ็บป่วยเรื้อรังยื่นเข้าไปในทุกระยะของการเจริญเติบโต และพัฒนาการ อาจไม่สามารถกระทำพัฒนกิจในช่วงวัยต่าง ๆ ได้สำเร็จ อาจล่าช้า หรือหยุดชะงัก เช่น การเจ็บป่วยในวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ตอนต้น วัยกลางคน และวัยสูงอายุ
2. คุณภาพชีวิตกับชีวิตที่ยืนยาว ความสามารถและการประสบความสำเร็จในการปรับตัวต่อภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง มีความหมายต่อคุณภาพชีวิตซึ่งเป็นคุณค่าที่ต้องใช้ความพยายามและสู้ชีวิตต่อไป โรคเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อคุณภาพชีวิต คนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในเรื่องความเข้มแข็ง อดทน และความแข็งแกร่งซึ่งเป็นโครงสร้างบุคลิกภาพเรียกว่า Hardiness Personality ที่ประกอบด้วยลักษณะของบุคคลที่เชื่อว่าสามารถควบคุมหรือมีผลต่อเหตุการณ์ที่ประสบ (Control) มีความสามารถในการเข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีข้อผูกพันอย่างลึกซึ้ง (Commitment) และมองเหตุการณ์อย่างท้าทาย (Challenge) (Kobasa, 1979) ดังนั้นในโรคเดียวกัน คนแต่ละคนมีความสามารถในการปรับตัวแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับโรค อายุระยะพัฒนาการ ความรุนแรงของภาวะทุพพลภาพ และการรักษา รวมทั้งครอบครัว และชุมชน และวิชาชีพสุขภาพ/ระบบสุขภาพ
3. อิทธิพลของสังคม สังคมมักให้ความหมายความเจ็บป่วย และความอ่อนแอโดยมุ่งที่โรคเป็นหลัก จึงทำให้ผู้เจ็บป่วยเรื้อรังเสียโอกาส และไม่เกิดผลดี ผู้เจ็บป่วยเรื้อรังควรจะได้รับการพิจารณาว่าสามารถปรับเปลี่ยนมากกว่าจะมองว่าเป็นคนที่ไม่สร้างผลผลิต (Nonproductive) ซึ่งจะนำไปสู่การช่วยเหลือให้เต็มศักยภาพ และมีคุณค่า เกิดผลผลิตได้นอกจากนี้การกำหนดนโยบาย และกฎหมายจะช่วยให้เกิดการสนับสนุนผู้ป่วยเรื้อรัง ลดการตราบาปต่อผู้ป่วย และจัดการทางการเงิน การคลัง
4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ภาวะเรื้อรังมีผลต่อเศรษฐกิจ การเงิน ค่าใช้จ่ายทางด้านบริการสุขภาพ เช่น ผลกระทบจากการเป็นเบาหวาน ที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายโดยตรงและภาวะทุพพลภาพ ไม่สามารถประกอบวิชาชีพ อัตราป่วยก่อนวัยอันควร ซึ่งสถาบันแพทย์เสนอว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่ควรจะมีการปรับปรุงคุณภาพของบริการสุขภาพอย่างยิ่ง เมื่อหันกลับมาพิจารณาผู้ที่มีภาวะเรื้อรัง 5 อย่างหรือมากกว่า ต้องติดตามการรักษา มาตรวจตามนัดถึง 15 ครั้งต่อปี และใช้ยาประมาณ 50 ชนิดต่อปี ที่ผู้ป่วยต้องจ่ายเงินเอง และจากสิทธิประโยชน์พึงได้จากรัฐ
5. เจตคติของวิชาชีพสุขภาพต่อภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง วิชาชีพสุขภาพสามารถมีมุมมองเชิงบวกต่อภาวะเรื้อรังได้ และช่วยบุคคลให้พัฒนาเต็มตามความสามารถ มีมุมมองทางบวกต่อครอบครัว หรือสังคม และในขณะเดียวกัน การมีเจตคติทางลบ มีผลต่อการฟื้นฟูสภาพเช่นเดียวกัน การดูแลผู้ป่วยเรื้อรังไม่ใช่การดูแลเพื่อช่วยให้รักษาชีวิตที่หน่วยฉุกเฉินเท่านั้นแต่จำเป็นจะต้องให้ความรู้สนับสนุนการจัดการตนเองกับผู้ป่วยถึงผลในระยะยาว และการดูแลต่อเนื่องตามวิถีโคจรของความเจ็บป่วย (Trajectory)
รูปแบบการจัดการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
