ภาคเรียนที่ผ่านมา ผมได้เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาหนึ่งในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม หลักสูตรนี้ผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่ทำงาน มีครอบครัวแล้ว วิชาที่สอนชื่อวิชาการสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตและงาน 2 (สปช.2)
วิชานี้เน้นการพัฒนาชีวิตด้านในหรือคุณธรรมจริยธรรมของผู้เรียน เป็นวิชาที่ต่อเนื่องมาจากวิชา สปช.1 ที่เน้นการพัฒนาชีวิตด้านกายภาพ การแก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหาร การวางแผนทางการเงิน การวางแผนใช้หนี้ ที่ดินทำกิน สุขภาพ ฯลฯ
เหตุที่จัดลำดับการเรียนเช่นนี้ก็เพราะเชื่อว่า หากปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตได้รับการจัดการให้เป็นระบบระเบียบ มีแบบมีแผน มีเป้าหมาย มีความหวังได้ในระดับหนึ่งแล้ว การเรียนเรื่องชีวิตด้านในหรือจิตวิญญาณจะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
ปีสุดท้ายยังมีวิชา สปช.3 ที่ผู้เรียนจะได้เรียนวิชา สปช.3 ว่าด้วยการพัฒนาอาชีพการงาน ซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานของมนุษย์ ที่หากเป็นสัมมาอาชีวะที่ทำด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา และด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแล้ว ก็จะเป็นมงคลแก่ชีวิตและจะประสบแต่ความเจริญทั้งในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว มีความสุขกับการงานที่ทำ
ทั้ง สปช.1 สปช.2 และ สปช.3 ใช้วิธีการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย โดยมีการทำโครงงานพัฒนาชีวิตตนเองแต่ละด้านเป็นแกนหลัก (Project-based Learning - PBL)
วิชา สปช.2 เป็นวิชาที่ว่าด้วยการรู้จักตนเองและที่เกี่ยวข้องกับการดูแลจิตวิญญาณตนเอง การรักและเมตตาต่อตนเอง การอุทิศตน การรักและเมตตาต่อผู้อื่น การเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของตน (self-esteem) และการเปลี่ยนแปลงตนให้กลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น (becoming more fully human) โดยอาศัยทั้งความรู้ทางจิตวิทยาและศาสนามาประกอบการทำกิจกรรมและโครงงาน
ผมจัดกิจกรรมให้นักศึกษาค้นหาบุคลิกภาพตนเอง จากนั้นให้แต่ละคนหยิบยกจุดอ่อนของตนที่ตนพบในบุคลิกภาพนั้นมาเป็นหัวข้อโครงงาน โดยขอให้เป็น "เรื่องเล็กๆ" เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะเรื่องใหญ่ๆ มักมีความซับซ้อนจนเข้าใจยาก ผมเชื่อว่า สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กัน หากเริ่มทำอย่างหนึ่งแล้วจะเกิดผลกระทบไปถึงเรื่องอื่นอีกมากมาย
