....ยั่วเย้า...ชาวกรุง...


...กรุงเทพฯ....เมืองฟ้าอมร...จะว่าสุขก็สุข...จะว่าทุกข์ก็ทุกข์...ในอีกมุมมองที่แตกต่าง

          โอ้...กรุงเทพฯ...เมืองฟ้าอมร...สมเป็นนครมหาราชา... หลายๆท่านคงคุ้นเคยกับเพลงๆนี้...กรุงเทพฯเป็นเมืองที่หลายๆคนใฝ่ฝันอยากมาเห็นความเจริญรุ่งเรือง แสงสี ที่ยั่วเย้า...ให้ผู้คนหลงใหล ความสวยงามของแสงสียามค่ำคืน จนบางคนบอกว่าเป็นเมืองฟ้า เมืองสวรรค์...

 

 

          การที่กรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงของเรา ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของความเจริญด้านต่างๆ ทั้งศูนย์การค้า การคมนาคมที่ทันสมัย(รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน )สนามบินสุวรรณภูมิที่ใหญ่และสวยงาม(สร้างนาน..น..ที่สุดด้วย) เป็นศูนย์รวมการค้าการลงทุน การเมือง การบันเทิง  ศูนย์รวมของคนทุกภาคก็มาทำงานที่นี่ และยังมีแหล่งรวมสถานที่สำคัญๆก็อยู่ที่นี่ รวมถึงมหาอำนาจก็คือกรุงเทพฯนี่เอง ( อย่ายึดแต่อำนาจ...ยึดใจให้ได้เสียก่อน )

 

          มุมมองของคนต่างจังหวัด...มองกรุงเทพฯ

          โอ้...กรุงเทพฯช่างเป็นเมืองแห่งการแสวงโชค...หางานทำ...น่าตื่นตา ตื่นใจ...น่าหลงใหล ผู้คนก็แต่งตัวสวยงาม...โก้เก๋ ศูนย์รวมแฟชั่น ผู้คนก็พูดจาไพเราะห์(แต่จริงใจหรือไม่?...เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตึกรามบ้านช่องก็ใหญ่โต รถยนต์ก็มากมาย...เหตุผลที่คนกรุงเทพฯชอบอ้างนักอ้างหนาและฟังจนเบื่อ...แต่ก็ใช้ได้ผลตลอดกาล คือ...รถติด...ที่ว่ารถติด...อยากรู้ว่าติดอย่างไร? อยากมาสัมผัสดูบ้าง? อยากขึ้นรถไฟฟ้ามหานครรอบกรุงเทพฯ อยากขึ้นรถใต้ดินดูบ้างว่าสนุกใหม? อยากมาเห็นวัดพระแก้ว อยากมาทำงานและอยากลองใช้ชีวิตแบบชาวกทม.ดูบ้างว่าเป็นอย่างไร? รถเมล์กทม.มันแน่นเหมือนปลากระป๋องอย่างที่เขาว่าจริงหรือ? ผู้คนไม่ค่อยทักทายกัน บ้านติดกันก็ไม่คุยกันจริงหรือเปล่า? บ้านเรารู้จักกันทั้งอำเภอ เห็นคนบอกว่ากทม.เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้จริงหรือ? จึงมีผู้คนมากมายพยายามมาค้นหาคำตอบด้วยตนเอง

 

          มุมมองที่คนกทม....มองกทม...เอง...

          กรุงเทพฯ...นั้นเป็นศูนย์รวมของความเจริญและความเสื่อมพอๆกัน ผู้คนที่ประสบความสำเร็จก็มีมาก ...ผู้คนที่ล้มเหลวก็มีไม่ใช่น้อย มีการต่อสู้แข่งขันกันตลอดเวลา ทั้งการทำงานและการดำเนินชีวิต

          ด้านการทำงาน  มีการนำเทคโนโลยีชั้นสูงที่ทันสมัยมาใช้ทุกรูปแบบซึ่งมักเริ่มต้นที่นี่ จึงทำให้เป็นความโดดเด่นและน่าสนใจ มีความสะดวกสบายครบวงจร รถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้าบนดิน รถไฟฟ้าใต้ดิน เรือด่วน เครื่องบิน ศูนย์การค้าทันสมัย ตึกสูงๆสวยงามแปลกตาผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด การตกแต่งประดับประดาด้วยแสงสีสวยงามในยามค่ำคืนดูน่าหลงใหล ถนนซ้อนกันสองสามชั้นยังไม่พอให้รถในกทม.วิ่งจึงมีรถติดกันยาวเหยียดในช่วงเร่งด่วน

          ด้านการดำเนินชีวิต ที่เร่งรีบไปเสียหมดทุกเรื่อง กินเร็ว เดินเร็ว ทำอะไรก็แก่งแย่งกัน ทั้งทำงาน ขึ้นรถ และการเป็นอยู่ที่เบียดเสียดยัดเยียดเนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากมารวมกันจากทุกสารทิศในกทม. รวมทั้งเป็นแหล่งอาชญากรทุกรูปแบบและมีอันตรายรอบด้าน ทำให้ไม่มีใครไว้ใจใคร การฉกชิงวิ่งราว การปล้นจี้เกิดขึ้นตลอด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็มีน้อย ผู้คนมีความอดทนสูงการดำเนินชีวิตที่ความกดดันหลายด้าน