องค์การอนามัยโลกได้เสนอระบบการป้องกันและจัดการภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง เรียกว่า Innovative Care for Chronic Conditions (ICCC) ซึ่งเป็นการขยายจากรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง (Chronic Care Model)ของ Wagner,et al (1999) นวัตกรรมการดูแล ผู้ป่วยเรื้อรังเป็นการเสนอความคิดวิธีการและโปรแกรมใหม่เพื่อป้องกันและจัดการภาวะเรื้อรัง ซึ่งนวัตกรรม (Innovation) มีความหมายว่าบูรณาการองค์ประกอบพื้นฐานจาก ระดับ Micro,Meso และ Macro ของระบบบริการสุขภาพแต่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจ แนวคิดของภาวะเรื้อรังเสียใหม่โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญ ผู้ป่วยมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดผลลัพธ์ ผู้ป่วยไม่ได้เป็นเพียงผู้ตามแต่มีส่วนร่วมอย่างสำคัญที่จะทำให้เกิดสุขภาพดี (ดังแสดงในรูปที่ 1)
รูปแบบการจัดการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง พัฒนาขึ้นโดย Edward H. Wagner ซึ่งเป็นแพทย์แห่งสถาบัน Group Health Cooperative of Puget Sound’s MacColl Institute for Health Care. Innovation เป็นรูปแบบสำหรับให้การดุแลผู้ป่วยระดับปฐมภูมิที่เจ็บป่วยเรื้อรัง เพื่อนำไปใช้พัฒนาการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังที่มีประวัติเสี่ยง เนื่องจากผู้ป่วยเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ติดบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง ภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ AF โรคหืด และภาวะซึมเศร้าไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องออกแบบใหม่เพื่อให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน การสร้างรูปแบบจัดการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ และกรอบแนวคิดมีลักษณะเปรียบเป็นหมู่ดาว 3 กลุ่ม ที่คาบเกี่ยวกัน ประกอบด้วย
1) ชุมชนทั้งหมด ที่มีแหล่งประโยชน์มากมาย รวมทั้งนโยบายสาธารณะ นโยบายเอกชน
2) ระบบบริการสุขภาพรวมถึงระบบการจ่าย และ
3) องค์กรผู้ให้การดูแล
ไม่ว่าจะเป็นระบบบูรณาการ คลินิก หรือเครือข่าย ในระบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังที่เหมือน 3 หมู่ดาวของจักรวาลนี้ การทำงานอาจช่วยเหลือหรือเป็นอุปสรรคต่อการดูแลให้เต็มที่ โดยรูปแบบการดูแลประกอบด้วย 6 ส่วน คือ แหล่งประโยชน์ชุมชน และนโยบายชุมชน หน่วยงานบริการสุขภาพ การสนับสนุนการจัดการตนเอง การออกแบบระบบให้บริการ การสนับสนุนการตัดสินใจ และระบบความรู้และข่าวสารทางคลินิก โดยต้องมีปฏิสัมพันธ์อย่างมีส่วนร่วม ระหว่างผู้ป่วย (ที่รับรู้และมีส่วนร่วม) กับทีม เกิด ผลลัพธ์ทางด้านการทำหน้าที่ และผลลัพธ์ทางคลินิก (Bodenheimer, et al 2002) ดังแสดงในรูปที่ 2
การดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง : มิติท้าทายของการพยาบาล
การพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ท้าทายในศตวรรษที่ 21 คือการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง ที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศและของโลก พยาบาลสามารถรับผิดชอบกับภารกิจนี้โดยอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ จากการศึกษาวิจัย ปรับปรุงโปรแกรมการศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพที่เปลี่ยนแปลง และการใช้หลักการของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังลงสู่การปฏิบัติทางคลินิก ความหมายของสิ่งที่กล่าวว่าท้ายทายคืออะไร ผู้ป่วยเรื้อรังเป็นประชากรที่มีความต่าง เช่น ปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง ปัญหาสุขภาพจิต และอื่น ๆ ถึงแม้ว่ามีความต่าง แต่ความเหมือน คือ ไม่หายขาด ต้องการการรักษาตลอดชีวิต ต้องติดตาม และจำเป็นจะต้องพัฒนาทักษะ การจัดการตนเองเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์สุขภาพ และหลีกเลี่ยงการกำเริบของการเจ็บป่วย (WHO, 2002) ในขณะที่ความเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้ทุกวัย ตลอดกระบวนการของชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และมีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง การดูแลผู้ป่วยเรื้อรังจึงแตกต่างจากการดูแลผู้ป่วยเฉียบพลัน ในสถานการณ์ปัจจุบันมักมุ่งที่การรักษาภาวะเฉียบพลัน ซึ่งถ้า ความสนใจน้อยกับการจัดการตนเอง ของผู้ป่วยครอบครัว การป้องกันและให้การดูแลต่อเนื่อง การดูแลที่เกิดผลลัพธ์ทางบวกต่อรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง (chronic care model) ของ Wagner และคณะคือผลลัพธ์ทางคลินิกและความสามารถในการทำหน้าที่ ส่วน Innovative care for chronic condition (ICCC) ซึ่งปรับโดยองค์การอนามัยโลก ที่อ้างว่าจะเหมาะสมกับประเทศกำลังพัฒนาด้วย แนวคิดหลักของรูปแบบทั้ง 2 นี้ต้องการวางแผนการดูแลที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างระบบบริการสุขภาพที่ต้องเริ่มจากการเชื่อมโยง การเตรียม การให้ข้อมูล และการเพิ่มแรงจูงใจให้กับผู้ป่วยและครอบครัว ทีมสุขภาพ และชุมชน ส่งเสริมให้เกิดการดูแลต่อเนื่อง การใช้ภาวะผู้นำและมีแรงดึงดูดใจ การจัดระบบระเบียบและเตรียมทีมสุขภาพ สนับการจัดการตนเองและป้องกันปัญหา พัฒนาและกระตุ้นให้ใช้ระบบข้อมูลและกำหนดนโยบายของสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ทางคลินิก และความสามารถในการทำหน้าที่/คุณภาพชีวิต
สภาการพยาบาลระหว่างประเทศ (ICN) เป็นองค์กรวิชาชีพที่ให้ความสำคัญกับภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง โดยการกำหนดหัวข้อในวันพยาบาลสากล ปีคศ.2010 “พยาบาลนำชุมชน สร้างสรรค์คุณภาพ การดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง” ซึ่งแสดงถึงความรับผิดชอบต่อความรุนแรงของปัญหา และความเร่งด่วนในการร่วมแก้ปัญหา และรวมพลังพยาบาลทั่วโลก นอกจากนี้ด้วยฐานคิดหลักของวิชาชีพการพยาบาล เช่น การดูแลสุขภาพองค์รวม ปรัชญาการดูแลตนเอง การดูแลที่มุ่งผู้ป่วยและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง การมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการดูแล และการดูแลต่อเนื่องล้วนเป็นรากฐานสำคัญของการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง Bodenheimer, McGregor และ Stothart (2005) อ้างว่าพยาบาลเป็นผู้นำในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง จากหลายการศึกษาแสดงให้เห็นถึงบทบาทหลักของพยาบาลในการใช้องค์ประกอบของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง จากหลายการศึกษาแสดงให้เห็นถึงบทบาทหลักของพยาบาลในการใช้องค์ประกอบของรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังโดยเฉพาะเรื่องการวางแผนติดตามเยี่ยมผู้ป่วย การสื่อสารมีประสิทธิภาพ การใช้กลวิธีและฝึกทักษะในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่พยาบาลเป็นผู้นำ (nurse led program) ที่มีผลต่อคุณภาพการดุแลผู้ป่วยเบาหวาน อุปสรรคที่เกิดขึ้นคือการศึกษา การจ่ายประกัน และบางสถาบันใช้พยาบาลไม่คุ้ม ซึ่งต้องขจัดอุปสรรคเหล่านี้ด้วยการพัฒนาศักยภาพและการเตรียมทางด้านการศึกษา และการฝึกอบรม จากการปฏิบัติการพยาบาลทั่วไปและการปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูง ทีเป็นการจัดการกลุ่มผู้ป่วย (Care management) และการจัดการรายกรณีในผู้ที่มีปัญหาซับซ้อน รวมทั้งการสร้างระบบบริการผู้ป่วยเรื้อรัง