โครงงานที่นักศึกษาหยิบยกขึ้นมาทำ ได้แก่ การฝึกตรงต่อเวลา ฝึกรักษาสัญญา ฝึกนิสัยความซื่อสัตย์-ไม่หลอกลวงตนเองและคนอื่น ฝึกบอกความรู้สึกของตนต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ฝึกพูดปฏิเสธการร้องขอของคนอื่นที่ทำให้เราเดือดร้อน ฝึกรัก-เมตตา-อภัยตนเองและคนอื่น ฝึกจดจ่อกับการงานตรงหน้า ฝึกทำอะไรให้เสร็จทีละอย่าง-ไม่คิดแต่โครงการใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาทั้งที่โครงการเก่ามากมายก็ยังไม่เสร็จ ฝึกลงมือทำทันที-ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ฝึกลดความใจร้อนโดยเดินให้ช้าลง ขับรถให้ช้าลง เคี้ยวอาหารให้ช้าลง ฯลฯ
วิธีปฏิบัติโครงงานที่ใช้เป็นหลักก็คือ การสังเกตตนเอง (Self-observation) และการเขียนบันทึกประจำวัน (Journal writing) แล้วก็นำผลการสังเกตและบันทึกนั้นมานำเสนอ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในชั้่นเรียนเป็นระยะ
ด้วยกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้ ผมพบนักศึกษาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงตน (Self-transformation) ขึ้นจำนวนมากในแต่ละครั้งที่ไปสอน ตัวอย่างเช่น
- นักศึกษาที่มีของกิจการของตนเองคนหนึ่ง ทำโครงงาน "ลดความใจร้อนด้วยการฟังคนอื่นอย่างสงบ" เขาบอกเหตุที่ทำให้เขาเลือกทำโครงงานนี้โดยเล่าเรื่องสะเทือนใจเรื่องหนึ่งให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนฟังว่า เขาเพิ่งใช้ไม้เบสบอลทุบตีทำร้ายลูกจ้างคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นต้องส่งโรงพยาบาล เมื่อจับได้ว่าลูกจ้างคนนั้นเป็นผู้ขโมยของไปขายหลายครั้ง หลังจากทำไปแล้ว เขาเสียใจกับเหตุการณ์นั้น และกับอีกหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กัน เมื่อทำโครงงานนี้แล้วเขาพบตนเองเปลี่ยนแปลงไป เขาเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงเรื่องหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนำผลของโครงงานมานำเสนอว่า ลูกน้องคนหนึ่งขับรถไปเฉี่ยวรถคนอื่นที่จอดอยู่ข้างทาง เจ้าของรถสืบทราบว่ารถใครมาเฉี่ยว โทรศัพท์มาหาเขา เขาบอกว่าหากเป็นเมื่อก่อน ลูกน้องคนนั้นคง "โดนอัด" แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเรียกลูกน้องมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาให้อภัย และบอกว่าต่อไปให้บอกเขาทันทีที่มีอุบัติเหตุแม้เพียงเล็กน้อย แล้วเขาก็โทรศัพท์ไปบอกเจ้าของรถคันที่ถูกเฉี่ยวว่า "ขอโทษ" เขาพร้อมจะชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งหมด ขอให้แจ้งมาว่าเท่าไร แต่เขาต้องพบกับความแปลกใจเมื่อเจ้าของรถฟังเสียงเขาแล้ว บอกว่า "ไม่เป็นไร" เรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ทำให้เขาตั้งใจที่จะ "ฟัง" เสียง "หัวใจ" ของผู้อื่นมากขึ้น จากที่ไม่ใคร่สนใจความรู้สึกของคนอื่น ก็สนใจขึ้น ผมบอกเขาในชั้นเรียนว่า เขากำลังปลดปล่อยความเมตตาและความกรุณาที่หลับไหลอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเขาให้ได้แสดงตัวออกมา แต่อย่าเข้าใจผิดว่าการแสดงความเมตตากรุณาเป็นเรื่องเดียวกับการทำอะไรเพื่อเอาใจผู้อื่น คนที่มีจิตเมตตาไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมเอาอกเอาใจใคร
ผมประทับใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของเขามาก จึงไม่แปลกใจที่ได้รับโทรศัพท์จากเขาหลังสิ้นสุดภาคเรียนไปได้เพียงสัปดาห์เดียว เขาโทรมาปรารภกับผมว่า เขาเกรงว่าสิ่งดีๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในตัวเขาจะมอดไป มีหนังสือหรือกิจกรรมอะไรที่จะทำให้เขาอยู่ใน "กระแส" แห่งการพัฒนาชีวิตด้านในนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมก็แนะนำว่าให้ปฏิบัติโครงงานที่ทำมาตลอดภาคการศึกษาที่ผ่านมานี้ต่อไปเถิด ผมจะแนะนำกิจกรรมฝึกอบรมหรือสัมมนาที่เหมาะกับเขาให้ พร้อมให้หนังสือเขา 2 เล่มที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่การก้าวเดินต่อไปสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นของเขา
- คนที่ทำโครงงานตรงต่อเวลาคนหนึ่ง ชื่อโครงงานเขาคือ "ไปถึงที่นัดหมายก่อนเวลา ๑๐ นาที" เขียนไว้ในรายงานผลโครงงานว่า ขณะทำโครงงานนี้ เขารู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่ทำท่าว่าจะไปไม่ทันนัดไม่ว่าจะนัดกับภรรยา หรือไปรับส่งลูกที่โรงเรียนผิดเวลา รวมทั้งการมาเรียนของตนเอง แต่ก็มีน้อยครั้งลงเรื่อยๆ ที่เขาไปไม่ทัน ในวิชาที่ผมสอน เขาปรากฏตัวที่ห้องเรียนเป็นคนแรกๆ เสมอ ผมทราบเพราะผมไปถึงห้องเรียนก่อนเวลาเสมอ เขาเองก็บอกว่าเขาเผื่อเวลาไว้เสมอ และเสียใจที่บางครั้งไปไม่ทัน แต่เขาก็ไม่แก้ตัวแล้ว แต่ก่อนเขามีข้ออ้างมีคำแก้ตัวมาอธิบายสารพัด (ทั้งที่ไม่มีใครถาม) แววตาเขาเป็นประกายในวันนำเสนอผลโครงงานขณะที่เล่าว่าลูกและภรรยาได้บอกเขาว่าเขาเปลี่ยนแปลงไป ผมก็บอกเขาว่า คนเราเปลี่ยนได้เพียงเรื่องเดียวก็ยิ่งใหญ่แล้ว ในวิชา สปช.1 นักศึกษาที่ลดละอบายมุขได้เพียงเรื่องเดียว ไม่ว่าจะเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกการพนัน เลิกเที่ยว เลิกเจ้าชู้ ล้วนพบกับความสุขบางอย่างในชีวิต ถ้าเปลี่ยนแปลงได้สองอย่างนับเป็นอัศจรรย์ จากการสังเกตของผม การทำดีก็คล้ายการทำชั่ว เมื่อเริ่มออกเดินก้าวแรกได้แล้ว ยากที่จะหยุดได้ ขณะนี้ "บัญชีเครดิตแห่งการเป็นบุคคลน่าเชื่อถือ" ได้เปิดขึ้นแล้ว เขาได้รับความเชื่อถือมากขึ้นจากสมาชิกในครอบครัว ในที่ทำงาน ต่อไปก็จะได้รับความเชื่อถือจากทุกคนที่เขาสัมพันธ์ด้วย และจากเครดิตเรื่องเดียวก็จะพัฒนาไปสู่เรื่องอื่นๆ ด้วย