          ด้านการศึกษา  เป็นแหล่งรวมมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทั้งด้านภาษาและโรงเรียนกวดวิชา การทำอาหาร การทำธุรกิจโรงแรม สถาบันด้านการเงินชั้นนำ รวมถึงมหาวิทยาลัยชีวิตที่มีหลายรูปแบบซึ่งทำให้ผู้คนได้รับบทเรียนจากที่กทม.นี่เอง

          ศูนย์การแพทย์  ที่ทันสมัยที่มีการแข่งขันกันสูงทั้งภาครัฐและเอกชน ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ด้านต่างๆในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน รวมถึงรพ.ชื่อดัง

          ศูนย์กลางการเมืองการปกครอง  ทุกยุคทุกสมัยก็ต้องมาเรียกร้องประชาธิปไตยที่กทม.เช่นที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานผ่านฟ้าลีลาศ พระบรมรูปทรงม้า สนามหลวง ทำเนียบ ถนนราชดำเนิน สนามบิน สถานีโทรทัศน์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ดินแดง บ่อนไก่ ราชประสงค์ ฯลฯ ทุกแห่งล้วนกลายเป็นแหล่งที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองทั้งสิ้น (เคยมีคนถามกันเล่นๆว่า...ถ้าจะยึดกรุงเทพฯนั้นจะยึดตรงไหน?...)

 

 

          ความเจริญด้านวัตถุ 

           กรุงเทพฯนับว่าเป็นศูนย์รวมความเจริญด้านวัตถุอย่างมาก ทั้งเทคโนโลยีรวมทั้งสถาปัตยกรรม การขนส่ง การค้าขาย การเงินการลงทุน สิ่งก่อสร้างตึกสูงๆสวยงาม สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่เกิดจากความเจริญ การแพทย์ที่ก้าวหน้าทันสมัย การนำสมัยด้านแฟชั่น ดาราบัญเทิง การเจริญรอยตามฝรั่งมีร้านอาหารจานด่วนทุกหัวมุมถนน ความสะดวกสบายครบครันในกทม.

 

       ความเจริญด้านจิตใจ

          กรุงเทพฯถ้าพูดถึงความเจริญด้านจิตใจ จากการสำรวจความสุขของคนกทม. มีความสุขในเกณฑ์ที่ต่ำมาก เนื่องจากการบีบคั้นในการดำรงชีวิตที่ต้องต่อสู้แข่งขันกัน ค่าครองชีพก็สูง ความสุขในการดำรงชีวิตจึงลดลง มีความเครียดสูง อารมณ์ร้อน...จุดเดือดของอารมณ์ต่ำมากแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นขับรถปาดหน้ากัน ก็อาจตายได้เพราะความโกรธและดังนั้นคนกทม.จึงพยายามใฝ่หาหนังสือธรรมะมาอ่าน ทำให้ยอดขายหนังสือธรรมะพุ่งแรงสวนกระแสเศรษฐกิจ เนื่องจากผู้คนอยากมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจตนเองยามคับขันจะได้มีสติตั้งรับทัน

 

                                    

   

         กทม....ไม่ใช่ เมื่องไทยทั้งหมด...แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศ

          ประเทศไทยมีถึง 77 จังหวัด(เพิ่มใหม่จังหวัดที่ 77 คือจ.บึงกาฬแยกมาจากจังหวัดหนองคาย)และแผนที่ประเทศไทยมีรูปร่างคล้ายขวาน ซึ่งกทม.อยู่บริเวณตรงกลางระหว่างขวานกับด้าม กทม.เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศไทยไม่ใช่เมืองไทยทั้งหมด แต่ผู้คนกทม.ก็มักตัดสินใจแทนคนอีก 76 จังหวัดโดยเฉพาะเรื่องการเป็นอยู่และการเมืองการปกครอง ความเห็นต่างทางความคิดทำให้มีการชุมนุมเกิดขึ้น ขอเพียงยอมรับฟังความคิดเห็นและเคารพความคิดและศักดิ์ศรีของคนอีก 76 จังหวัดบ้าง?ว่าพวกเขาต้องการอะไร? เราก็คงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อย่าตัดสินใจแทนหรือมองข้ามพวกเขาเหล่านี้

 

        อยู่ใกล้กัน...กลับ...เหมือนไกล....

           การเอื้ออาทร...ต่อเพื่อนร่วมโลก...บางครั้งก็ต้องมีการรณรงค์ให้เกิดขึ้น เพื่อปลุกจิตสำนึกให้ตื่นขึ้นมารับรู้...คุณคงจะเคยได้ยินมาบ้างว่า  เรื่องของเขา...เราไม่เกี่ยว...ไม่อยากยุ่ง...เช่นคนกำลังโดนทำร้ายหรือคนกำลังจะตายอยู่แล้ว...ถ้านิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ ก็ใจดำเกินไปแล้ว... ถ้านับความแล้งน้ำใจแล้ว...คงมีมากที่นี่(กทม.) บ้านใกล้เรือนเคียงไม่รู้จักกัน ไม่ไว้ใจกัน ห้องติดกันไม่รู้จักกันต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำงาน ไม่ค่อยยิ้มให้กัน ไม่ใช่ยิ้มไม่เป็น...แต่ไม่มีอารมณ์ยิ้ม?...