สรุป
ความต้องการการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง มีความซับซ้อน ที่เป็นความต้องการซึ่งเกิดขึ้นจากความเจ็บป่วยและการรักษา ความต้องการโดยทั่วไป และความต้องการในระยะพัฒนาการการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง เป็นการดูแลระยะยาว ที่เป็นการมีส่วนร่วมระหว่างผู้ป่วยครอบครัว และทีมสุขภาพ รวมถึงสิ่งแวดล้อมและแหล่งประโยชน์ในชุมชน การจัดการดูแลตนเอง เป็นหัวใจสำคัญของหน่วยบริการสุขภาพที่ต้องเสริมพลังให้กับผู้ป่วยและครอบครัวพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว พยาบาลมีบทบาทสำคัญมากในระบบสุขภาพที่มีส่วนร่วมในทีมสุขภาพ เพื่อป้องกันและจัดการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง เริ่มตั้งแต่ประชาชนที่มีสุขภาพดี กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง การดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล ผู้เจ็บป่วยเรื้อรังที่อาการรุนแรงและโรคก้าวหน้า รวมทั้งผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต การออกแบบระบบการดูแล แนวคิด การดูแลตนเองต่อเนื่องในการดูแล การดูแลที่มุ่งผู้ป่วยและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง แนวคิดหลักเหล่านี้ถูกเตรียมมาในวิชาชีพการพยาบาลซึ่งช่วยให้การดูแลผู้เจ็บป่วยเรื้อรังมีคุณภาพ
----------------------------------------
บรรณานุกรม
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สำนักนโยบายและแผนกระทรวงสาธารณสุข. (2541). การสำรวจสภาวะสุขภาพของประชาชนโดยตรวจร่างกาย พ.ศ.2539-2540.
Bodenheimer, T. ; MacGregor, K. & Stothart, N. (2005). Nurses as leaders in Chronic Care. BMJ. 330, 612-3.
Geest. (2009). Care for the chronically ill : a challenge also for nursing Journal of Nursing Scholarship. 41, 229-230.
Epping – Jordan, J.E. ; Pruitt, S.D. ; Bengoa, R. & Wagner, E.H. (2004). Improving the quality health care for chronic conditions. Qual. Saf. Health Care. 13, 299-305.
Kobasa, S.C. (1979). Stressful life events, personality and health : An injury into hardiness. Journal of Personality and Social psychology, 37, 1-11.
Lubkin, I.M. & Larsen, P.D. (2006). Chronic Illness Impact and Interventions. Boston : fJones and Bartlett publishers.
Vonkorff, M. ; Gruman J. ; Schaefer, J. ; Curry, S.J. & Wagner, E.H. (1997). Collaborative Management of Chronic Illness. Annals of Internal Medicine. 17, 1097-1102.
Wagner, E.H. ; Davis, C., ; Schaefer, J. et al. (1999). A survey of leading chronic disease management programs : are they consistent with the literature? Manage Care Q. 7 : 56-66.
World Health Organization. (2002). Innovative care for chronic conditions: Building Blocks for Action Global Report.
.................................
และคุณรำภาภรณ์ ได้สรุปเนื้อหาในการประชุมมาเล่าในการประชุมวิชาการพยาบาล คลินิคเวชปฏิบัติครอบครัวดังLink ด้านล่างคะ
ไม่มีความเห็น