- อีกคนหนึ่งเป็นสุภาพสตรี ทำโครงงานนับหนึ่งถึงร้อยค่อยพูด เธอเล่าในชั้นเรียนถึงความทุกข์ของเธอที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปี นั่นคือเธอต้องอารมณ์เสียขึ้นเสียงกับลูกแทบทุกเช้ากว่าที่จะปลุกลูกอายุไม่ถึง 10 ขวบให้ลุกจากเตียงได้ ลุกขึ้นมาแล้วกว่าจะอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนได้ก็ยืดยาดแล้วยืดยาดอีก บางครั้งต้องใช้กำลังฉุดกระชากลากตัวให้ทำโน่นทำนี่ บางครั้งที่โมโหมากๆ ก็เผลอตะคอกด้วยเสียงดังหรือแม้กระทั่งทุบทีก็เคย แต่...ทั้งหมดนี้ไม่เคยได้ผล วิธีนี้ไม่ทำให้พฤติกรรมของลูกเปลี่ยนแปลงได้ แถมความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกมีแต่เลวลง ผมถามว่า เมื่อเข้าใจว่าวิธีการ "บังคับควบคุม" ไม่ได้ผล ระหว่างปฏิบัติโครงงานนี้ทำอย่างไรบ้าง เธอบอกว่า ก่อนที่จะหลุดคำพูดตำหนิหรือด่าว่าลูก หากนึกขึ้นมาได้หรือ "รู้สึกตัว" ขึ้นมาว่ากำลังทำโครงงานฝึกฝนตนเองอยู่ก็จะนับหนึ่งถึงร้อยในใจ เธอพบว่า บางครั้งเพียงเสี้ยววินาทีที่นับ บางครั้งไม่ต้องถึงร้อย ใจเธอก็สงบลง ซึ่งส่งผลให้วาจาและกายสงบลงด้วย ผมแนะนำให้เธอลองใช้วิธี "บอกอารมณ์ความรู้สึก" ที่กำลังเกิดขึ้นในตัวเธอและเธอสามารถเห็นมันนั้นแก่ลูก แทนการ "แสดงอารมณ์" (หงุดหงิด โมโห โกรธ) ออกไปผ่านวาจาและการกระทำ จากนั้นบอก "ความต้องการ" ของเราต่อเขา การที่เธออยากให้ลูกมีระเบียบวินัยนั้นเกิดจากความรักที่เธอมีต่อลูก และคาดหวังให้เขาเป็นคนที่มีระเบียบวินัยดี (อย่างเธอ?) แต่กลับแสดงออกด้วยการบังคับควบคุม ผมตั้งคำถามว่า ในโลกนี้มีใครบังคับควบคุมใครได้อย่างแท้จริงหรือเปล่า? เราเองแต่ละคนยังไม่สามารถบังคับควบคุมตนเองได้เสมอไปไม่ใช่หรือ
ต่อมาในวันนำเสนอรายงานผลของโครงงาน เธอเล่าในชั้นเรียนว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกดีขึ้นมากหลังจากทำโครงงานนี้เมื่อได้ไปทำตามที่ผมแนะนำ ผมขอให้เธอเล่าว่าทำอย่างไร เธอบอกว่าเมื่อโมโหขึ้นมาก็นึกถึงโครงงานนับหนึ่งถึงร้อย ไม่แสดงอารมณ์โกรธออกไปทันที รอจนเมื่อตั้งหลักได้แล้ว สงบลงแล้ว เธอก็จะกอดลูกด้วยความรัก พร้อมบอกลูกว่า ใจแม่ไม่สงบ มีความทุกข์ แม่กังวลว่าลูกจะไปโรงเรียนสาย แม่ก็จะไปทำงานสายด้วย จึงขอร้องให้ลูกลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ผลปรากฏว่าลูกยินดีทำตามคำขอของแม่ แม้บางครั้งจะขอบิดขี้เกียจสักพักหนึ่งก่อน หลังจากนั้น เธอพบปรากฏการณ์ที่สร้างความประหลาดใจอีกหลายเรื่องระหว่างเธอกับลูก เช่นเย็นวันก่อนที่เธอจะมานำเสนอผลของโครงงาน ลูกบอกว่าหลังเลิกเรียนเขาจะขอถ่ายรูปกับแม่ เขารักแม่ ผมเชื่อว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ได้ฟังพร้อมกันในวันนั้นได้ความประทับจากเรื่องเล่าเล็กๆ ดีๆ นี้ของเธอ และได้แรงบันดาลใจบางอย่างที่จะนำไปประยุกต์กับครอบครัวตน