 

                      

 

           คนท้องและเด็ก คนแก่ขึ้นรถเมล์ ก็ต้องบอกขอสละเก้าอี้ให้นั่ง (ส่วนมากผู้หญิงเป็นคนลุกให้นั่ง ส่วนผู้ชายแกล้งนั่งหลับคอพับไปพับมาไม่รู้ไม่ชี้) ....เรื่องอย่างนี้ควรอยู่ในจิตสำนึก ช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่าและต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งสภาพสังคม...น่าห่วงมาก...อยู่ใกล้กัน...กลับเหมือนไกล...

 

         ไม่มี...สถานที่ไหนของไทย...ที่จะรู้จักคำว่า...รถติด...ได้มากเท่ากทม.

        “...รถติด...”  เป็นเหตุผลยอดฮิตของคนกทม. ....เมื่อมีคนถามว่าทำไมมาสาย?... การเดินทางเป็นสิ่งที่จำเป็นและการที่รถติดนั้นเป็นของคู่กันกับกรุงเทพฯ ไม่ว่าวันไหน?...รถก็ติด โดยเฉพาะวันฝนตกแล้วยิ่ง อภิมหา...รถติด...หลับก็แล้ว 3 ตื่นก็แล้วยังไม่ขยับจากทางแยกเลย จนสงสัยว่าสี่แยกจะเหลือแต่ไฟแดงอย่างเดียวเสียกระมัง?...ใคร.? ขโมยไฟเขียวไป(นะ)....หรือตำรวจจารจรแอบหลับหรือเปล่าไม่เปิดไฟเขียวฝั่งเราซะที...

 

 

         ถ้ามีเหตุการณ์อื่นแล้วยิ่งทำให้รถติดใหญ่ เช่น ฝนตก น้ำท่วม อุบัติเหตุ ติดขบวน ชุมนุม ประท้วง ดังนั้นคนกทม.จะรู้จัก จส.100 กันแทบทุกคน เนื่องจากเป็นข้อมูลในการหลีกเลี่ยงรถติดซึ่งเป็นประโยชน์มาก คนต่างจังหวัดเมื่อมากทม.จึงเข้าใจแล้วว่า...พอมาเจอรถติด...มันติดอย่างนี้นี่เอง... ดังนั้น...จึงเป็นข้ออ้างตลอดกาลที่พอฟังขึ้นแล้วได้ผล...

 

       กรุงเทพฯ...เมืองที่มีชื่อที่ยาว..ว..ว...ว..มากที่สุดก็ว่าได้

     ชื่อย่อว่า ...กทม. หรือยาวอีกนิดก็ กรุงเทพฯ หรือกรุงเทพมหานคร แต่จริงๆแล้วมีชื่อเต็มๆว่า กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ 

 

                 

 

ส่วนคำแปล(อ้างถึงhttp://nicky1544.storythai.com/200806/entry-73  )มีความหมายว่า พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร เป็นทีสถิตของพระแก้วมรกต เป็นนครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการน่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตรไว้

 

             ต่างสี...ต่างราคา...

         กทม.เป็นเมืองแห่งสีสรร...ไม่ว่าจะ สีเหลือง...แดง ..ชมพู...เขียว...ขาว...น้ำเงิน...หลากสี...ซึ่งล้วนแล้วแต่กระทบคนกรุงทั้งนั้น แฮะ..ๆๆ ..ในที่นี้ผึ้งงานขอยกเว้นเรื่องการเมืองไม่ขอกล่าวถึงเพราะอยากให้สมานฉันท์....แต่ต่างสีต่างราคาที่ว่านี้คื่อรถเมล์ของกทม. เช่น รถเมล์สีเหลือง...ใช้กาซNGV ราคาเริ่มต้น 12 บาท  สีแดงขสมก.มีทั้งขึ้นฟรีตลอดสายและ 7 บาทตลอดสาย รถสีชมพู(เมื่อก่อนใช้เป็นเลดี้บัสแต่เดี๋ยวนี้ใช้เป็นกาซNGV) ซึ่งมีสีชมพูจ๋าทั้งคัน 8 บาทตลอดสาย รถสีเขียวเมล์เล็กหรือรถกระป๋อง ราคา6.50 ตลอดสาย(ตอนนี้ถูกเก็บเข้ากรุแล้วเปลี่ยนเป็นรถเมล์สีส้มแทนดีกว่าเดิม) รถสีส้มพัดลม 6.50 บาทตลอดสาย รถสีขาว-เขียวแอร์ เป็นกาซNGVรุ่นแรก ยังวิ่งอยู่ระยะแรก 11 บาท รถสีขาว-น้ำเงินขสมก.8 บาทตลอดสาย รถสีส้มยูโรทูแอร์ระยะแรก 12 บาท

 

 

 

