วันนี้ (๑๐ กันยายน ๒๕๕๓) เป็นวันที่ได้รับโอกาสจากพี่ ๆ ที่ทำงานให้ นำทางไปภาวนาที่วัด
ตะกี้หนูแวะไปตรวจสอบความเรียบร้อย และสอบถามถึงภารกิจที่พี่ ๆอาสาจะช่วยเตรียมการ
แต่ด้วยวันนี้เป็นวันศุกร์ ก็มีงานที่ต้องทำกันเป็นระลอก ๆ แทบทุกคนที่จะไป
มีงานรออยู่ทั้งนั้น และทุกท่านก็ทำ คงต้องทำกันจนนาทีสุดท้าย
เป็นความงดงามในการจะไปภาวนา เป็นสิ่งที่แสดงถึง
“ใจของพี่ ๆที่พร้อมและเปิดรับโอกาสอันงดงาม”
ด้วยหนูเดินทางตลอดในช่วงนี้ ทั้งประชุม นำเสนองาน นิเทศน์งาน (จนโดนแซวว่า เท้าแทบไม่ติดดินที่ขอนแก่นแล้ว) ความอ่อนล้าทางร่างกายเป็นอะไรที่ปิดได้ไม่มิดนัก หนูยอมรับค่ะ ว่า
"รู้สึกเหนื่อย แทบจะยอมรับกับตนเองเลยค่ะว่า แทบจะไม่ไหว"
มีเสียงดังมาจากภายในเลยว่า "พอแล้ว"
กับการประชุมและการเดินทางที่มากเกินไป
ทั้ง ๆที่รับรู้ในใจตนเองถึง "การไม่ได้ไปไหน"
ความอ่อนล้าเป็นสิ่งที่พี่ ๆ สัมผัสได้
พี่ ๆที่จะไปภาวนาเข้ามาหาแล้วเอ่ยกับหนูว่า
“แค่ติ๋วเขียนโครงการแล้วพาพี่ ๆไปก็ขอบคุณมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้าจะไปภาวนาอาทิตย์หนึ่ง พี่ก็ลุกขึ้นมาทำวัตรตอนเช้า ดี จริง ๆ ติ๋ว”
"พี่หน่ะ อยากไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้ไปสักที"
ทั้งคำพูดและแววตาของท่าน ทำให้หนูหายเหนื่อยเลยค่ะ
เพราะหนูไม่ต้องการอะไร
และก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่า “ทำไปทำไม”
รู้เพียงอย่างเดียวว่า “ต้องทำ”
ตั้งแต่วันที่เรียนถามครูแล้วว่า “ทำได้ไหมค่ะ”
แล้วครูก็บอกว่า “ทำเลย”
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ พี่ ๆ ตื่นเต้น มีความสุข แม้เป็นเพียงความสุขเล็ก ๆ ในซอกหลืบเล็ก ๆ ของที่ทำงาน แต่ ณ ตอนนี้ เห็นความเบ่งบานของความสุข ฉายแววออกมาอย่างงดงาม
ก็ทำให้มีกำลังสู้ต่อ
กราบขอบพระคุณครูที่นำทาง
กราบขอบพระคุณโอกาส
กราบขอบพระคุณพี่ ๆ ที่มอบโอกาสให้เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการไปภาวนา
ดีแล้วครับ ขอให้มั่นใจ ภาวนาเป็นการเพิ่มปัญญาครับ พระสอนอย่างนั้น
ภาวนาดีนะ ไม่ธรรมดา...