- นักศึกษาสตรีอีกคนหนึ่งทำโครงงานสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ชื่อโครงงานของเธอคือ "ฝึกบอกความต้องการของข้าพเจ้าต่อผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมา" เธอทำงานในสถานประกอบการด้านสุขภาพแห่งหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีแม้สักครั้งเดียวที่จะถกเถียงกับใครแม้ไม่เห็นด้วย อีกทั้งไม่เคยแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ผมสังเกตว่าในชั้นเรียนเธอก็ไม่เคยพูดอะไร ผมเคยถามเธอด้วยคำถามเดิมๆ 2 ครั้ง เธอก็ไม่เคยตอบ บางทีอาจเพราะคำถามบางข้อของผมอาจไม่ใช่คำถามที่เธอสามารถตอบได้ในทันทีทันใด เช่น เหตุใดบางคนจึงเชื่อมั่นในคนอื่นได้ มีอยู่คนเดียวที่เราไม่สามารถเชื่อมั่นได้คือตนเอง? หรือ เธอคิดว่าตนเองน่าจะหนักไปทางจริตใดในจริต ๖? ผมมักนำโปสเตอร์ที่พิมพ์ด้วยไวนิลขนาด 80x120 ซ.ม. ไปแขวนที่ผนังห้องเรียนเป็นสื่ออ้างอิงประกอบการสอนด้วยทุกครั้ง โปสเตอร์ที่ผมทำไว้มีหลายแผ่นโดยสรุปแนวคิดสำคัญๆ จากเอกสารประกอบการเรียนเป็นแผนภูมิ เป็นภาพ หรือเป็นข้อความสั้นๆ หนึ่งในนั้นคือ จริต ๖ อันเป็นแนวคิดเรื่องประเภทของคนที่พระอรรถกถาจารย์ในพุทธศาสนาถ่ายทอดมา เธอได้แต่มองโปสเตอร์นั้นแล้วก็เงียบไปนาน ความเงียบทำให้ผมต้องพูดออกมาเองว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ ผมเพียงแต่ถามให้เธอได้คิดเท่านั้นเอง การตอบตนเองได้สำคัญกว่าตอบอาจารย์มาก ได้คำตอบแล้วไม่ต้องบอกผมก็ได้
เมื่อสิ้นสุดภาคเรียน ผมได้อ่านบันทึกที่เธอเขียนระหว่างการปฏิบัติโครงงานแล้วจึงได้เข้าใจความรู้สึกในใจเธอ รู้สึกทึ่ง และรู้สึกประทับใจในความบริสุทธิ์ใจ ความใสซื่อ และความมุ่งมั่นที่จะเป็นอิสระจากความกลัวที่ครอบงำเธอมาตลอดชีวิตสามสิบกว่าปี เช่น
เรื่องราวของนักศึกษาสตรีที่ดูเงียบๆ และขี้กังวลคนนี้ สร้างความประหลาดใจให้ผมมากในปลายภาคเรียน ผมไม่ค่อยได้พบพัฒนาการด้านการเห็นคุณค่าตนเอง เชื่อมั่นในตนเอง พบกับศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของตนเอง ที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้มากนัก ก็หวังว่าประสบการณ์จากการฝึกฝนเพื่อเปลี่ยนแปลงตนของเธอจากการเรียนรู้ในวิชานี้ จะเป็นก้าวแรกให้เธอได้มีก้าวที่สองต่อไป วางใจในตนเองมากขึ้น กล้าหาญขึ้น มีพลังมากขึ้นในการแสดงความรู้สึก การบอกความต้องการของตนต่อคนอื่นอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา ตามชื่อโครงงานของเธอ หวังว่าเธอจะสามารถก้าวเดิน เติบโตต่อไปสู่การกลายเป็น (becoming) มนุษย์ที่รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ (self-actualization) หรือเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น (more fully human) ต่อไป
นักจิตวิทยาแนวมนุษยนิยมที่สนใจด้านการพัฒนาทางจิตวิญญาณ (คำ จิตวิญญาณ นี้ ผมหมายความอย่างเดียวกับคำ จิตตปัญญา) บางคนเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมจิตที่บริสุทธื์ เราสงบมากขณะอยู่ในครรภ์มารดา เราซื่อสัตย์กับความรู้สึกที่แท้จริงของเรา เราวางใจในตนเองและคนอื่น เราไม่หลอกลวงใคร เช่นที่เด็กกล้าร้องไห้เสียงดัง ขณะที่ผู้ใหญ่จำนวนมากอายที่จะให้ใครเห็นน้ำตาตน เมื่อเกิดมาใหม่ๆ เราไม่มีความกลัวใดๆ การเติบโตขึ้นมาในครอบครัวและสิ่งแวดล้อมได้ค่อยๆ ทำให้เรา "กลายเป็น" บางสิ่งบางอย่างที่เป็นเราอยู่ในขณะนี้ โดยเราหลายคนได้หลงลืมความสงบ ความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญที่ยังคงดำรงอยู่ในตัวเราไป การพัฒนาตนตามแนวคิดนี้ก็คือการพยายามหาทางเชื่อมโยงกับความดีงามที่อยู่ในจิตใต้สำนึกเราอยู่แล้วนี้ให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เปิดโอกาสให้ความดีงามเหล่านี้ได้เบ่งบานขึ้นมาในจิตสำนึกใหม่ นักจิตวิทยาแนวนี้บางท่านเรียกจิตเดิมแท้นี้ว่า บ้าน (home) การพัฒนาตนเองตามแนวนี้เปรียบเสมือนการหาทาง "กลับบ้าน" ให้พบนั่นเอง มนุษย์ที่พบทางกลับบ้านจะพบกับความสุขทางใจ ซึ่งเป็นความสุขแท้ที่ลึกล้ำมาก ต่างจากความสุขที่เกิดจากการได้รับการสนองตอบต่อความต้องการจากวัตถุหรือปัจจัยภายนอกทั้งมวล ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเรียกจิตเดิมแท้ของมนุษย์นี้ว่า จิตประภัสสร ซึ่งหมายถึง จิตที่งดงาม
ผมขออวยพรให้นักศึกษาท่านนี้ รวมทั้งท่านอื่นๆ ที่ทุกข์ทรมาณกับความกลัว ความเก็บกด จากการไม่สามารถวางใจในตนเองและผู้อื่น ซึ่งในทางจิตวิทยาเชื่อว่าพัฒนาการมาตั้งแต่วัยเด็กนี้ ได้รับเปลี่ยนแปลงไปจนสามารถกลับถึง "บ้าน" หรือสามารถเชื่อมโยงกับจิตเดิมแท้ที่ดีงามของตนได้ในที่สุด
- มีนักศึกษาสตรีคนหนึ่ง ทำโครงงานเดินให้ช้าลง เนื่องจากพบว่าตนเป็นคนซุ่มซ่าม เดินชนหรือเตะนั่นเตะนี่บ่อย ผมพอใจโครงงานนี้มาก เพราะการปฏิบัติโครงงานเดินช้าลงนี้ จะว่าไปแล้วก็คือการฝึกทำอะไรอย่าง "รู้ตัว" ในชีวิตประจำวันนั่นเอง เป็นการเจริญสติอยู่ในทุกๆ ขณะที่รู้สึกตัวขึ้นมา เป็นการฝึก "อยู่กับปัจจุบันขณะ" โดยไม่ต้องไปฝึกสมถกรรมฐานในสถานปฏิบัติธรรม (แต่ไม่ได้หมายความว่าการไปฝึกในสถานปฏิบัติธรรมไม่ดี) เธอเล่าว่า ขณะไปซื้อของกับครอบครัว ด้วยความใจร้อนเธอมักเดินนำลิ่ว ทิ้งทุกคนอยู่ข้างหลัง สามีได้เตือนว่าไม่ ทำโครงงานอยู่ไม่ใช่หรือ ทำให้เธอหยุด แล้วเดินช้าๆ ไปพร้อมกับครอบครัว เธอบอกว่า เป็นวันหนึ่งที่เธอมีความสุขมาก คนที่ทำโครงงานเคี้ยวช้า หรือขับรถช้าคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ล้วนได้ฝึกการมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวตามแนวนี้ ต่างก็ได้พบกับความสุขสงบบางอย่างเสมอ
ผมภาวนาว่านักศึกษาทุกคนที่ได้เริ่มสัมผัสกับ "สุขแท้" ที่ได้มา "ฟรีๆ" นี้ รวมทั้งผมเองด้วย จะเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไป.
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๑๐ ก.ย. ๒๕๕๓
สวัสดีค่ะอาจารย์ มาอ่านบันทึกดีๆ สุขฟรี ที่สัมผัสได้แวดล้อมเรา บนโลกอันมหัศจรรย์ใบนี้ ขอบพระคุณค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่เอื้อเฟื้อแบ่งปันข้อคิดดี ๆ ให้สังคมอยู่เสมอ สุขฟรี มีจริงๆ กำลังคิดจะทำโครงการกับตนเองดูบ้าง จะลองพยายามเต็มที่ดูค่ะอาจารย์