           เมื่อพูดถึงคนแน่นบนรถเมล์ ก็มีเรื่องเล่าตลกว่า...มีใครก็ไม่รู้..ตด..บนรถเมล์มีแต่กลิ่นที่ร้ายกาจ...ไร้เสียง จับไม่ได้ว่าใคร มีแต่รับรู้กลิ่นมาเป็นระยะๆ ช่วยกันดม แต่ไม่กล้าหันไปมองกลัวว่าคนที่มีปฏิกิริยาคือต้นกลิ่นไร้เสียง ...ที่นี้คนขับก็เรียกกระเป๋ามาข้างหน้าแล้วก็กระซิบอะไรเบาๆ ...สักพักกระเป๋าก็เดินมากลางรถว่า....ขอโทษนะคะ คนที่ตดนะจ่ายเงินค่ารถไม่ครบค่ะ...ทันใดนั้นหนุ่มนิรนามคนหนึ่งรีบตอบสวนกลับไปว่า...ผมให้แบงค์ยี่สิบคุณยังทอนเงินให้ผมเลย มาว่าผมจ่ายไม่ครบได้ไงครับ....5555….งานนี้คนขับ(แกล้ง)จับคนตดได้ทันที...พาเอาคนยิ้มกันทั้งคัน....

          แต่ไม่ว่าจะรถเมล์สีอะไร...ก็แน่นเป็นปลากระป๋อง...ทุกวัน..จนแทบจะมีสโลแกนใหม่ว่า ...โหนบาร์เดี่ยว...เพื่อสุขภาพ   ก็รถขสมก.ในกทม.นี่เอง...ค่ะ..

 

          ....ยั่วเย้า...ชาวกรุง...

          เมืองกรุงพอรถติดนานๆ คนกทม.ก็คุ้นเคย...แต่บางครั้งก็อดหงุดหงิดไม่ได้เวลาที่เรารีบๆ แต่ไปไม่ได้ดั่งใจ(ยกเว้นมีปีก...บิน..555…) เรื่องราวบางเรื่องก็คิดได้ตอนรถติด..ด..ด..นานมาก...ตอนฝนตก...   บางครั้งเวลารถติดก็อดที่จะมองรถคันข้างๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไมได้ บางครั้งเห็นแล้วก็ขำ...และลุ้นไปด้วย...ก็คันข้างๆแต่งหน้าไปด้วยฆ่าเวลาตอนรถติด พอไฟเขียวก็ขับต่อ...ได้คิ้วกับตาข้างซ้ายค้างไว้...พอรถติดอีกครั้งก็ได้อีกข้าง...ขับไปเรื่อยๆ ...สวยครบสูตรพอดี...

          วงคาราบาว...เคยแต่งเพลงแมคอินไทยแลนด์....แซวเมืองกทม.ว่า(...มาถึงยุคสมัยนี้ยุค..กอ..ทอ...มอ...เมืองที่...คน-ตก-ท่อ... ) เนื่องจากขยันขุด...ขยันรื้อทั้งท่อและฟุตบาท พอฝนตกน้ำท่วมทีไร...คนตกท่อเป็นประจำ ที่จริงแล้วคนกรุงเทพฯ...ก็อิจฉาการใช้ชีวิตในชนบทหรือต่างจังหวัด ...ซึ่งพอวันหยุดทีไร?...คนก็จะหนีกทม.ไปต่างจังหวัดเพื่อลืมความวุ่นวายของชีวิตบ้าง แต่คนต่างจังหวัดก็อยากมากทม. ซึ่งก็น่าแปลกที่...คนในอยากออก...คนนอกอยากเข้า..ต่างคน...ต่างมอง...คนละมุม

 

                

 

           ดังนั้นผึ้งงานจึงนำเรื่องราว...มายั่วเย้า...ชาวกรุง...ในมุมมองต่างๆอาจจะมีสาระบ้าง?...ไม่มีสาระบ้าง?  ดังนั้น อย่าคิดอะไร?มาก...  ความเครียดทำให้ชีวิตมีความสุขลดลง ดังนั้นผู้ที่อยู่กทม.ก็พยายามปรับตัวในการใช้ชีวิตให้มีความสุข...อย่าคิดอะไรมาก แล้วชีวีท่าน...จะเป็นสุข...

                           (ขอบคุณ...ภาพประกอบจากอินเทอร์เนต)



ความเห็น (25)

           

             น้ำเอย...น้ำใจ...คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ทุกข์จากน้ำท่วมในครั้งนี้หลายอำเภอและหลายจังหวัด ได้รับน้ำใจจากคนเมืองกรุง(เทพ)มากทีเดียว   จากการกระจายข่าวของศุนย์ความเจริญของข่าวสารและเทคโนโลยีที่นี่ เป็นข้อดีและเป็นศรัทธาตอนวิกฤติ...ที่ทำให้คนไทย....มีน้ำใจ...ไม่ทิ้งกันในยามทุกข์ยาก...ร่วมกันให้กำลังใจซึ่งกันและกัน...แล้ววันใหม่...ที่ดีกว่า...ก็จะมาถึง   ขอร่วมเป็นกำลังใจให้คนที่ประสบภัยน้ำท่วมทุกคนจงมีกำลังใจที่เข็มแข็ง และขอให้ท่านเชื่อมั่นว่าคนไทย...นั้นไม่เคย...ทิ้งกัน...

เขียนได้กินใจคนที่เติบโต + หากินอยู่ กทม อย่างเราเข้าอย่างจัง!!!

และเราก็เริ่มเบื่อ กทม. แล้วเหมือนกันนะ

แต่ดันไม่มีบ้าน ตจว. ให้กลับไปพักกายพักใจอย่างคนอื่นบ้างนี่นะ.... เฮ้อ!!!

สวัสดีค่ะคุณSandy

  • ดีใจมากค่ะที่คุณแวะมาเยี่ยม มีเพื่อนที่เข้าใจ...
  • เรามีสิ่งที่เหมือนกันคือ...อยู่กทม....หนีรถติดไม่พ้น...
  • ...ถึงเบื่อแต่ก็ต้องทน....ลองมองไปรอบๆ.....
  • แต่..กทม.นี้ก็มีข้อดีอยู่หลายอย่างเหมือนกัน...เรามองโลกบวก...ก็จะทำให้ชีวิตเราบวกด้วยเช่นกัน...
  • ถึงโลกภายนอกจะวุ่นวาย...แต่โลกภายในเรา Happy ก็พอค่ะ
  • ขอให้วันศุกร์ของเรา.....เป็นวันสุขร่วมกัน....นะคะ
  • ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ.

เรียบเรียงได้ดีมาก เห็นข้อแตกต่าง หลายคนที่ออกจาก กทม.แล้วไม่อยากกลับเข้าไปอีกเลย

สวัสดีค่ะ

  • อยู่กทม.วันนี้รถติดมาก...นั่งรถเมล์...หลับไปได้พักหนึ่ง
  • ได้ยินคนคุยโทรศัพท์ที่ยืนข้างๆ...บอกว่ารถติดมาก...ติดมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ยังไม่ไปไหน?เลย... อยู่แยกรัชโยธิน...เลยอดอมยิ้มไม่ได้ช่างเปรียบเปรยนัก...
  • เหตุผลที่ไม่เคยล้าสมัยสำหรับคนกรุงคือ....รถติด..ด...ด...จ๊ะ..

เรียบเรียงได้ดีมาก

กรุงเทพฯ รถติดและบรรยากาศร้อนมาก

อยากให้กรุงเทพฯ มีอากาศดีถ่ายเทได้สะดวก

สวัสดีค่ะคุณจิน,คุณbee,คุณann

  • ขอบคุณมากค่ะที่แวะมาเยี่ยมและแสดงความคิดเห็นร่วมกัน
  • รถติด...กับกรุงเทพฯ...นั้น...คงแยกจากกันไม่ออก...
  • มองบวก...คิดบวก...ชีวีเป็นสุขค่ะ.

ต้องอยู่กันไปอีกนาน ในบ้านหลังนี้..........

ดีครับ ว่างๆ เราก็มาวิจัยกรุงเทพสักที

มีอะไรหลายอย่างที่เราเห็นพบเจออยู่ทุกวี่วัน

แต่ไม่เคยเอามาคิดวิเคราะห์ ไม่แน่นะครับ

ทางออกสำหรับกรุงเทพ อาจมาจากพวกเราในที่นี้ก็ได้นะครับ

 

ทำให้เราสองคนคิดบวกมากขึ้นคะ...

เข้าใจคำว่า...แก่งแย่งมากขึ้น

 

และคำว่า...ปล่อยวางมากขึ้นคะ...

สวัสดีค่ะคุณประสิทธิ์

  • สิ่งที่เราพบเจอบ่อยๆ จนมันกลายเป็นความเคยชินอย่างเช่นการใช้ชีวิตของคนกทม. บางครั้งทำให้เรามองข้ามสิ่งที่เป็นมุมมองเขา...ไม่ใช่มุมมองเรา..
  • จึงนำสุขบ้างทุกข์บ้าง...มาเล่าสู่กันฟัง ในหลายแง่มุมเป็นการยั่วเย้า...คนกรุงและมองโลกแง่บวก  ...ในความวุ่นวายของเมืองหลวง
  • ขอบคุณที่มาแชร์มุมมองร่วมกันค่ะ

สวัสดีค่ะคุณเมขลากับเทวดา

  • คุณทั้งสองเป็นคนเลือก....มองชีวิตในสิ่งที่เป็นสุข...
  • มองบวก..คิดบวก..และรู้จักการปล่อยวาง
  • กรุงเทพฯที่อยู่...ก็คงเป็นเมืองฟ้าอมร...สมเป็นนครมหาราชา...น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ...ชิมิ..ชิมิ..
  • ขอบคุณที่คุณทั้งสองแวะมาเยี่ยมค่ะ.

สวัสดีค่ะคุณตัยเติ้ล

  • ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมและคำชมค่ะ
  • การส่งผ่านกำลังใจให้กัน ทำให้มีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น
  • กรุงเทพฯมีเรื่องราวมากมายให้ค้นหา ...
  • เรื่องบางเรื่องเราพบเห็นอยู่ทุกวันและเป็นปัญหา...แต่ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเมื่อต้องพบอยู่เป็นประจำ จนไม่คิดว่าแปลก เพราะคนกทม.มีความสามารถในการปรับตัวได้ดี
  • บางครั้งเมื่อขึ้นรถเมล์ คนก็แน่นมาก รถก็ติด ฝนก็ตกหนัก แต่....ผึ้งงานก็สังเกตเห็นกระเป๋ารถเมล์ เธอดูยังคล่องแคล่ว ว่องไว และอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ในการทักทายผู้โดยสาร ได้ตลอดวัน จนทำให้เราอดทึ่งในจิตวิทยาที่เธอใช้บริหารใจของเธอ
  • ไว้โอกาสหน้า...จะหาโอกาสสัมภาษณ์เคล็ดลับอารมณ์ดีของเธอมาฝากเพื่อนๆค่ะ
  • ขอบคุณอีกครั้งที่แวะมาเยี่ยมค่ะ

ชอบบทความของผึ้งงานจังเลย

โดนมากๆ

สวัสดีค่ะคุณไอซ์คูลลี่

  • ขอบคุณในกำลังใจที่มอบให้แก่ผึ้งงานค่ะ...ทุกกำลังใจมีความหมายกับผึ้งงานเสมอ ทำให้เกิดงานเขียนใหม่ๆขึ้นมาค่ะ
  • คุณลองแวะไปอ่านบทความอื่นๆของผึ้งงานดูนะคะ เผื่อจะได้มุมมองซึ่งแตกต่าง แล้วแวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันค่ะ
  • ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ

สวัสดีค่ะ

  • นำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกรุงเทพฯมาฝากค่ะ
  • สัญลักษณ์ประจำกรุงเทพฯคือ พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
  • ต้นไม้ประจำกรุงเทพฯคือต้นไทรย้อย
  • คำขวัญประจำกรุงเทพฯคือ

          ช่วยชุมชนแออัด ขจัดมลพิษ   แก้ปัญหารถติด ทุกชีวิตรื่นรมย์

  • สถานที่น่าแวะไปเยี่ยมชมคือ ท้องสนามหลวง ภูเขาทอง วัดราชนัดดารามวรวิหาร ปากคลองตลาด ตลาดนัดสวนจตุจักร บางลำพู เยาวราช เสาชิงช้า สวนสยาม ซาฟารีเวิลด์ วัดพระแก้ว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร วังสวนผักกาด พระที่นั่งวิมานเมฆ เขาดินวนา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหอศิลปเจ้าฟ้า พิพิธภัณฑวิทยาศาสตร์และท้องฟ้าจำลอง วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นต้น
  • ถ้ามีโอกาสก็แวะไปเยี่ยมสถานที่ต่างๆหรือไปไหว้พระ 9 วัดรอบกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มีความสุขใจเช่นกันค่ะ
  • 

      

สวัสดีค่ะ

ได้อ่านข้อความแล้วเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อก่อนก็เคยอยู่กทม.มา6ปี

ตอนนี้ออกมาได้เกือบ 6 ปีแล้วพอกลับไปทำธุระทีไรก็ต้องนั่งแท็กซี่ตลอดเพราะว่า

จำสายรถเมล์ไม่ได้แล้วเปลี่ยนตลอดทั้งสีรถ,หมายเลขรถกลัวหลงแต่เรื่องรถติดนี่

เหมือนเดิมเลย

 

เขียนได้น่ารักมาก

 

สวัสดีค่ะคุณหนูเล็ก

  • กรุงเทพฯนั้นรถติดไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน?...มีแต่จะติดเพิ่มขึ้นทุกวันค่ะ
  • ขนาดคำขวัญกทม.ยังต้องชูประเด็นปัญหา

         "  ช่วยชุมชนแออัด  ขจัดมลพิษ 

             แก้ปัญหารถติด  ทุกชีวิตรื่นรมย์  "

  • สิ่งที่คู่กรุงเทพฯมี 2 อย่างคือ รถติดและอากาศร้อน..ถึงร้อนมาก..ก...ก
  • 
  • ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ
  • 

สวัสดีค่ะคุณJimmy

  • คุณJimmyเล่นชมกันอย่างนี้ ผึ้งงานก็ออกอาการเขินเหมือนกันค่ะ
  • ดีใจนะคะที่บทความนี้ทำให้หลายคนมีความสุขและอารมณ์ดีกลับไป
  • ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ

หากเราต้องการที่จะหลุดจากการถูกเรียกว่า third world country ในสายตาของคนทั่วโลก เราอาจจะปรับปรุงโดยการไม่เอาทุกอย่างมารวมไว้ในกทม

กทมเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยทุกสิ่งอย่างทั้งดีและไม่ดี การที่เราจะพัฒนาประเทศไทยต่อไปเราควรที่จะพัฒนาไปทุกๆ แห่งหนใน ราชอณาจักรไทย เราเริ่มมาด้วยดีแล้ว เรามีประวัติศาตร์ที่ดี มีภาษาเป็นของตัวเอง มีเสรีภาพมาตลอด มาถึงจุดนี้เราควรหันไปพัฒนาเมืองอีกเมืองที่อยู่ใกล้ กทม นั่นก็คือ พัทยา

พัทยา เป็น coastal city ซึ่งจะเป็นเมืองที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเยอะมาก และเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ กทม พอพี่จะพัฒนาได้ง่าย

อยากเสนอให้มี รถไฟบนดินในตัวเมืองพัทยาเลย bts ที่นั่นจะเป็นเรื่องดีมาก ไม่ต้องบน beach road แต่ ซอยเข้ามาอีกซอย

เพิ่ม night club ที่ปลอดภัย แหล่งช๊อบปิ้งชื่อดัง จนกะทั่งไปถึง casino

อีกสิบปี เราสามารถใส่เมืองพัทยาลงไปในแผนที่โลก และทำให้ทุกๆคนรู้จักไม่เป็นสองรอง กทม เลย และทำให้ทุกคนได้เห็นว่าเมืองไทยมีมากกว่ากทม

ผลดีอีกข้อคือ เราสามารถเพิ่มการลงทุนทางด้านเศรฐกิจ ได้ด้วย เช่นผมคิดว่า นักลงทุนทั่วไปจากต่างประเทศอาจที่จะอยากมีออฟฟิสในเมืองพัทยาก็ได้ เหตุผลคือมันไม่ไกลจากกทมมากนัก จากสนาบินสุวรรณภูมิก็เดินทางมาสะดวก และมันอยู่ใกล้ทะเล นักลงทุนเล็กๆ สามารถเพิ่มหรือย้ายสาขาจากกทมออกไปที่นั่นก็ได้

เมื่อมีเมืองรองรับความต้องการของสิ่งต่างๆ เราสามารถที่จะลดการลดติด และปัญหาต่างๆในกทมได้

และเราก็จะได้หันมาสร้างวัด หรือารามต่างๆในกทม เพื่อที่จะได้แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีไทยได้มากขึ้น

การนำมาซึ่งพื้นทานที่ดีทางเศรษฐกิจ ย่อมนำมาสู่ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ พอมีเงินเราสามารถหันมาปรับปรุงสิ่งต่างๆที่ขาดไปในประเทศไทย และสิ่งที่เห็นว่าสำคัญที่สุดเลยคือ สถาบันการศึกษา

สิ่งที่ผมเขียนอาจฟังดูเหมือน ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมคิดว่า มันเป็นข้อเสนอที่ดีนะคับ อยากให้ผู้มีอำนาจในสังคมเช่นนักการเมือง และนักลงทุน มองถึงโอกาสและ ความสามารถของคนไทย และเปิดโอกาสให้กับอนาคตที่รุ่งเรืองต่อไปของประเทศไทย

สวัสดีค่ะคุณบิ๊ก

·       ถ้าผึ้งงานเดาไม่ผิดคุณบิ๊กคงเป็นคนชลบุรี เพราะประเทศไทยมีถึง 77 จังหวัดมีเมืองที่โดดเด่นมากมายไม่แพ้กันอยู่หลายแห่ง...แต่คุณก็เลือกที่จะชี้แนะเมืองพัทยาเพื่อนำไปพัฒนาแทนกทม.ให้มีความโดดเด่นทั้งด้านบันเทิง(ซึ่งก็เด่นอยู่แล้ว คงไม่ต้องบอกว่าด้านไหน?)รวมถึงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

·        คุณมีโปรเจ็กมากมายที่จะพัฒนาเมืองพัทยาให้เจริญติดอันดับโลก แต่...คุณอยากให้โลกได้รู้จักและจดจำเมืองพัทยาในเรื่องnight club and casino(จะเน้นการมอมเมาชื่อเสียงด้านลบหรือเปล่า?)และแหล่งช้อปปิ้ง(พอไหว)อย่างงั้นหรือ?

·       ชาวบ้านแถวพัทยาเขาอยากมีnight club and casinoเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของโลกหรือLogoของไทยหรือเปล่า?(เดี๋ยวนี้เวลาทำอะไรก็ต้องทำประชาวิจารณ์)

·       BTS รถไฟฟ้ามหานครนั้นมีเพื่อรองรับการจราจรที่แออัดในช่วงเร่งด่วน เป็นการช่วยให้คนที่จะไปทำงานมีทางเลือกในการเดินทาง ซึ่งมีผู้ใช้บริการมากถึง5-7แสนคนในช่วงเร่งด่วน คนแน่นในแต่ละขบวนทั้งเช้า-เย็นเหมือนรถไฟอินเดียเลย ส่วนเมืองพัทยามีความแออัดของผู้คนที่ต้องการใช้เหมือนกทม.หรือเปล่า? การนำมาใช้เพื่อเป็น Side seeing เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า

·       คุณคิดว่ากทม.มีวัดน้อยไปหรือ? (จึงอยากให้หันมาสร้างวัดเพิ่มขึ้นในกทม.แทนการสร้างความเจริญด้านอื่นๆ) จริงๆแล้วกทม.มีวัดแทรกอยู่ในทุกชุมชนอยู่แล้วจำนวนมากแต่เพราะกทม.เป็นเมืองหลวงของประเทศจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์รวมอยู่ที่นี่

·       แต่...ก็เห็นด้วยกับคุณ ที่ควรจะกระจายความเจริญไปเมืองอื่นๆของประเทศ จุดเด่นอื่นๆรวมถึงวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นมีทุกหนแห่งในไทย แต่ละแห่งก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่น่าสนใจ ซึ่งแต่ละจังหวัดก็พยายามชูประเด็นเรื่องนี้เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอยู่แล้ว

·       สิ่งที่คุณบิ๊กเขียนมาก็น่าคิด(สิ่งที่ผมเขียนอาจฟังดูเหมือน ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมคิดว่า มันเป็นข้อเสนอที่ดีนะคับ อยากให้ผู้มีอำนาจในสังคมเช่นนักการเมือง และนักลงทุน มองถึงโอกาสและ ความสามารถของคนไทย และเปิดโอกาสให้กับอนาคตที่รุ่งเรืองต่อไปของประเทศไทย)...แต่...ผู้มีอำนาจในสังคมหรือนักการเมืองที่คุณว่า จะมองเห็นโอกาสนั้นหรือเปล่า?ก็น่าคิด คำว่า...โอกาสของคุณ กับผลประโยชน์ของเขา ...อาจจะมองคนละมุมกันก็ได้ นอกเสียจากว่า...คุณจะลงสมัครซะเอง...

·       มีคนกล่าวว่า “ การที่คนเราคิดเหมือนกัน ทำให้เราฉลาดเท่าเดิม...แต่การที่เราคิดต่าง...ทำให้เราฉลาดขึ้น...”

·       ขอบคุณ...มุมมองที่แตกต่าง....ค่ะ.

สวัสดีค่ะ

  • การใช้ชีวิตในเมืองกรุงนั้นมีเรื่องราวมากมายให้ได้พบทั้งสุขและทุกข์
  • ผึ้งงานได้เขียนมุมมองในการใช้ชีวิตจากคนต่างจังหวัดเข้ามาใช้ชีวิตในแง่มุมที่ให้แง่คิดไว้เรื่อง บ้านนอกเข้ากรุง VS ศิลปะการใช้ชีวิตในกทม.ซึ่งผึ้งงานคิดว่าคงมีประโยชน์ในการเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองกรุง บ้างไม่มากก็น้อย
  • ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขท่ามกลางความวุ่นวายของกทม.ค่ะ 

สวัสดีค่ะ

  • ผึ้งงานมีเรื่องราวขำๆ...เกี่ยวกับรถเมล์มาเล่าให้ฟังค่ะ
  • เมื่อรถเมล์วิ่งมาถึงแถวๆสวนจตุจัก...ก็มักจะมีชาวต่างชาติขึ้นมาบนรถเมล์เป็นประจำ แขกถามว่า...รังสิต...(คงจะไปรังสิต)รีบบอกภาษาไทยว่าไม่ไปให้ไปสาย 510 ++++อินเดีย ..งง...(คงมีคนบอกว่าให้ขึ้นสายนี้) คนขับก็บอกกระเป๋าว่าช่วยบอกให้ขึ้นคันหลังคันนี้มันอ้อมใช้เวลานานกว่าจะถึง (3ชม.)ไป510 ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว ...ผู้โดยสารข้างๆ ก็หันไปพูดเบาๆ อินเดียก็เข้าใจโอเค แล้วลงไป...คนขับบอกเหนื่อยวะ ไม่รู้จะบอกว่าไง?
  • Does this bus pass...the airport (คนขับได้ยินว่า เอ..โปว์..? คนขับหันมาหากระเป๋ารถว่า...เขาจะไปไหน?)...กระเป๋า บอกว่าไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไร? หรือว่ามันจะเอาปีโปวะ? ผู้โดยสารก็ช่วยกันบอกว่า ไม่ใช่ปีโป้ เขาจะไปสนามบินต่างหาก....ก็เลยหัวเราะกัน ช่วยกันพูดสนุกสนาน พอเห็นเขาขายขนมครก...ถามว่าอะไร...คนขับก็ว่าแกก็บอกมันไปซิว่า ...ขนมครก..ไง!!!
  • วันต่อมาพอถึงหมอชิต...รถเมล์วิ่งมาเห็นชาวต่างชาติยืนโบกรถ กระเป๋าบอกลูกพี่...อย่าจอดขับผ่านไปก่อนขี้เกียจพูดภาษาอังกฤษคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง พอขึ้นได้จะลงก็บอกไม่ถูกอีก...ถ้าลูกพี่รับ...ต้องพูดเองนะ....ไปสนามหลวงครับ...ฝรั่งพูดไทยชัดแจ๋ว......
  • ฝรั่งบอก...ไอ เลิฟคนไทยเพราะว่าคนไทยอารมณ์ดี...ยิ้มง่าย...

ตอนนี้กรุงเทพฯกลายเป็นสังคมก้มหน้า...ไม่มีใครสนใจใคร...ทุกคนมีโลกส่วนตัวกันคนละใบ.....ใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือนจริง...ซึ่งบางครั้งในโลกความจริงไม่มี...ดังนั้นต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิต.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท